เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 505 เจ้าคู่ควรที่จะทดสอบพวกเราอย่างนั้นหรือ
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 505 เจ้าคู่ควรที่จะทดสอบพวกเราอย่างนั้นหรือ
บทที่ 505 เจ้าคู่ควรที่จะทดสอบพวกเราอย่างนั้นหรือ
จี้จือฮวนกับเผยยวนสบตากันเล็กน้อย ดูเหมือนว่าซือถูรุ่ยผู้นี้จะให้ความสำคัญกับจีฝูเย่มากทีเดียว
เตรียมจะซื้อยุทธปัจจัยอย่างนั้นหรือ? เมื่อพิจารณาจากการค้าขายในเมืองเจว๋เฉิงแล้ว คงไม่ขาดแคลนเงินเป็นแน่ แต่คงเป็นเพราะทหารส่วนตัวที่เลี้ยงเอาไว้มีมากเกินไป อาวุธจึงมีไม่เพียงพอ
อย่างน้อยเมื่อเทียบกับกองทัพทหารเกราะเหล็กแล้ว ก็ยังไม่อาจเทียบได้
โชคดีที่แถวที่ต่อเข้าเมืองได้หลีกทางให้พวกเขาตามคำสั่งของทหารยาม ทุกคนต่างก็กระซิบกระซาบ และมองมาที่พวกจี้จือฮวน
“คุณชายฝูเย่ คนที่มีชื่อเสียงนั่นน่ะหรือ?”
“ได้ยินว่าอาวุธของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า ราคาก็สูงมาก”
“หรือเป็นเพราะเพี่ยวโจวถูกโจมตีไปแล้ว ท่านเจ้าเมืองจึงกลัวอย่างนั้นหรือ?”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบา ๆ ของทุกคนลอยเข้ามาในหู
เสียงกระดิ่งด้านนอกรถม้ากระทบกันไปมา คนทั้งกลุ่มก็ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนเข้าเมืองไป ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของทุกคน
อาเหริ่นที่อยู่บนหลังม้าจ้องมองไปที่กำแพงเมือง จากนั้นมือของเขาก็สั่นเทาเล็กน้อย
ในความทรงจำของเขา เขาเพิ่งจะจากไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น วันนั้นเขาพาเซิงเซิงหนีออกจากเมืองเจว๋เฉิงกลางดึก คิดไม่ถึงว่าจะต้องกลับมาในรูปแบบนี้
และหลายปีมานี้เมืองเจว๋เฉิงก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ใช่เมืองที่เขารู้จักอีกต่อไป
ริมถนน ร้านที่เซิงเซิงชอบไปเดิน ก็ได้เปลี่ยนเป็นร้านขายเครื่องลายครามแล้ว วุ้นเย็นที่นางโปรดปรานก็เปลี่ยนไป ส่วนจวนเจ้าเมืองนั่นก็ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
จี้จือฮวนกับเผยยวนมองไปยังกำแพงเมือง ที่ตั้งอยู่กลางเมืองโดยไม่พูดอะไร
ซือถูรุ่ยผู้นั้นสร้างพระราชวังขึ้นในเมืองเจว๋เฉิงอย่างนั้นหรือ?
มีหอคอยตั้งอยู่ที่มุมทั้งสี่ด้าน และมียามเฝ้าอย่างเข้มงวด ตรงประตูเมืองมีสะพานแขวนสำหรับข้ามคูเมือง คูน้ำที่อยู่รอบเมืองด้านในยังมีการเลี้ยงจระเข้เอาไว้จำนวนมากอีกด้วย
เวลานี้บนกำแพงมีคนกำลังเทบางสิ่งลงในท่อเล็ก ๆ ด้านข้างกำแพงเมืองพอดี
“พวกเขากำลังทำอะไร?”
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นสิ่งก่อสร้างเช่นนี้ บอกว่าเป็นวังหลวงก็ไม่เหมือนวังหลวง แต่ก็ใหญ่กว่าป้อมปราการ จี้จือฮวนจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“อ่อ คนที่ถูกท่านเจ้าเมืองประหารชีวิตแล้วจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนมาที่นี่เพื่อเป็นอาหารให้กับสัตว์เลี้ยงของท่านเจ้าเมืองขอรับ”
เยว่พั่วหลัวมองดูจระเข้ในสระนั่น ก็คิดถึงปากาตัวโตของตัวเอง พลางครุ่นคิด หรือว่าพวกโรคจิตเหล่านี้ก็จะชอบใช้วิธีการเช่นนี้เหมือนกันหมด?
ขณะที่ทหารชั้นผู้น้อยที่รับหน้าที่เป็นผู้นำทางกำลังเตรียมชูธงให้คนที่อยู่ข้างบนปลดสะพานแขวนลงมา ทว่าจู่ ๆ กลับมีคนซัดอาวุธลับลงมา ไป๋จิ่นและจี้จือฮวนจึงลงมือพร้อมกัน โดยพุ่งตัวและขว้างอาวุธออกไป
อาวุธของไป๋จิ่นดูเหมือนดาบยาว แต่จริง ๆ แล้วเป็นดาบสั้นที่สามารถต่อกันได้ และมีตะขออยู่ตรงกลาง
ส่วนของจี้จือฮวนนั้นอลังการยิ่งกว่า ทั้งสองคนเบี่ยงตัวหลบอาวุธลับสองชิ้นนั้นที่ยิงเข้าใส่รถม้าของพวกเขา
“เจ้าเมืองเจว๋เฉิงหมายความว่าอย่างไร!?” ไป๋จิ่นสะบัดแขนและซัดอาวุธลับสองชิ้นนั้นกลับคืนไป ก่อนจะตะโกนถามเสียงเข้ม
ทันทีที่สิ้นเสียงก็มีอาวุธลับพุ่งมาจากกำแพงเมืองนั่นอีกครั้ง หลังจากที่ไป๋จิ่นและจี้จือฮวนร่วมมือกันซัดอาวุธลับเหล่านั้นกลับไปหาคนที่กำแพงเมืองจนหมด พวกเขาจึงได้หยุดลง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจของผู้ที่สัญจรไปมาในทันที
ภายในรถม้า เผยยวนเอนกายพิงหมอนนุ่มด้วยท่าทางเกียจคร้าน แม้เขาจะเข้าสนามรบตั้งแต่ยังเด็ก แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเจ้านายที่เติบโตขึ้นมาในจวนโหว เซี่ยฉงฟางชอบความหรูหราฟุ่มเฟือยจึงปฏิบัติกับเขาเช่นนั้นไปด้วย ดังนั้นการรับบทเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ดีกินดีคนหนึ่ง จึงไม่ใช่ปัญหา
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ใช้พัดหยกในมือเกี่ยวม่านรถขึ้นเล็กน้อย ผมยาวของเขาถูกรวบเพียงครึ่งเดียวและผูกเป็นมวยที่ด้านหลัง โดยประดับด้วยปิ่นหยกอันหนึ่งเท่านั้น พร้อมกับสวมหน้ากากแปลกประหลาดเอาไว้ แต่เนื่องจากท่าทางที่สง่างามของเขา จึงทำให้ผู้คนเริ่มคาดเดาว่าภายใต้หน้ากากนั่น จะใช่ชายหนุ่มรูปงามหรือไม่
ผู้ชายบางคนมีหน้าตาหล่อเหลา แต่พฤติกรรมและมารยาทนั้นกลับหยาบคายอย่างมาก ก็ทำให้คนชื่นชมไม่ไหวจริง ๆ ทว่าการเคลื่อนไหวของเผยยวนนั้น ดูราวกับม้วนภาพบุรุษรูปงามภาพหนึ่งมากกว่า
เสื้อคลุมแขนกว้างพลิ้วไหวไปตามสายลม เขาไม่ได้สวมรองเท้าเพราะภายในรถม้ามีการปูพรมอย่างดีเอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงนั่งอย่างวางท่า และมีเด็กสองคนที่สวมหน้ากากเหมือนกับเขาคอยปรนนิบัติอยู่ คนหนึ่งกำลังรินน้ำชา ส่วนอีกคนก็กำลังอ่านหนังสือให้เขาฟัง
มีความเป็นเอกลักษณ์เฉกเช่นผู้มีชื่อเสียงจากแคว้นเว่ยและแคว้นจิ่น เป็นเอกลักษณ์ของจีฝูเย่ผู้นั้นจริง ๆ
“ในเมื่อท่านเจ้าเมืองไม่ต้อนรับ ซือเยียน ไปเถอะ”
จี้จือฮวนโค้งตัวลงคารวะ และเอ่ยด้วยความนอบน้อม “เจ้าค่ะ นายท่าน”
และในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะหมุนกายจากไป ภายในกำแพงเมืองก็มีเสียงเอี๊ยดดังขึ้นมา โซ่ที่ผูกสะพานแขวนเอาไว้ก็ค่อย ๆ ลดต่ำลง
มีสาวใช้ชุดแดงกลุ่มหนึ่งเดินออกมาต้อนรับพวกเขา “คุณชายฝูเย่และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ต้องขออภัยด้วยที่พวกเราต้อนรับไม่ดี”
จี้จือฮวนจึงตอบกลับอย่างเย็นชา “ท่านเจ้าเมืองเจว๋เฉิงช่างวางอำนาจบาตรใหญ่จริง ๆ น่าเสียดายที่คุณชายของเราไม่หลงกลนี้ของพวกเจ้า”
หญิงสาวที่เป็นผู้นำยกริมฝีปากขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้ม “ขอคุณชายได้โปรดอภัยให้ด้วย ความจริงแล้วเป็นเพราะช่วงนี้เมืองเจว๋เฉิงมีคนแอบอ้างว่าเป็นท่านเพื่อต้องการเข้ามาที่นี่เป็นจำนวนมาก พวกเราถูกหลอกจนหวาดกลัวไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงได้คิดวิธีนี้ขึ้นมา แต่จากการทดสอบเมื่อครู่ก็สามารถยืนยันตัวตนของท่านได้แล้ว ดังนั้นขอเชิญคุณชายเข้าไปด้านในได้เลยเจ้าค่ะ”
ต่อให้คนข้างนอกจะปลอมตัวเป็นเขา แต่อาวุธของพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถต้านทานการทดสอบได้อยู่แล้ว และคนที่หยิ่งทะนงอย่างจีฝูเย่ย่อมไม่มีทางให้คนรับใช้ของตัวเองใช้อาวุธที่หาได้ทั่วไปเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น เทียบเชิญนั่น พวกเขาก็ได้ตรวจสอบไปแล้วว่าจริงหรือปลอม
“เจ้าคิดจะทดสอบก็ทดสอบ แต่พอตอนนี้กลับบอกให้พวกเราเข้าเมืองอย่างนั้นหรือ?”
หญิงสาวในชุดสีแดงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็เป็นคำสั่งของท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นคุณชายฝูเย่ตัวจริง จะกังวลเรื่องการทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ไปทำไมกันเจ้าคะ?”
นางเพิ่งจะพูดจบ จู่ ๆ ก็ถูกคนตบหน้าถึงสองครั้ง ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บแสบขึ้นมา เยว่พั่วหลัวชักมือกลับ ดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากจ้องสตรีผู้นั้นเขม็ง “บังอาจ! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้ายืนพูดกับนายท่านของข้าเช่นนี้กัน”
หญิงสาวชุดแดงกัดริมฝีปาก และโค้งตัวลงคารวะให้อีกครั้ง “เชิญคุณชายฝูเย่เข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”
“หากข้าปฏิเสธเล่า?” เผยยวนเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
“คุณชายฝูเย่จะไม่ให้เกียรติท่านเจ้าเมืองของข้าอย่างนั้นหรือ?”
จี้จือฮวนจึงหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “ไม่ให้แล้วอย่างไร? นายท่านของข้ามาด้วยตัวเอง ต้องหาเวลาว่างจากตารางงานที่แสนยุ่ง หากเจ้าเมืองของพวกเจ้ามีความจริงใจเพียงนั้นล่ะก็ จะส่งคนรับใช้ชั้นต่ำอย่างเจ้ามาทำตัวยโสโอหังที่นี่ทำไมกัน เกรงว่าคงเป็นคนของเมืองเจว๋เฉิงแล้วกระมังที่ไม่รู้จักมารยาท ยังไม่หลีกทางให้ข้าอีก!”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังหญิงสาวชุดแดงก็รีบวิ่งเข้าไปในเมืองเพื่อตามคนมา
“คุณชายฝูเย่เข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ผู้น้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“เช่นนั้น ซือถูรุ่ยหมายความว่าอย่างไร?” เผยยวนถามออกมาอย่างเกียจคร้าน
อาชิงยกถ้วยชาขึ้น พลางเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนิ่ม “คุณชายเชิญดื่มชาขอรับ”
เอ่ยจบก็ยื่นถ้วยชาไปจ่อที่ปากของเผยยวนทันที เผยยวนเกือบจะถูกชาร้อน ๆ ลวกปากตายอยู่แล้ว เขาจึงขมวดคิ้วแล้วดื่มชาลงไป
จากนั้นก็จับมือกลมป้อมของลูกชายตัวดีเอาไว้ “พอแล้ว”
แค่ดื่มไปอึกเดียวก็เกือบตายแล้ว หากดื่มอีกสองสามอึกก็เตรียมจัดงานศพได้เลย
“อ่อ” อาชิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย คนเขาอุตส่าห์ต้มตั้งนานนะ!
มีเหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากของหญิงสาวชุดแดง นางไม่เคยเห็นใครที่เข้ามาเมืองเจว๋เฉิงแล้วไม่ให้เกียรติซือถูรุ่ยถึงเพียงนี้มาก่อน! ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีการใดจึงจะสามารถทำให้อีกฝ่ายหายโมโหได้
อีกอย่าง หากงานนี้นางทำพลาดล่ะก็ อย่าคิดว่านางจะมีชีวิตรอดไปได้!
แม้ว่าตอนนี้ซือถูรุ่ยกำลังโปรดปรานนางอยู่ก็ตาม แต่ก็อาศัยที่ตัวนางมีเสียงอันไพเราะก็เท่านั้น ดังนั้นหากทำผิดพลาดขึ้นมาจริง ๆ คนแรกที่ต้องตายก็คือนาง
.
.