เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 511 พังงานเลี้ยง
ซือถูรุ่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ว่าอย่างไรนะ? ไม่พบร่องรอยหมายความว่าอย่างไรกัน? ความมั่นใจตอนที่เจ้ารับปากข้าว่าสำเร็จอย่างแน่นอนหายไปที่ใดแล้ว?”
เมื่อถูกซือถูรุ่ยถามเช่นนี้ ไช่หุ่ยก็รู้สึกโมโหแต่จำต้องสะกดความโมโหนั้นลง ตั้งแต่ที่เขาติดตามซือถูรุ่ย ทุกอย่างก็ราบรื่นมาโดยตลอด นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเจอเหตุการณ์เช่นนี้!
เขาไม่สามารถอธิบายกับซือถูรุ่ยได้
เห็นได้ชัดว่าซือถูรุ่ยโมโหมากจริง ๆ เขาจึงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับข้ามาสิ”
ไช่หุ่ยจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่หนอนกู่ของข้าเกิดปั่นป่วนอย่างมาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากว่าข้างกายของจีฝูเย่จะมีหนอนกู่ที่ร้ายกาจกว่า ข้าคิดว่าในบรรดาผู้ติดตามของเขามีคนที่มีความสามารถมากกว่าข้าอยู่ด้วยขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ? เจ้าลองบอกมาสิว่าหากผู้ติดตามข้างกายพ่อค้าขายอาวุธอย่างจีฝูเย่ยังร้ายกาจกว่าเจ้า เช่นนั้นข้าเก็บเจ้าไว้ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก หากข้าให้เขามาแทนเจ้า อย่างน้อยก็คงไม่ทำให้ข้าเสียเรื่องในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้!”
ไช่หุ่ยก็รู้สึกโมโหมากเช่นกัน “ท่านเจ้าเมืองโปรดวางใจ คืนนี้ข้าจะทำให้หนอนกู่เข้าไปอยู่ในกายของจีฝูเย่ให้ได้ขอรับ”
“เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี ข้าไม่อยากจ่ายเงินก้อนโต เพื่อซื้ออาวุธแค่กองหนึ่งกลับมา”
หากไม่ใช่เพราะอาวุธยังไม่ถึงมือ และจีฝูเย่ผู้นี้ก็มีความรู้ความสามารถล่ะก็ เขาคงฆ่าทิ้งไปนานแล้ว
เพราะเรื่องที่ซือถูรุ่ยถนัดที่สุดก็คือ การฆ่าคนแล้วปล้นเอาสมบัติก็เท่านั้น
ของที่เขาต้องการ ต้องมาอยู่ในมือของเขาจึงจะถูก
แต่ไช่หุ่ยก็ได้เอ่ยเตือนซือถูรุ่ยไปอย่างหนึ่งว่า จีฝูเย่ดูไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่าย ๆ อย่างที่เขาคิดเอาไว้ ดังนั้นต้องทำอะไรอย่างระมัดระวังจึงจะถูก ส่วนสตรีที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น เก็บไว้ก็เปลืองข้าวสุก!
“ลากคนที่วันนี้ไปปรนนิบัติจีฝูเย่ไปฆ่าทิ้งให้หมด”
“ขอรับ”
หลังจากสั่งการเสร็จ ซือถูรุ่ยก็ได้เดินอ้อมออกมาจากด้านหลังฉากกั้น เขาสงบสติอารมณ์ลงแล้ว ก่อนจะยกยิ้มให้กับทุกคน “ขออภัยด้วย เนื่องจากเกิดเรื่องเล็กน้อยขึ้นมากะทันหัน”
“ท่านเจ้าเมือง ว่ากันว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กนั่นองอาจห้าวหาญ ข้าว่าไม่น่าจะใช่ อีกอย่างลูกน้องของเจ้าโจรเฒ่าสือฟางมีความสามารถกี่คนกัน ก็แค่พวกมุทะลุกลุ่มหนึ่งก็เท่านั้น!”
“ใช่แล้ว กองทัพทหารเกราะเหล็กมีอะไรต้องกลัวกัน ขอเพียงเด็ดหัวของเผยยวนได้ กองทัพทหารเกราะเหล็กก็ต้องแตกกระเจิงแน่นอน”
“ได้ยินว่าเผยยวนตอนนี้แต่งงานแล้ว ถึงเวลาพวกเราก็จับพระชายาของเขามาทำ…”
ชายร่างท้วมผู้หนึ่ง เมื่อดื่มเหล้าไปสองจอก ปากก็เริ่มสกปรกขึ้นมาทันที
ทว่าพริบตาต่อมา จีฝูเย่ที่สวมหน้ากากผู้นั้นก็ดีดนิ้วไปในอากาศ ชามเหล้าของชายผู้นั้นก็พลันแตกกระจาย เหล้าจึงหกลงที่เป้ากางเกงของเขา!
คนทั้งงานต่างก็เงียบเสียงลง นอกจากดนตรีและการร่ายรำที่ยังดำเนินต่อไปแล้ว ทุกคนล้วนมองมาทางนี้ บางคนกำลังหัวเราะคนผู้นี้ที่ดีแต่คุยโว บางคนก็แอบด่าในใจว่าไม่ดูสารรูปตัวเองเสียบ้าง ยังคิดจะเด็ดหัวของหัวหน้าศัตรูที่อยู่ไกลเป็นพันลี้อีก นี่มันเรื่องเพ้อฝันชัด ๆ
“ใคร! ใครที่ลอบทำร้ายข้า”
ทุกคนต่างมีท่าทางราวกับกำลังดูเรื่องสนุก และไม่มีใครสนใจเขา
“เจียงเหล่าซื่อ เจ้ารู้สึกขายหน้าอย่างนั้นหรือ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
“ใช่แล้ว ใครลอบทำร้ายเจ้าก็ยังไม่รู้ ยังจะมาอวดดีอีก หุบปากเหม็น ๆ ของเจ้าไปเสียเถอะ”
เจียงเหล่าซื่อผู้นั้นเมื่อถูกคนหัวเราะเยาะ ก็หยิบขวานใหญ่สองเล่มข้างกายขึ้นมากวัดแกว่งออกไป ทันใดนั้นคนทั้งสองโต๊ะก็สู้กันจนอลหม่านไปหมด
แต่คนในงานล้วนเห็นกันจนชินตาเสียแล้ว จึงหันมาดื่มกินกันต่อ ซือถูรุ่ยจึงพูดกับจีฝูเย่ราวกับเป็นเรื่องสนุก “พี่จีอย่าถือสาเลยนะ ลูกน้องเหล่านี้ของข้าหุนหันพลันแล่นไปหน่อย แต่ว่าคนในเมืองเจว๋เฉิงของข้าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่ยอมก็ต้องฆ่าถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชาย ท่านว่าถูกหรือไม่?”
ถูกบ้านเจ้าน่ะสิ
เผยยวนขี้เกียจจะสนใจเขา เพราะอย่างไรเสียตอนนี้ซือถูรุ่ยก็ยังต้องพึ่งพาเขาอยู่ ดังนั้นจีฝูเย่ตัวปลอมเช่นเขาอยากทำอะไรเขาก็จะทำอย่างนั้น
เมื่อเห็นเผยยวนไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ซือถูรุ่ยก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาเคยได้ยินเรื่องนิสัยไม่เห็นเงินไม่เอ่ยปากของจีฝูเย่ผู้นี้มานานแล้ว ดังนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าปรนนิบัติคนเป็นหรือไม่ บนโต๊ะของท่านฝูเย่ไม่ใช่จอกเหล้าที่ข้าเลือกด้วยตัวเอง ไปยกจอกเหล้าที่ข้าเตรียมเอาไว้มา”
“เจ้าค่ะ”
เผยยวนมองดูสาวใช้ผู้นั้นยกจอกแสงราตรี*ใบหนึ่งเข้ามา ด้านบนยังฝังอัญมณีเอาไว้อย่างหยาบ ๆ อีกด้วย
* จอกแสงราตรี (夜光杯) หมายถึง จอกหยกแกะสลัก เมื่อรินเหล้าแล้วจะสะท้อนกับแสงจันทร์และมองเห็นเป็นสีขาว
ไป๋จิ่นรู้สึกว่าเยว่พั่วหลัวที่อยู่ข้าง ๆ มีท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาจึงหันไปมองนางเล็กน้อย “เจ้าเป็นอะไรไป?”
“ไม่เท่ากันน่ะสิ!!!” เยว่พั่วหลัวส่งเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ!
อัญมณีเหล่านั้นมีขนาดไม่เท่ากันยังไม่เท่าไร ทว่ายังฝังอย่างมั่วซั่วอีก! ไม่มีรูปแบบใด ๆ เลย แดงคู่กับเขียวใช้ได้ที่ใดกัน!
ไป๋จิ่นจับข้อมือของนางเอาไว้ “เจ้าอย่าเชียวนะ”
“ข้าก็กำลังอดทนอยู่นี่อย่างไรเล่า!” เยว่พั่วหลัวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กลอกตามองบน ก่อนหันไปมองอีกฝั่งเพื่อหันเหสายตาของตัวเอง
สุดท้ายก็เห็นเจ้าจิตวิปริตที่เลี้ยงเด็กนั่น กำลังลูบไล้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กอยู่ โต๊ะด้านข้างก็กำลังแคะนิ้วเท้า ส่วนอีกโต๊ะก็กำลังใช้นิ้วโป้งแคะจมูก!
นี่มันสถานที่ผีสางอะไรกัน!!!
“พี่จี รีบชิมเหล้าสาวงามของข้าดูสิ”
“เหล้าสาวงาม?” เผยยวนครุ่นคิด “มีความเป็นมาอย่างไรหรือ?”
อีกโต๊ะหนึ่ง บัณฑิตหน้าขาวที่ใส่น้ำมันบนผมจนเรียบแปล้ก็ได้ลุกขึ้นยืน “ท่านฝูเย่ แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ เหล้าสาวงาม ย่อมทำมาจากน้ำผูเถา**ที่กลั่นออกมาจากปากของสาวงาม จึงได้ชื่อว่าเหล้าสาวงามน่ะสิ”
** ผูเถา (葡萄) หมายถึง องุ่น
กลั่น…กลั่นออกมาจากปาก?
“ถูกต้อง เหล้าสาวงามนี้มาจากการที่สาวงามหลายสิบคนที่ได้รับเลือก ให้เคี้ยวผูเถาด้วยปากแล้วคายน้ำออกมา จึงมีรสหวานล้ำและค้างอยู่ในลำคอไม่รู้คลาย”
คนกลุ่มหนึ่งถอนหายใจอย่างเคลิบเคลิ้ม
ทว่าเย่จิ่งฝูกลับสูดลมหายใจเข้า ในน้ำลายคนมีเชื้อโรคมากมายเพียงนั้น จะดื่มเข้าไปได้อย่างไร? ช่วยใส่ใจเรื่องสุขอนามัยกันหน่อยได้หรือไม่!
“คุณชายฝูเย่ คงไม่ได้มีชื่อเสียงเกินจริงหรอกกระมัง?”
“ไหนว่าเป็นพ่อค้าอาวุธที่เดินทางไปทั่วอย่างไรเล่า ขออย่าให้เป็นแค่การคุยโวก็แล้วกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียง ถ้วยชาของคนผู้นั้นก็แตกกระจายทันที เหมือนกับที่เจียงเหล่าซื่อโดนไม่มีผิด!
และครั้งนี้เผยยวนก็ไม่ได้ปิดบังว่าตนเองเป็นคนลงมือแต่อย่างใด เขาวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยขึ้นมา “อย่างพวกเจ้าคู่ควรที่จะหัวเราะเยาะข้าอย่างนั้นหรือ?”
“จีฝูเย่! เจ้าอย่าคิดว่าพวกเราไม่กล้าทำอะไรเจ้า!”
ซือถูรุ่ยเดิมควรห้ามปราม แต่เมื่อเห็นว่าเมื่อครู่จีฝูเย่ไม่ไว้หน้าตัวเอง ตอนนี้จึงอยากจะสั่งสอนเขาบ้าง และก็อยากจะรู้ด้วยว่าเขามีขีดจำกัดมากน้อยขนาดไหน
จะได้ลดความมั่นหน้าของเขาลงด้วย
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ลงมือเลยสิ”
หากเป็นจีฝูเย่ตัวจริง ก็คงไม่มีทางปล่อยให้คนพวกนี้ดูถูกอย่างแน่นอน
หากเขาเป็นคนอ่อนแอเช่นนั้น คงถูกคนในยุทธภพกลืนกินไปนานแล้ว
และเป็นจริงดังคาด หลังจากที่เขาเอ่ยประโยคนี้จบ หลายคนที่นั่งอยู่ก็เดินตรงมาหาเขา
เยว่พั่วหลัวอดทนกับคนพวกนี้มานานแล้ว แม้ว่าจะปวดตัวอยู่แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการที่นางจะลงมือ!
ส่วนอาวุธที่พวกนางใช้ก็คืออาวุธที่ลูกน้องของจีฝูเย่ชอบใช้ และป่านหลานเกินได้วาดออกมาให้พวกนางดู
ทันใดนั้นบรรดานางระบำต่างก็หนีกระเจิดกระเจิง โต๊ะในงานก็ล้มระเนระนาด กระทะน้ำมันสาดกระจาย มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่หยุด
ซือถูรุ่ยเวลานี้ก็ไม่คิดจะดื่มเหล้าต่ออีก ก่อนจะผลักสตรีที่อยู่ข้างกายออกไป พลางมองอาวุธที่ประณีตเหล่านั้น จากนั้นก็มองท่าทางผ่อนคลายของจีฝูเย่ ในใจก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็กลัวว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำลายความสัมพันธ์อันดีลง จึงกำลังจะสั่งให้ทุกคนหยุด แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมารายงาน บอกว่าที่ด้านนอกประตูท่านฝูเย่มาถึงแล้ว และกำลังรอให้ท่านเจ้าเมืองสั่งการอยู่
ทั้งงานจึงเงียบลงทันที ทุกคนต่างมองไปทางเผยยวน ในเมื่อท่านฝูเย่อยู่ที่นี่แล้ว ไหนเลยจะมีอีกคนโผล่มาได้อีก!?
.
.
.