เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 517 อลหม่าน!
บทที่ 517 อลหม่าน!
ราชาร้อยกู่ฉุดกระชากลากถูกู่ลึกลับเข้าไปในร่างของอาชิง หลังจากแสงสุดท้ายหายลับไป อาชิงก็รู้สึกเหมือนมีด้ายสีทองเส้นเล็ก ๆ แวบผ่านปลายนิ้วไป จากนั้นก็ถูกด้ายสีดำกลืนกิน ก่อนที่สุดท้ายจะหายไป
“เสร็จแล้ว! ไป อาศัยตอนที่เจ้าสุนัขนั่นยังไม่กลับมา พวกเราขโมยของที่เหลือของเขาไปให้หมดดีกว่า!”
บอกว่าจะทำก็ลงมือทำทันที มีอาชิงอยู่ด้วย ต่อให้มีศิษย์ทรยศมาอีกสิบคนพวกเขาก็ไม่กลัว
ไป๋จิ่นถีบประตูออกแล้วเดินตรงไปยังห้องของไช่หุ่ย แต่ทันทีที่เขาเข้าไปก็ต้องตกตะลึง
เมื่อพบว่ามีศพของเด็กสาวที่ยังอุ่นอยู่กว่าสิบศพ มีท่อสอดเข้าไปถึงหัวใจ เลือดก็ไหลมาตามท่อไปรดน้ำดอกไม้และหญ้าพิษด้านนอก
ไป๋จิ่นเองก็รู้ถึงวิธีการเช่นนี้ แต่ถูกเหล่าผู้อาวุโสของสำนักพิษสั่งห้ามไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว
คิดไม่ถึงว่าศิษย์ทรยศผู้นั้นจะเรียนรู้ไปมากทีเดียว!
เขาเดินเข้าไปเพื่อตรวจสอบ ก็พบว่าเด็กสาวเหล่านั้นตายแล้วจริง ๆ ก่อนตายคาดว่าคงถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมด้วย
“แม่เจ้า!”
ด้านนอกเยว่พั่วหลัวกรีดร้องขึ้นมา
ไป๋จิ่นจึงรีบดึงผ้าปูที่นอนมาคลุมศพของพวกนางเอาไว้ แล้วรีบออกไปข้างนอก “มีอะไร!”
เยว่พั่วหลัวดึงดอกไม้กินคนดอกหนึ่งเอาไว้ “เป็นคนทั้งนั้นเลย!”
ไป๋จิ่นมองดูดินที่ใช้ปลูกดอกไม้ ทั้งหมดนั่นคือคนไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่เป็นคนที่เน่าเปื่อยแล้ว
ทั้งสองคนสบตากันเล็กน้อย ดูเหมือนว่าศิษย์ทรยศผู้นี้ ไม่ฆ่าคงไม่ได้เสียแล้ว!
“เผาซะ!”
เพียงครู่เดียว พวกเขาก็ตัดสินใจได้
เจ้าศิษย์ทรยศนั่นไม่กลับมาก็ไม่ต้องสนใจอีกแล้ว เพราะพวกเขาจะทำลายที่นี่ให้สิ้นซาก ทำให้เจ้าสารเลวนั่นโมโหจนกระอักเลือดตายให้ได้ คอยดูเถอะ
…
อีกด้านหนึ่ง ไช่หุ่ยยังไม่รู้ว่าเรือนที่ตัวเองใช้ความพยายามทั้งหมดสร้างมาหลายปีได้ถูกทำลายลงภายในคืนเดียว และเขาก็ยังคงพยายามหาทางเข้าไปในเรือนเล็กให้ได้
เมื่อคิดถึงหนังศีรษะที่ถูกลำแสงเผาไหม้จนเป็นหย่อม ๆ ตอนนี้เขาแค่อยากจะฆ่าคนที่จีฝูเย่พามาทั้งหมดในคราวเดียว
น่าเสียดายที่เขานำหนอนกู่มาไม่มากนัก เมื่อครู่ก็สูญเสียไปไม่น้อย จึงทำได้เพียงนำหนอนกู่ชั้นสองออกมาแทน
แต่เพื่อเป็นการเผื่อเอาไว้ ครั้งนี้ไช่หุ่ยจึงระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่เข้าไปใกล้ศูนย์กลาง
ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่าจีฝูเย่ที่เขาต้องการฆ่า เวลานี้กำลังเดินไปทั่วจวนซือถูกับจี้จือฮวนและอาเหริ่นอยู่ เพื่อค้นหาร่องรอยของซือถูเซิง
หลังจากเขาจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ด้านนอกอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ มาพักใหญ่ จึงได้กระโดดเข้าไปในลานบ้าน ซึ่งลานบ้านนั้นเดิมทีก็เหลือแค่คนที่ไม่สำคัญอยู่แล้ว
เผยเสี่ยวเตาที่เล่นกล่องใบนั้นมาพักใหญ่ ก็กำลังคิดว่าจะไปที่ห้องครัวเพื่อจะเอาของกินมาเตรียมเอาไว้ เผื่อว่าอีกเดี๋ยวหากพวกเขาหาคนจนเหนื่อยแล้วเกิดหิวขึ้นมา จึงได้นำกล่องนั้นมอบให้กับเว่ยเจ๋อเซิง
เว่ยเจ๋อเซิงจึงกลับมาที่ห้องและวางกล่องใบเล็กลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มทำนายดวงของตัวเองด้วยความเคยชิน
“อืม คืนนี้เหมาะที่จะใส่ชุดนอนสีดำ”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างที่ลุกขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะคำนวณว่าพวกเขาจะโชคดีหรือโชคร้ายในคืนนี้
“อืม ดูเหมือนว่าคืนนี้จะได้เบาะแส ทางด้านพี่ไป๋คงเจอเรื่องที่ไม่คาดคิด ส่วนข้า…”
!!!
“ไอสังหาร ประตูมรณะ!”
เมื่อทำนายได้ดังนั้นเว่ยเจ๋อเซิงจึงรีบเปิดกล่องใบเล็กนั่นออกทันที และกวาดไปทั่วทุกมุมห้อง
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงเพิ่มลำแสงในกล่องใบเล็กให้ครอบคลุมทั้งลานบ้าน
ไม่รู้ว่าไปกดปุ่มอะไรเข้า กลไกเหล่านั้นจึงเริ่มแปลกไป และในตอนนั้นเอง ไช่หุ่ยที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในลานบ้านก็ถูกลำเส้นสีแดงยิงเข้าใส่จนร่างเป็นรูขึ้นมา ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะก้าวไปข้างหน้าต่อ เพราะตอนนี้เขาได้วิ่งหนีอย่างหัวซุกหัวซุนไปแล้ว ทันทีที่กระโดดออกมาจากมุมกำแพงก็กลิ้งไปกับพื้นสองสามรอบอย่างหมดเรี่ยวแรง
ข้อมือ ใบหน้า ลำตัว แม้กระทั่งข้อเท้าก็ไม่เว้น จุดสำคัญบนร่างกายล้วนถูกเผาจนเนื้อเปิดออก ถึงขนาดได้กลิ่นไหม้ลอยออกมาอีกด้วย ผิวชั้นนอกไหม้จนเกิดอาการแสบร้อน เขาเจ็บปวดจนสายตาเริ่มพร่าเลือน
ส่วนเว่ยเจ๋อเซิงก็มองไปที่ลำแสงสีแดงที่เปลี่ยนไปมาไม่หยุดบนผนัง ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
จึงกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดนอนอย่างมีความสุข
ไช่หุ่ยคิดในใจว่าคืนนี้คงทำภารกิจไม่สำเร็จเป็นแน่ แต่เขายังมีกู่ลึกลับอยู่ ซือถูรุ่ยไม่มีทางทำอะไรเขาได้อย่างแน่นอน
“เร็วเข้า! ไฟไหม้แล้ว! เด็ก ๆ!”
“ไฟไหม้แล้ว ๆ!”
ไช่หุ่ยเงยหน้าขึ้น เมื่อมองดูควันหนาทึบที่พวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ดวงตาของเขาก็ฉายความตื่นตระหนกออกมา ทางนั้น…เป็นที่ตั้งเรือนของเขาไม่ใช่หรือ?
ทว่าเขากลับไม่ได้คิดว่าเป็นฝีมือของคน เพราะช่วงนี้ในเมืองล้วนมีการจุดพลุทุกที่ หากป้องกันไม่ดีก็จะเกิดไฟไหม้ขึ้นได้
แต่จะใช่หรือไม่ใช่ต้องกลับไปดูก่อน หนอนพิษและหนอนกู่เหล่านั้นของเขาบางชนิดทนไฟไม่ได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือกู่ลึกลับ จะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่เมื่อเขาลากสังขารเดินกะโผลกกะเผลกกลับมา ภาพที่เห็นก็คือเรือนของเขาเกิดไฟไหม้!
“แย่แล้ว!” ไช่หุ่ยรีบพุ่งไปที่เรือนทันที
ทว่าจวนซือถูมีแต่สาวใช้ ตอนนี้จึงมีพวกนางที่คอยดับไฟอยู่ ปกติพวกนางเคยทำเรื่องเช่นนี้ที่ใดกัน เวลานี้เมื่อเห็นไฟรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จึงให้คนรีบไปเรียกทหารลาดตระเวนมา
แต่กว่าทหารลาดตระเวนที่เฝ้าเมืองจะมา ก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าใด!
ไช่หุ่ยเป็นห่วงกู่ลึกลับ เขาจึงตักน้ำราดตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และไม่สนใจบาดแผลบนร่างกายว่าจะเจ็บปวดเพียงใดอีก ก็พุ่งเข้าไปด้านในทันที
“ท่านไช่หุ่ย!”
“เร็วเข้า บอกให้คนมาเร็วกว่านี้หน่อย!”
…
จวนซือถูอยู่ดี ๆ ก็เกิดไฟไหม้ แต่พวกอาเหริ่นกลับไม่ได้สนใจ
“เมื่อก่อนเซิงเซิงอาศัยอยู่ในหอเล็ก ๆ กลางทะเลสาบแห่งนี้” อาเหริ่นชี้ไปที่เรือนตรงหน้า
“เจ้าจำไม่ผิดใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่มีทางจำผิด ข้าอยู่ที่นี่นานมาก” แม้ว่าจวนซือถูจะมีบางที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เขาเชื่อว่าด้วยความหลงใหลที่ซือถูรุ่ยมีต่อเซิงเซิง ห้องของนางไม่มีทางเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
สิ่งเดียวที่เขาคิดในตอนนี้ก็คือ หวังว่าซือถูรุ่ยจะขังเซิงเซิงเอาไว้ที่นี่
แต่เนื่องจากเกิดไฟไหม้ขึ้นมา จึงทำให้ตอนนี้หลายคนล้วนออกมาดูเหตุการณ์ ทั้งสามคนจึงต้องซ่อนตัวอยู่หลังภูเขาจำลองพักใหญ่
สถานที่เกิดไฟไหม้อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เมื่อมีกลิ่นไหม้ลอยมา เผยยวนก็ปิดปากและจมูกของจี้จือฮวนเอาไว้
ทว่าอาเหริ่นเพียงแค่มองท้องฟ้า และอธิษฐานต่อสวรรค์ให้คืนนี้เขาหาเซิงเซิงพบอย่างราบรื่น
“ภูเขาจำลองนี่…คงไม่ได้เปลี่ยนไปกระมัง?”
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พาพวกเขามาซ่อนตัวที่นี่
“อืม เมื่อก่อนเซิงเซิงชอบเล่นซ่อนแอบกับข้า จึงชอบมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
เมื่อยังไม่สามารถออกไปที่ใดได้ อาเหริ่นจึงเล่าเรื่องในอดีตระหว่างเขากับซือถูเซิงให้พวกเขาฟัง
“ข้าในตอนนั้นไม่ได้ปฏิบัติกับนางดีเท่าใดนัก เอาแต่คิดจะหนีออกไป และยังกัดนางจนบาดเจ็บอีกด้วย แผลนั่นลึกมาก อยู่ตรงง่ามนิ้วของนาง หลังจากที่ซือถูรุ่ยรู้เข้าก็ถือแส้มาจะฟาดข้าให้ตาย
แต่เซิงเซิงขวางเขาเอาไว้ จึงทำให้ข้ามีชีวิตรอดมาได้
ข้าพูดไม่ได้ แต่นางก็ยังพร่ำสอนข้าครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามให้ข้าฝึกว่าควรจะต้องเปิดปากอย่างไร พ่อลูกซือถูนั้นโหดร้ายมาก ในจวนมักจะมีคนตายบ่อย ๆ ทว่ามีเพียงเซิงเซิงเท่านั้นที่จิตใจดี มีเพียงนางที่ไม่เคยฆ่าใครเลย
เสียงร้องของนาง ไม่มีใครที่ได้ยินแล้วจะลืมมันได้ นั่นเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมา”
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากที่เขาเอ่ยประโยคนี้จบ จี้จือฮวนกับเผยยวนก็ราวกับได้ยินเสียงของสตรีที่นุ่มนวลและไพเราะดังขึ้นข้างหูจริง ๆ
อาเหริ่นจึงหันหน้าไปมองทันที “เซิงเซิง เสียงนี้เป็นเสียงของเซิงเซิง!”
ทั้งสองคนจึงเงี่ยหูฟัง ทว่าพวกเขาอยู่ไกลจึงได้ยินไม่ชัด และจี้จือฮวนก็ไม่เข้าใจการร้องเพลงของคนโบราณ รู้แค่ว่าไพเราะมากจริง ๆ เหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่กำลังขับร้องอยู่ในหุบเขาเวทมนตร์
“ข้าจะไปหาเซิงเซิง” อาเหริ่นพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เสียงเหมือนมาจากทางนั้น”
.