เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 518 ยอมรับว่าเป็นความซวยของตัวเอง
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 518 ยอมรับว่าเป็นความซวยของตัวเอง
บทที่ 518 ยอมรับว่าเป็นความซวยของตัวเอง
เผยยวนมองไกลออกไป “ที่นั่นเหมือนจะเป็นเรือนพักของซือถูรุ่ย”
วันนี้ตอนที่สาวใช้เหล่านั้นพาพวกเขาไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ เคยบอกกับพวกเขาว่าสถานที่ที่ซือถูรุ่ยพักอยู่นั้น ตั้งอยู่ที่ใจกลางจวนซือถู และการป้องกันของที่นั่นก็เข้มงวดอย่างมาก
หากจะเข้าไปเกรงว่าคงไม่ง่ายแน่
แต่ต่อให้จะยากเพียงใด พวกเขาก็ต้องเข้าไปให้ได้
จี้จือฮวนกำลังคิดว่าไฟไหม้หนักเพียงนี้ ซือถูรุ่ยไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็ต้องส่งคนไปดับไฟบ้างกระมัง
ทั้งสามคนที่กำลังแอบอยู่หลังภูเขาจำลอง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนวิ่งมาอย่างเร่งรีบ
“เร็วเข้า เรือนของท่านไช่หุ่ยเกิดไฟไหม้”
“รีบไปดับไฟ และให้คนไปรายงานท่านเจ้าเมือง!”
“ระวังอย่าให้ไฟลามไปถึงเรือนหลักได้”
คนเหล่านั้นวิ่งไปข้างหน้าอย่างตื่นตระหนก จึงไม่ทันสังเกตว่าในคืนที่มืดมิดนี้ มีคนสามคนกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังภูเขาจำลอง
เมื่อออกมาอีกครั้งพวกเขาก็เปลี่ยนมาสวมชุดองครักษ์แล้ว จี้จือฮวนหยิบเครื่องสำอางออกมาจากกล่องยาน้อย และทำการแปลงโฉมให้พวกเขาเล็กน้อยจึงค่อยออกไป
“มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบไปสิ” คนเหล่านั้นพบว่ามีคนหายไป จึงได้ย้อนกลับมาตาม
“ไปแล้ว”
เผยยวนรับคำ ก่อนจะตามพวกเขาไปยังเรือนของไช่หุ่ย
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าไช่หุ่ยคือใคร
แต่ว่า…
ใครสามารถบอกพวกเขาได้บ้างว่า เยว่พั่วหลัว ไป๋จิ่น และลูกอกตัญญูคนนี้ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ไป๋จิ่นที่ปลอมตัวเป็นสาวใช้ส่ายหน้าอกเล็กน้อย จากนั้นก็แสร้งทำเป็นร้องด้วยความกลัวและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหานฉี ดวงตาของเขากลับกวาดไปรอบ ๆ
แต่เมื่อเห็นเผยยวนกับจี้จือฮวน ทั้งหมดก็มีสีหน้างุนงง
ทุกคนสื่อสารกันผ่านทางสีหน้าทันที เจ้าจะไปตามหาคนเพื่อแก้แค้นไม่ใช่หรือ?
พวกเจ้าไปตามหาเซิงเซิงไม่ใช่หรือ?
แต่ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้พวกเขาไม่มีเวลามาถามไถ่อีกแล้ว บนท้องฟ้ามีแสงไฟเจิดจ้า ทุกคนจึงกังวลว่าลมจะพัดทำให้ไฟลามไปไหม้เรือนหลังอื่นด้วย แต่โชคดีที่คนที่พุ่งเข้าไปออกมาแล้ว
“เร็วเข้า ท่านไช่หุ่ยยังมีลมหายใจอยู่ ตามคนมารักษาเร็วเข้า”
“บาดเจ็บหนักเพียงนี้แล้ว ส่งไปให้ท่านเจ้าเมืองเถอะ”
ไป๋จิ่นกระโดดออกมาทันที พลางดัดเสียงแล้วเอ่ยขึ้นมา “โอ๊ย ท่านไช่หุ่ย เหตุใดท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ผู้น้อยจะพาท่านไปพบท่านเจ้าเมืองเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ”
เผยยวนและอาเหริ่นก็รีบเข้าไปแย่งเปลหามมา แล้วโยนไช่หุ่ยที่ถูกไฟคลอกทั่วร่างและนอนหายใจรวยรินขึ้นบนเปลหาม ไช่หุ่ยผู้นั้นเจ็บจนกระอักเลือดออกมา “ช่วย…”
“ช่วยอะไร?” ไป๋จิ่นเข้าไปใกล้อีกนิด
“กู่…ลึกลับ…ของข้า”
“อ้อ ไม่ต้องช่วยหรอก มันตายไปนานแล้ว!” ไป๋จิ่นตอบกลับไปหนึ่งประโยค
ไช่หุ่ยได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโพลง พร้อมกับยื่นมือออกไปหมายจะจับไป๋จิ่นเอาไว้ แต่ถูกหานฉีกดลงไป แต่เขากลับออกแรงมากเกินไป จึงบีบจนกระดูกไหปลาร้าของไช่หุ่ยแตกละเอียด คราวนี้จึงทำให้คนสลบไปจริง ๆ
“โอ๊ะ ท่านไช่หุ่ยใกล้จะไม่ไหวแล้ว หลีกทางให้หมด!” ไป๋จิ่นใช้ก้นดันคนที่ขวางทางออก “รีบไปรายงานให้ท่านเจ้าเมืองทราบ นำทางไปสิ!”
ทุกคนที่ทำอะไรไม่ถูก จึงรีบถือโคมไฟนำทางให้พวกเขาทันที
เผยยวน อาเหริ่น ไป๋จิ่น หานฉี หามเปลขึ้นมาแล้วเดินตามไป ส่วนเด็กน้อยอย่างอาชิงเวลานี้เขาสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่ ทั้งยังเป็นคนข้างกายของจีฝูเย่ ทุกคนย่อมแสดงความนอบน้อม ไหนเลยจะกล้าถามว่าเขาจะไปที่ใด
อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ทั่วไป สามารถเข้ามาได้ย่อมไม่ใช่เด็กธรรมดาอย่างแน่นอน
ซึ่งบางคนอาจดูเหมือนเด็กไม่มีพิษสงอะไร แต่ความจริงแล้วกลับเป็นยอดฝีมือในยุทธภพก็เป็นได้
ดังนั้นอาชิงจึงเดินบิดตูดเล็ก ๆ ตามหลังพวกเขาไป ท่ามกลางสายตาที่หวาดกลัวและเคารพของทุกคน
แต่วิ่งไปได้สองก้าวก็ตามไม่ทันแล้ว จี้จือฮวนจึงยกเขาขึ้นมานั่งบนหน้าอกของไช่หุ่ย กดจนร่างของไช่หุ่ยมีเลือดไหลออกมาตามรูพรุนไม่หยุด
แต่ใครจะสนใจความเป็นความตายของเขากันเล่า?
“รอกลับไปข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้า” ที่กล้าพาอาชิงมาด้วย
เยว่พั่วหลัวตัวสั่นขึ้นมาทันที ก่อนจะขยับเข้าไปข้างกายจี้จือฮวน “ลูกพี่ฮวน พวกเราสร้างผลงานใหญ่ด้วยนะ!”
จี้จือฮวนชำเลืองมองนาง “ไหนว่ามาสิ”
เยว่พั่วหลัวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้นางฟังอย่างละเอียดเบา ๆ ที่ข้างหู จากนั้นเสียงร้องรำทำเพลงก็ดังขึ้นมา เมื่อมองดูก็พบว่าใกล้จะถึงทางเข้าเรือนของซือถูรุ่ยแล้ว เยว่พั่วหลัวจึงรีบหุบปากลง
อาเหริ่นเมื่อได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย ออกแรงที่มือหนึ่งทีก็เกือบจะทำเปลหามหัก เผยยวนจึงกดไหล่ของเขาเอาไว้และส่งสัญญาณบอกเขาว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม พวกเรายังไม่ทันเข้าไป และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช่ซือถูเซิงหรือไม่ ดังนั้นอย่าทำตัวมีพิรุธจนคนจับได้
เพราะนี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ดังนั้นพวกเขาจึงเคาะประตูค่อนข้างเสียงดัง
…
ภายในลานบ้าน ซือถูรุ่ยกำลังนั่งพิงสาวงามที่สวมเพียงผ้าโปร่งบาง ๆ อยู่ คนหนึ่งกำลังนวดขา ส่วนอีกคนก็กำลังป้อนผลไม้ให้เขาอยู่ และสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังสตรีที่กำลังร้องเพลงอยู่ในศาลากลางน้ำด้วยความว่างเปล่า
สตรีผู้นั้นสวมชุดแขนกว้างกระโปรงพลิ้วไหวสีฟ้าอ่อน ซึ่งเป็นแบบที่ซือถูเซิงชอบมากที่สุด
แสงจันทร์ที่ส่องลงมากระทบผิวของทะเลสาบ สะท้อนเข้ากับรูปร่างเพรียวบางของนาง นางเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ตามท่วงทำนองของเพลง สายลมเอื่อย ๆ พัดชายเสื้อของนางขึ้น ร่างนั้นเหมือนจะลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ทุกเมื่อ ราวกับฉางเอ๋อร์แห่งตำหนักกว่างหานก็มิปาน
ซือถูรุ่ยมองภาพตรงหน้า และเผยสีหน้าหลงใหลออกมา ส่วนบรรดาสาวใช้ที่อยู่ข้างกายก็ชินชาเสียแล้ว ราวกับการที่เขาเป็นเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ!”
มีเสียงเรียกดังขึ้น ดึงจิตใจที่ฟุ้งซ่านของซือถูรุ่ยกลับคืนมา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่พอใจ “มีอะไร”
“ท่านไช่หุ่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้กำลังรอความช่วยเหลืออยู่ที่หน้าประตู ขอท่านเจ้าเมืองสั่งการด้วยขอรับ”
“อะไรนะ?” ซือถูรุ่ยตกตะลึง ไช่หุ่ยไปจัดการจีฝูเย่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บได้?
จีฝูเย่ทำอะไรเขาอย่างนั้นหรือ?
“รีบพาคนเข้ามา”
“ขอรับ”
บนทะเลสาบ หากซือถูรุ่ยไม่สั่งให้หยุด สตรีผู้นั้นก็ต้องขับร้องต่อไป
“ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ซือถูรุ่ยชี้ไปทิศทางที่เกิดไฟไหม้ แล้วเอ่ยถามขึ้นมา
“เรือนของท่านไช่หุ่ยเกิดไฟไหม้ เขากระโดดเข้าไปในกองเพลิง จึงได้กลายเป็นเช่นนี้ขอรับ”
“แล้วจะมัวยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า ให้คนไปดับไฟด้วย จะรอให้ไฟนั่นมาไหม้หัวของข้าก่อนหรืออย่างไร!”
“ขอรับ ๆ ๆ!”
“ให้คนหามไช่หุ่ยเข้ามาใกล้ ๆ สิ”
ไม่นานพวกเผยยวนก็เดินเข้ามาในเรือนของซือถูรุ่ยอย่างเป็นทางการ โดยทิ้งอาชิงเอาไว้ด้านนอก ให้หานฉีคอยเฝ้าเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็พบกับสตรีที่ร้องเพลงในศาลากลางทะเลสาบ
เพียงแค่แวบเดียว อาเหริ่นก็หลุบตาลง นั่นไม่ใช่เซิงเซิง
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอาเหริ่น ทุกคนก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่นาง
แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ต้องหาดูก่อนว่ามีเบาะแสอะไรอื่นอีกหรือไม่
ซือถูรุ่ยเดินมาตรงหน้าของพวกเขา และหยุดสายตาอยู่ที่อาเหริ่นครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วและมองไปที่ไช่หุ่ยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“นี่?”
ในเวลานี้เขาแทบจะจำไช่หุ่ยไม่ได้แล้ว ร่างที่เดิมก็แก่ชราอยู่แล้ว เวลานี้เมื่อถูกไฟคลอกเสื้อผ้าก็ละลายติดเนื้อจนแยกไม่ออก และได้กลิ่นเนื้อไหม้ลอยมา เขาจึงพูดด้วยความรังเกียจ “รีบพาหมอมา”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ไป๋จิ่นแล้วเอ่ยถามขึ้นมา “ตอนที่พวกเจ้าช่วยกันดับไฟ เขาเพิ่งจะกลับมา หรืออยู่ด้านในอยู่แล้ว?”
หากเป็นข้อแรก เช่นนั้นก็แปลว่ามีคนตั้งใจทำร้ายเขา ไม่แน่อาจเป็นการโต้กลับของจีฝูเย่ แต่หากเป็นอย่างหลังเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าเขาดวงซวยเอง มีพลุตกลงมาจนทำให้เกิดไฟไหม้
“เรียนท่านเจ้าเมือง พวกเราก็ไม่แน่ใจ ตอนที่พวกเราไปถึงเขาก็มีสภาพเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ”
ไช่หุ่ยผู้นี้หากไม่ฟื้นขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็ต้องโทษความซวยของตัวเองแล้ว
แต่ทางที่ดีสำหรับไช่หุ่ยในตอนนี้ก็คือตายไปซะ เพราะหากเขายังมีลมหายใจอยู่ล่ะก็ พวกไป๋จิ่นต้องพาเขากลับไปส่งที่สำนักให้พวกผู้อาวุโสจัดการอย่างแน่นอน
ดังนั้นเจ้าต้องอดทนเอาไว้นะ!
ไช่หุ่ย ข้าตายเสียยังดีกว่า
.