เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 536 เจ้าไม่คิดถึงข้า
บทที่ 536 เจ้าไม่คิดถึงข้า
ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า มีสายลมพัดผ่านมาเบา ๆ
กองวัชพืชที่สูงเท่าหน้าแข้งถูกกองทัพทหารเกราะเหล็กแหวกออก
พวกเขาจ้องมองเส้นเขตแดนนั่น และอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง
“วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อก็ยังไม่กลับมา ทางท่านอ๋องกับพระชายาคงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง”
“ถุย ปากเสีย”
“ก็ข้าร้อนใจนี่นา” คนผู้นั้นเกาหัว
ลู่เอี้ยนยืนขึ้น เขารออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว ทั้งยังกลัวว่าพวกเผยยวนที่ไปถึงเมืองเจว๋เฉิงนั่นแล้ว จะไม่สามารถกลับออกมาได้อีก
ไม่รู้ว่าพอถึงเวลาเขาต้องไปรับคนที่เมืองเจว๋เฉิงด้วยตัวเองหรือว่าอย่างไรกัน
ขณะที่ลู่เอี้ยนเป็นกังวลอยู่นั้น ทหารชั้นผู้น้อยก็ตะโกนขึ้นมา “มาแล้ว ๆ มีคนมาแล้ว!”
ลู่เอี้ยนรีบหยิบกล้องส่องทางไกลออกมา ก็พบว่าเป็นจ้านอิ่งที่วิ่งนำหน้ามาทางพวกเขาด้วยความดีใจ
“พวกเขากลับมาแล้ว! เร็วเข้า!” ลู่เอี้ยนดีใจเป็นอย่างมาก
จ้านอิ่งวิ่งห้อตะบึงมาแต่ไกล ควบฝีเท้าวิ่งมาหาพวกเขาอย่างมีความสุข
ซือถูรุ่ยที่ถูกล่ามไว้ทางด้านหลัง ก็เกือบจะถูกม้าเหยียบไปด้วย
“ให้ตายเถอะ นี่มันตัวอะไรกัน เลือดท่วมตัวไปหมด?” ทหารชั้นผู้น้อยร้องออกมา ก่อนจะเข้าไปดูใกล้ ๆ
“เฮ้อ ยังต้องเดาอีกหรือ ดูจากสภาพแล้ว ต้องเป็นเชลยที่พระชายาจับมาใหม่อย่างแน่นอน”
เผยยวนเปิดม่านรถม้าขึ้น ลู่เอี้ยนเข้าไปประสานมือคารวะ “เดินทางราบรื่นหรือไม่?”
“ซือถูรุ่ยอยู่นี่ เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
“นี่คือซือถูรุ่ยอย่างนั้นหรือ!?” ลู่เอี้ยนรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะถามออกมาด้วยความเคร่งเครียด “เช่นนั้นแม่ของเด็กทั้งสองคนเล่า หาเจอหรือไม่?”
“หาเจอแล้ว กลับค่ายก่อนค่อยคุยกันเถอะ”
รถม้าเคลื่อนขบวนต่อ เย่จิ่งฝูกำลังหลับอย่างสบาย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ารถม้าสั่นเล็กน้อย นางคิดว่าล้อคงติดก้อนหิน จึงหมุนกายไปอย่างไม่สบอารมณ์ รอนางกลับไปถึงค่ายแล้ว จะขอหลับให้เต็มอิ่มสักตื่น
เมื่อลู่เอี้ยนขึ้นมา สิ่งที่เห็นก็คือท่าทางเช่นนี้ของเย่จิ่งฝู เขาอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ นาง
เย่จิ่งฝูนอนหลับลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ในมือยังคงถือสมุนไพรที่ขุดมาจากภูเขาเอาไว้ เพราะตัดใจทิ้งไม่ลง
ลู่เอี้ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ตั้งใจว่าจะเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาให้นาง
ทว่าสุดท้ายกลับสบตากับนางตรง ๆ
เย่จิ่งฝู “???”
ลู่เอี้ยนยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหยิกแก้มของนาง “สติหลุดไปแล้วหรืออย่างไร?”
“เอดใอเอ้าอึ๋งอาอู่อี้อี้ไอ้?” (เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?)
ลู่เอี้ยนปล่อยมือที่หยิกแก้มของนาง “หลังจากที่ท่านหมอเย่จากไป ข้าก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ ดังนั้นจึงถอดวิญญาณมาเข้าฝันเพื่อจะได้พบท่านหมอเย่”
เย่จิ่งฝูมองด้วยความฉงน “ฮะ?”
ลู่เอี้ยนเห็นนางตกตะลึงเหมือนสุนัขโง่ อ่อ ไม่ใช่ อย่างไรเสียนางก็เป็นว่าที่ภรรยาของเขา
“ข้าล้อเจ้าเล่น”
ในที่สุดเย่จิ่งฝูก็ได้สติขึ้นมาแล้ว จึงทุบเขาไปหนึ่งที “เจ้านี่น่ารำคาญจริง ๆ”
“ไม่ได้เจอข้าตั้งหลายวัน เจอหน้ากันก็ด่าข้าก่อนเลยหรือ?” ลู่เอี้ยนรู้สึกน้อยใจ “เจ้าไม่อยู่เห็นหรือไม่ว่าข้าผอมลง ข้าภาวนาให้เจ้าปลอดภัยกลับมาทุกวัน”
เย่จิ่งฝูรู้สึกชาไปทั่วร่าง มาแล้ว ๆ มาอีกแล้ว
เคล็ดวิชาน้ำเน่าของทายาทสายตรงตระกูลลู่
“ไม่คิดถึงข้าเลยหรือ?”
“สักนิดก็ไม่คิดถึง?”
“สักนิดเดียวล่ะ?”
ลู่เอี้ยนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เย่จิ่งฝูถูกเขาเบียดจนจะไม่มีที่ให้ถอยแล้ว ร่างทั้งร่างขดอยู่ในมุมเล็ก ๆ บนรถม้า ใบหูก็แดงก่ำไปหมด
“ไม่!” นางกระเด้งตัวกลับมา และตอบกลับไปทันที
ลู่เอี้ยนกุมหน้าอกเอาไว้ ทำสีหน้าเหมือนคนใจสลาย ราวกับถูกผู้หญิงหักอก “ท่านหมอเย่ช่างไร้หัวใจยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้น้อยก็เข้าใจแล้ว”
เย่จิ่งฝูกะพริบตาปริบ ๆ มองดูเขาหันหลังให้ ท่าทางคล้ายกับคนที่เสียใจมาก
“เอ่อ ก็มีบ้าง คิดถึงนิดหน่อย”
เย่จิ่งฝูยังกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด จึงยกนิ้วขึ้นมาเพื่อบอกว่าคิดถึงเท่าใด “มากเท่านี้ มากกว่านี้ก็ไม่มีให้แล้ว”
“เฮ้อ~~~” ลู่เอี้ยนเหลือบมองเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจยาว ท่าทางนั้นราวกับคนที่เพิ่งฟื้นคืนชีพ ก่อนจะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง
ทำให้ความรู้สึกผิดในใจของเย่จิ่งฝูทวีความรุนแรงมากขึ้น
สูด นางกลัวคนอื่นใช้ไม้นี้กับนางมากจริง ๆ
ดังนั้นนางจึงเพิ่มความห่างระหว่างนิ้วออกอีกเล็กน้อย ขยายช่องว่างอีกหน่อย “ความจริงแล้วเมื่อครู่ข้าหลอกเจ้า ข้าคิดถึงเจ้า เจ้าดูสิ ใหญ่เท่าฝ่ามือเลย มากกว่าเมื่อครู่ใช่หรือไม่?”
“เฮ้อ~~~~ พบพานทะเลชางไห่ ทะเลอื่นก็ไม่อาจเทียบได้*…” เสียงถอนหายใจของลู่เอี้ยนแทบจะดังออกไปข้างนอกอยู่แล้ว
* พบพานทะเลชางไห่ ทะเลอื่นก็ไม่อาจเทียบได้ (曾经沧海难为水) หมายถึง หลังจากเคยพบสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งอื่นก็ไม่อยู่ในสายตาอีก
เย่จิ่งฝูจึงรีบปิดปากของเขาเอาไว้ทันที “ข้าหลอกเจ้า ๆ ข้าคิดถึงเจ้าทุกวัน คิดถึงทั้งเช้าค่ำ กินข้าวเช้าหรือยัง กินข้าวกลางวันหรือยัง กินข้าวเย็นหรือยัง กินมื้อค่ำหรือยัง”
ดวงตาของลู่เอี้ยนเวลานี้แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกุมมือนางเอาไว้ “ที่แท้อาฝูก็คิดถึงข้าเพียงนี้”
อาฝู!!
ทันใดนั้นอาฝูก็เขินจนใช้นิ้วเท้าเขี่ยพื้นรถม้าไปมา จนแทบจะทำให้พื้นกลายเป็นตระกูลหมอเทวดา กับเมืองเพี่ยวโจวอีกหนึ่งเมืองได้อยู่แล้ว
“ใช่ที่ใดกัน ข้าสาบานกับฟ้าดินก็ได้” ผู้น้อยยินดีจะกินทั้งผักและเนื้อ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้เขารีบหุบปากด้วยเถอะเจ้าค่ะ!
“เช่นนั้น…เช่นนั้นแม่นางที่มีคนในใจแล้ว ต้องเอ่ยทักทายคนรักเช่นไร?”
เย่จิ่งฝูอ้าปากพะงาบ ๆ กำลังคิดจะด่าเขาว่า อย่าได้คืบจะเอาศอก
แต่ลู่เอี้ยนก็ถอนหายใจออกมาเสียก่อน และเอ่ยขึ้นมา “ช่างน่าสงสารยิ่งนัก หัวใจข้าเฝ้าคิดถึงแต่อาฝูจนซูบผอมลง งานการก็ไม่มีกะใจจะทำ ทว่าเรื่องแค่นี้อาฝูก็ยังไม่ยินดีจะทำ”
“ข้า…ข้ายินดี” เสียงของนางเริ่มเบาลง
“เช่นนั้นเจ้าลองทักทายข้าอีกทีสิ”
เย่จิ่งฝูริมฝีปากสั่นเทา “ช่วงนี้สบายดีหรือไม่?”
“น้ำเสียงของเจ้าแข็งจังเลย”
คำขอเยอะจริง ๆ
“ช่วงนี้อยู่ในเมืองทำอะไรอย่างนั้นหรือ~”
ลู่เอี้ยน “…”
“ข้าไม่ได้ทำเป็ด**”
** เป็ด (鸭) ภาษาจีนอ่านออกเสียงเหมือนกับคำลงท้ายประโยคที่เย่จิ่งฝูพูด มีความหมายว่า ผู้ชายขายบริการ
“…”
เย่จิ่งฝูจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความโมโห เพราะหูที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจล่วงเกินได้ของนาง ได้ยินอะไรเข้าแล้ว!?
“อ๊าย! เจ้าคนชั่ว!” เสียงร้องที่ฟังดูน่าสยดสยองดังออกมาจากในรถม้า
ทำให้เยว่พั่วหลัวตกใจจนสะดุ้งขึ้นมา ไป๋จิ่นถึงกับต้องสูดปาก “เบาหน่อย”
เยว่พั่วหลัวตบหลังของเขา “ใครใช้ให้เมื่อคืนนี้มานอนข้างข้ากันเล่า เจ้าตกหมอนเองยังจะมาโทษข้าอีกหรือ”
“นอนข้าง ๆ เจ้าแล้วข้ารู้สึกปลอดภัย” ไป๋จิ่นเอ่ยตรง ๆ
ไม่ดูเผยจื่อกับลูกพี่ฮวนฮวนเป็นตัวอย่างบ้างเล่า
เผยจื่อนั่นแทบจะไม่ต่างจากสุนัขหางใหญ่ ๆ ที่เดินได้อยู่แล้ว ลูกพี่ฮวนฮวนเดินไปที่ใด เขาก็มักจะตามไปที่นั่น
ส่วนเขาก็แค่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามเท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องอย่างว่า พอไม่ได้ทำแค่สองสามวัน เขาก็แทบจะบ้าตายแล้ว
คิดได้ดังนั้นสายตาของไป๋จิ่นก็เปลี่ยนไป
เยว่พั่วหลัวอ้าปากหาว อย่างไรเสียอยู่ข้างนอกนางก็นอนไม่หลับอยู่ดี เพราะถูกไป๋จิ่นใช้เป็นหมอนมนุษย์ให้เขาหนุน
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าตรงสายคาดเอวมีคนจับเอาไว้ เยว่พั่วหลัวก้มหน้าลงไปมอง ไป๋จิ่นก็ขยับเข้ามาใกล้ “คืนนี้ไปที่ห้องเจ้า หรือเจ้าจะมาที่ห้องข้า?”
ชาวยุทธ์อย่างพวกเขานั้นไม่เหมือนคนทั่วไป ที่ต้องยึดติดกับเรื่องแต่งงาน ดังนั้นจึงอยู่กันโดยไม่แต่งงานเสียมากกว่า
แต่ว่าเยว่พั่วหลัวรู้สึกว่ามีหลายครั้งที่ไป๋จิ่นชอบเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป นางจึงรู้สึกไม่พอใจเท่าใดนัก
“ไม่ไป”
ไป๋จิ่นร้อนใจขึ้นมา “เพราะอะไร?”
เยว่พั่วหลัวปรายตามองเขา “เจ้าไปฝึกฝนมาใหม่ก่อนเถอะ”
…
ขณะที่พูดคุยกันนั้น คนทั้งกลุ่มก็ได้มาถึงค่ายทหารแล้ว
นอกจากพวกฮวาหลางที่ออกมาต้อนรับพวกอาเหริ่นด้วยความดีใจ ซือถูรุ่ยกับไช่หุ่ยก็สลบไปแล้ว ตอนที่ไป๋จิ่นกับเย่จิ่งฝูลงมาจากรถม้า สีหน้าของพวกเขาก็ดูย่ำแย่ไม่แพ้กัน ก่อนจะกลับไปที่กระโจมของตัวเองด้วยความโมโห และยังบอกอีกว่าคืนนี้จะไม่กินข้าว
“ท่านอาจารย์เขาเป็นอะไรไปหรือขอรับ เหตุใดสีหน้าถึงได้แย่เพียงนั้น ทุกครั้งเวลาที่ท่านแม่มีระดูก็จะมีสีหน้าซีดเซียวเช่นนั้น อาจารย์ก็กำลังมีระดูใช่หรือไม่?” อาชิงโยกหัวไปมา ต้องเป็นเช่นนี้แน่! เขาต้องไปต้มน้ำตาลทรายแดงให้อาจารย์แล้ว!
อาจารย์ อาชิงมาแล้ว!
.