เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 547 เมืองเจว๋เฉิงแตกแล้ว
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 547 เมืองเจว๋เฉิงแตกแล้ว
บทที่ 547 เมืองเจว๋เฉิงแตกแล้ว
สองวันต่อมา
ประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองเจว๋เฉิง ยังไม่รู้ตัวว่ากองทัพของศัตรูได้บุกมาประชิดเมืองแล้ว
พวกเขารู้แค่ว่าช่วงสองวันที่ผ่านมา ชาวยุทธ์ที่มักจะเดินไปเดินมาในเมืองลดน้อยลงไปมาก และในที่สุดพวกเขาก็ได้มีชีวิตที่สงบเสียที
พวกเขายังคิดกันอยู่เลยว่าคงมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นในวันเกิดของซือถูรุ่ยเป็นแน่
เมื่อเมืองเจว๋เฉิงที่อึกทึกครึกโครมมาหลายวันเงียบสงบลง จึงทำให้พวกชาวบ้านเข้านอนตั้งแต่หัววัน
ทางทิศตะวันออกของเมือง คนที่สวมเสื้อผ้ามอมแมมกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บอาหารบนพื้นกินอยู่
คนที่รับผิดชอบเฝ้าพวกเขาเอาไว้ ก็คือทหารของเมืองเจว๋เฉิง
“กิน ๆ ๆ เหมือนหมูเหมือนหมา เอาแต่กิน พวกชั้นต่ำ”
ความอัปยศเช่นนี้ พวกเขาต่างคุ้นชินมานานแล้ว
พวกเขาต่างหยิบอาหารขึ้นมากินอย่างด้านชา
ในแต่ละวันพวกเขาจะได้รับอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะหากไม่กินก็มีโอกาสมากที่จะทนได้ไม่ถึงวันพรุ่งนี้
“ท่านปู่ ท่านกินสักสองคำนะขอรับ นี่ยังนุ่มอยู่เลยขอรับ” เด็กชายอายุประมาณแปดเก้าขวบคนหนึ่งคุกเข่าลงข้างชายชราและพูดกับเขาเบา ๆ
ชายชรานอนหายใจรวยรินอยู่ที่มุมหนึ่ง โดยมีโซ่เหล็กตรึงเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเจว๋เฉิงมาตั้งแต่สมัยต้าจิ้น โดยตระกูลซือถูได้ออกคำสั่งลดสถานะของราษฎรทั้งหมดที่มีสำมะโนครัวเป็นคนต้าจิ้นให้กลายเป็นแค่ทาส
กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีฐานะต่ำที่สุดในเมืองเจว๋เฉิง เพราะแม้แต่สุนัขของคนรวยก็ยังมีฐานะสูงกว่าพวกเขา
ส่วนชนชั้นสูงในเมืองเจว๋เฉิงทั้งหมด ต่างก็เป็นครอบครัวของทหาร หรือมีแซ่ซือถู
หรือแม้แต่จะอพยพมาจากที่อื่นก็ได้
ส่วน ‘ชาวต้าจิ้น’ สามคำนี้ เมื่ออยู่ในเมืองเจว๋เฉิงก็ไม่ต่างอะไรจากหมูหมาเลยสักนิด
หลังจากถูกทรมานวันแล้ววันเล่า พวกเขาจึงด้านชากันไปนานแล้ว และไม่หวังว่าราชสำนักจะส่งคนมาช่วยพวกเขาอีกต่อไป
ดวงตาขุ่นมัวของชายชรามองดูหลานชาย ก่อนน้ำตาจะไหลลงมาอย่างแผ่วเบา
เขาแก่แล้ว แต่หลานชายของเขายังเด็กอยู่
เขาตายก็ไม่เป็นอะไร แต่หลานชายของเขายังต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ เขาไม่สามารถกลืนความโกรธแค้นนี้ลงได้ และไม่สามารถวางใจได้จริง ๆ
ไม่มีใครกล้าพูดออกมา แต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าที่นี่จะต้องมีคนตายทุกวัน ไม่มีอะไรแปลก บางทีพวกเขาอาจจะเป็นรายต่อไปก็ได้
“ท่านปู่ เหตุใดพวกเราถึงเป็นชาวต้าจิ้นด้วยเล่าขอรับ หากเป็นชาวเมืองเจว๋เฉิงก็คงจะดี” ในที่สุดหลานชายตัวน้อยก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
ชายชราจับมือของเขาเอาไว้แน่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาเองก็เคยคิดเช่นนี้ แต่น่าเสียดาย…
ที่ผ่านมาราชสำนักไม่เคยจดจำพวกเขาได้เลย
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองเจว๋เฉิงทุกวัน จนกระทั่งเสียงระเบิดของปืนใหญ่จู่ ๆ ก็ดังขึ้น ทหารที่เฝ้าพวกเขาอยู่พลันรีบร้อนจากไปทันที ทุกคนจึงได้ลุกขึ้นยืน และมองออกไปข้างนอก
นอกประตูเมืองมีเปลวเพลิงลุกโชน นอกกำแพงผู้คนมากมายต่างกำลังตะโกน “มีคนโจมตีเมือง! รีบหนีไป!”
ในขณะที่พวกเขากำลังสับสนอยู่นั้น ทหารที่จากไปก็ได้กลับมาอีกครั้ง ก่อนจะลากพวกเขาออกไป “ไปเร็วเข้า!”
“นายท่าน พวกเราไม่ต้องทำงานแบกหามตอนกลางคืนแล้วหรือขอรับ!”
ทหารเหล่านั้นหมดความอดทน “พูดไร้สาระอะไรของเจ้า!”
บนกำแพงเมือง ซือถูหงเอ่ยถาม “เอาคนมาหมดแล้วใช่หรือไม่?”
“พามาหมดแล้วขอรับ ท่านแม่ทัพ หรือว่าพวกเราจะเลียนแบบสือฟาง ลากทาสเหล่านี้ออกไปเป็นโล่กำบังดีขอรับ?”
ซือถูหงสาปแช่งด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าเผยยวนนั่นบุกโจมตีเมืองอย่างกะทันหัน ทั้งยังเลือกช่วงเวลากลางดึก เช่นนั้นก็อย่าโทษหากข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน”
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่รู้ว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กนั่นใช้อาวุธอะไรยิงปืนใหญ่ลงเขามา ธนูไฟและอาวุธลับของพวกเขาล้วนไม่มีประโยชน์ ราวกับไม่อาจทำลายได้อย่างไรอย่างนั้น มิหนำซ้ำกองทัพทหารเกราะเหล็กก็รุกคืบเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนอีกด้วย!
หน้าหลังสอดประสาน พวกเขาเริ่มเอาดินและทรายมาถมตรงคูเมือง เพื่อเตรียมจะปีนเข้าทางประตูเมืองแล้ว
ซือถูหงต้องการซื้อเวลาให้ตัวเอง ไม่อาจปล่อยให้เผยยวนบุกตะลุยเข้ามาเช่นนี้ได้
และในขณะนั้นเองซือถูหงก็ได้เห็นมันกับตา
กองปืนไฟที่ทำให้ซือถูรุ่ยหวาดกลัวนั่น
หากมีคนโผล่หัวออกไป ก็จะถูกยิงตายภายในนัดเดียว
ไม่ต้องพูดถึงการนำทาสเหล่านั้นขึ้นมาขู่เพื่อให้เผยยวนยอมถอยทัพ เพราะคนที่เพิ่งจะโผล่หัวออกไปต้องการจะตะโกนข่มขู่ ล้วนถูกพวกเผยยวนยิงสวนทันที
วิธีการต่อสู้เช่นนี้ของพวกเขา ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เจรจาแต่อย่างใด
และซือถูหงก็ไม่สามารถด่าพวกเขาว่าไร้ยางอายได้
เพราะกองทัพทหารเกราะเหล็กได้ส่งทูตมาแล้ว แต่เป็นซือถูหงเองที่ไม่ยินดีเจรจาด้วย และไม่ใช่กองทัพทหารเกราะเหล็กที่เป็นฝ่ายไม่อยากร่วมมือกับเขา
เผยยวนนั่งอยู่บนหลังม้า ด้านหน้าคือปืนใหญ่ที่ทรงอานุภาพ ส่วนตรงหน้าเขา เผยเสี่ยวเตากำลังมัดซือถูรุ่ยขณะยืนอยู่บนแท่นปืนใหญ่ ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “กฎเดิม ผู้ที่ยอมจำนนพวกเราจะไว้ชีวิต!”
“ท่านแม่ทัพ นั่นคือท่านเจ้าเมืองขอรับ!” มีคนเห็นซือถูรุ่ยแล้ว
ซือถูหงจึงเตะเขาไปหนึ่งที “พวกเจ้ามองผิดแล้ว ท่านเจ้าเมืองไม่อยู่ ธงห้าสายเล่า ตั้งขบวนได้!”
ซือถูหงที่อยู่ทางนี้เพิ่งจะโบกธง พื้นดินด้านนอกเมืองเจว๋เฉิงก็ราวกับมีมังกรดินพลิกตัวไปมา เพราะมีทหารของเมืองเจว๋เฉิงจำนวนมากโจมตีมาจากทางใต้ดิน แต่ละคนถือโซ่เหล็กไว้ในมือ โดยมุ่งเป้าไปที่ทหารม้าและทหารราบโดยเฉพาะ
ทว่าเผยยวนเคยเห็นการซ้อมรบของทหารเมืองเจว๋เฉิงมาแล้ว เขาจึงคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก
น้ำมันตะเกียงจำนวนมากที่เตรียมไว้จึงถูกเทลงมาจากเครื่องยิงหินขนาดใหญ่ทั้งสองด้าน ทำให้ทหารเมืองเจว๋เฉิงที่ขึ้นมาจากทางใต้ดินถูกน้ำมันร้อน ๆ ลวกตายอยู่ภายในนั้น
ซือถูหงตาแทบจะถลนออกมา ไม่อยากจะเชื่อกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ขณะที่เผยยวนกับเขาสบตากัน ก็มีปืนอีกหนึ่งนัดยิงมาจากด้านข้าง โดนปลายหมวกเกราะที่ยื่นออกมาของซือถูหง
หมวกเกราะนั่นอยู่กับซือถูหงมาหลายปี เมื่อถูกกระสุนของกองปืนไฟกลับแตกอย่างง่ายดาย ช่างเปราะบางยิ่งนัก
ซือถูหงทำได้เพียงหยิบไม้ยาวขึ้นมาออกคำสั่งเท่านั้น เพราะกลัวว่าหากโผล่หัวออกไปจะถูกยิงอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าเขาคิดจะทำอย่างไร ก็ล้วนอยู่ในการควบคุมของเผยยวนทั้งสิ้น
ทัพที่เขาจัดมาครั้งนี้ สามารถสกัดทหารห้าหน่วยที่ซือถูรุ่ยจัดเตรียมไว้ได้ทั้งหมด
สุดท้ายซือถูหงก็ไม่เรียกใช้ทหารห้าหน่วยที่ซือถูรุ่ยฝึกมาอย่างหนักอีกต่อไป แต่เลือกต่อสู้ตามวิธีการของเขาเอง
อาวุธธรรมดาสามารถแข่งกับปืนไฟและปืนใหญ่ได้ที่ใดกัน
เผยยวนชักดาบสังหารออกมา เมื่อแสงแรกในยามเช้าสาดส่องลงมา เขาก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “เหล่าทหารแห่งกองทัพทหารเกราะเหล็ก! บุกเข้าเมือง!”
เอ่ยจบก็เหวี่ยงดาบยาวหนึ่งครั้ง ธงรบสีดำของกองทัพทหารเกราะเหล็กทางด้านหลังถูกเขาใช้กำลังภายในซัดพุ่งไปทางกำแพงเมือง ก่อนจะปักลงที่กำแพงเมืองเจว๋เฉิงอย่างแน่นหนา!
มีเสียงลมพัดกระหน่ำ ทหารจำนวนมากบุกโจมตีเมืองเจว๋เฉิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน!
หลังจากผ่านมาหลายปี ธงทหารของต้าจิ้นก็ถูกปักไว้บนดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง
ธงทหารโบกสะบัด ราวกับวิญญาณวีรชนและวิญญาณผู้ที่ตายไปกำลังต้อนรับผู้นำทางข้ามแดนของพวกเขา เพื่อพาพวกเขากลับบ้านอีกครั้ง!
ในวันที่สิบเดือนสาม นอกจากทหารที่อยู่ปกป้องค่ายแล้ว กองทัพทหารเกราะเหล็กต่างก็เดินทัพออกไปต่อสู้ตลอดทั้งคืน
พลบค่ำของวันที่สิบ ทหารเมืองเจว๋เฉิงที่ถูกกดดันต่างก็หวาดกลัว และมีบางส่วนเริ่มยอมจำนน แม้ว่าบางส่วนจะติดตามแม่ทัพซือถูหงล่าถอยไปทางทิศตะวันออกของเมือง แต่บางส่วนก็ยังคงต่อสู้อย่างดุเดือดภายในเมือง
ในเช้าตรู่ของวันที่สิบเอ็ด ซือถูหงกลับไม่พบกำลังเสริมจากเผ่าถูกู่หุนที่เฝ้ารอ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงหลบเข้าไปอยู่ในจวนเจ้าเมืองเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม
กองทัพทหารเกราะเหล็กจึงฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหลรีบบุกเข้าโจมตี ทหารเมืองเจว๋เฉิงที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้อีกแล้ว
เช้าวันที่สิบสอง ทุกคนในเมืองเจว๋เฉิงจึงยอมวางอาวุธและยอมจำนน กองทัพทหารเกราะเหล็กจับตัวซือถูหงได้ และสั่งแขวนคอประหารนักโทษหนีคดีหลายร้อยคนในเมืองด้วย
เมื่อมาถึงจุดนี้ธงทั้งหมดในเมืองเจว๋เฉิงก็ถูกแทนที่ด้วยธงทหารของต้าจิ้น พวกเขาสามารถยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาได้ ราษฎรชาวต้าจิ้นที่อยู่ในเมืองเจว๋เฉิงต่างร้องไห้คร่ำครวญและวิ่งไปรอบ ๆ คนแก่ต่างก็คุกเข่าลงหันหน้าคำนับไปทางทิศตะวันออกและไม่ยอมลุกขึ้น
ในเวลานี้ทุกคนที่อยู่ภายในเมืองต่างก็รู้สึกปีติยินดี