เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 559 ลูกอกตัญญู ศิษย์อกตัญญู!
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 559 ลูกอกตัญญู ศิษย์อกตัญญู!
ทุ่งหญ้าเมืองโยวอวิ๋น
“เร็วเข้า! หมาป่าหิมะ รีบตามมา!” เด็กผู้หญิงที่สวมชุดสีแดงขี่ม้าพร้อมส่งเสียงตะโกน ในมือยังถือฉิว*หลากสีสันเอาไว้อีกด้วย
* ฉิว (球) หมายถึง ลูกบอล
ด้านหลังมีหมาป่าหิมะฝูงหนึ่งวิ่งตามมา ภาพนี้น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
จากนั้นเด็กผู้หญิงคนนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะกระโดดอีกหนึ่งทีแล้วโยนฉิวหลากสีในมือออกไป ตีลังกากลับหลังเตะฉิวหลากสีเข้าไปในรูที่อยู่ข้างหน้า
“พี่หญิงได้หนึ่งคะแนน!!!” อาชิงที่อยู่ข้าง ๆ รีบพลิกป้ายนับคะแนนอย่างรวดเร็ว
เซียวเซวียนจิ่นที่ตามหลังมาเอ่ยขึ้น “ข้าแพ้แล้ว”
อาอินเอามือทั้งสองข้างเท้าเอว “ท่านยอมให้ข้าอีกแล้ว น่าเบื่อจริง ๆ ครั้งหน้าข้าไปเล่นกับพวกฉู่จิ้นดีกว่า”
เซียวเซวียนจิ่นรีบวิ่งตามก้นนางไปต้อย ๆ “นี่ ๆ ๆ อย่าเพิ่งโมโหสิ”
อาอินหันหน้าไปไม่สนใจเขาอีก บรรดาหมาป่าหิมะก็ตามหลังมาอย่างประจบประแจง
อาเหริ่นที่อยู่นอกกระโจมกำลังมองไกลออกไป ขณะที่ด้านในกระโจมจี้จือฮวนกำลังตรวจสอบเส้นเสียงให้กับซือถูเซิงอยู่
เผยยวนออกมาอยู่เป็นเพื่อนเขา “อาอินมีชีวิตชีวาและอยู่ไม่สุข มีพละกำลังที่ใช้ไม่เคยหมด หากเป็นเด็กผู้ชายเกรงว่าฟ้าคงจะถล่มลงมาแล้ว”
ดวงตาของอาเหริ่นกลับเปล่งประกายความภาคภูมิใจออกมา “สายใยความผูกพันระหว่างนางกับหมาป่าหิมะมีมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเด็กในเผ่าหลายคนกลับไม่สามารถทำเช่นนี้ได้”
เด็กบางคนอย่างมากก็ทำได้แค่เข้าใกล้หมาป่าหิมะเท่านั้น แต่เด็กที่สามารถอยู่ร่วมกับหมาป่าหิมะ อีกทั้งยังสามารถออกคำสั่งได้อย่างอาอินนั้นมีน้อยมากจริง ๆ
แม้แต่อูหลางเองก็ตกตะลึง ภายหน้าอาอินจะต้องพาเผ่าหมาป่าหิมะเดินไปในดินแดนที่ต่างออกไปเป็นแน่
“อ๊า~” มีเสียงดังออกมาจากในกระโจม
จี้จือฮวนเอ่ย “รู้สึกเช่นไรบ้าง?”
ซือถูเซิงทำภาษามือให้นาง “หลังจากที่ท่านทำการผ่าตัดให้ข้า ข้าก็เริ่มส่งเสียงได้บ้างแล้ว แต่เจ็บมาก”
“เจ็บถือเป็นเรื่องปกติ ช่วงพักฟื้นยังต้องกินยาแก้อักเสบต่อไป แต่ก็นับว่าฟื้นฟูได้มากแล้ว”
ตอนนั้นเองอาอินกับอาชิงก็วิ่งเข้ามา ทั้งสองคนวิ่งวุ่นอยู่รอบหนึ่ง เนื้อจ้ำม่ำที่ได้มาจากตอนอยู่หมู่บ้านตระกูลเฉิน ต่างก็หายไปเพราะได้วิ่งเล่นในระยะนี้
ตอนนี้อาชิงแข็งแรงขึ้นมาก ใบหน้าเล็กที่ขาวใสตากแดดจนคล้ำไปหมดแล้ว แต่ก็เริ่มดูเหมือนเด็กผู้ชายขึ้นมาบ้าง
ซือถูเซิงเห็นลูกทั้งสองดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้พวกเขาอย่างตั้งใจ
“ด้านนี้ท่านแม่เช็ดเสร็จแล้ว แต่ยังมีด้านนี้อีกขอรับ!” อาชิงขยับก้นเล็ก ๆ เข้ามาเพื่อออดอ้อน
จี้จือฮวนคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าผีน้อยนี่ต้องมาไม้นี้
“คอของท่านแม่ดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ อาอินอยากฟังท่านร้องเพลงมากเลยเจ้าค่ะ”
ซือถูเซิงทำภาษามือให้นาง อาอินเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง “เช่นนั้นก็หมายความว่าใกล้หายแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ!”
ซือถูเซิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม อ่อนโยนราวกับสามลมยามฤดูใบไม้ผลิ
ความจริงแล้วหากมองดูดี ๆ เด็กสองคนนี้นอกจากหน้าตาแล้ว นิสัยกลับไม่เหมือนซือถูเซิงและอาเหริ่นเลยแม้แต่นิดเดียว
และดูเหมือนว่าจะเป็นนิสัยที่เกิดจากสัญชาตญาณของตัวเองมากกว่า
เพราะในช่วงอายุที่ควรเรียนรู้จากผู้ใหญ่มากที่สุด ข้างกายพวกเขากลับมีเพียงเผยยวนเท่านั้น
“เช่นนั้นท่านแม่เล่าเจ้าคะ วันนี้น้องโตขึ้นหรือยังเจ้าคะ ข้าต้องตรวจสอบทุกวันนะเจ้าคะ”
เพราะผู้หญิงคนอื่นท้อง ท้องจะโตขึ้นราวกับมีแตงโมลูกใหญ่อยู่ในนั้น
แต่เหตุใดท่านแม่ยังดูผอมอยู่เลย
“จะเร็วขนาดนั้นได้อย่างไรกัน”
อาอินเอาฝ่ามือทาบลงไปอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้นเมื่อใดถึงจะใหญ่ขึ้นมาเล่าเจ้าคะ?”
“ต้องตั้งท้องสิบเดือนจึงจะคลอดเด็กตัวอ้วนกลมออกมาได้”
อาอินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็หันไปมองซือถูเซิงแล้วเอ่ยขึ้นมา “ท่านแม่ ตอนนั้นที่ท่านท้องข้ากับอาชิงลำบากมากใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นางตัวผอมแห้งเพียงนั้น ในท้องยังมีเด็กอีกสองคน ผู้หญิงบางคนแค่มีลูกคนเดียวก็หายใจไม่ออกแล้ว กลางคืนก็นอนหลับไม่เต็มอิ่มด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นการคลอดลูกก็ถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก แต่ท่านแม่กลับเสี่ยงชีวิตคลอดนางและอาชิงออกมา
ซือถูเซิงได้ยินลูกถามเช่นนั้นก็สะอึกขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปาก แม้เสียงจะแหบแห้งและอ่อนแรง แต่คำที่พูดออกมานั้นกลับชัดเจนอย่างมาก “ไม่ลำบาก”
แม้นางจะพูดเช่นนี้ แต่อาอินกับอาชิงก็ยังกอดนางเอาไว้คนละข้าง
“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ/ขอรับ”
นางเป็นคนพาพวกเขามาอยู่บนโลกใบนี้ และเป็นสายเลือดเดียวที่พวกเขาใกล้ชิดมากที่สุดบนโลกนี้
ส่วนท่านแม่ฮวนฮวนแม้จะไม่ได้คลอดพวกเขาออกมา แต่นางก็มอบความรักมากมายให้แก่พวกเขา
จู่ ๆ อาอินก็เอ่ยขึ้นมา “ข้ารู้สึกว่าข้าเหมือนเด็กผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้านี้เลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าก็เป็นเด็กผู้ชายที่มีความสุขที่สุด!”
ทันใดนั้นเด็กทั้งสองคนก็ยืดอกขึ้น!
“ข้าจะตั้งใจฝึกฝนร่างกาย เรียนศิลปะการต่อสู้ ภายหน้าข้าจะปกป้องท่านแม่เองเจ้าค่ะ!”
อาชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นข้าก็จะจับหนอนให้มาก ๆ!”
อาอินเอ่ยด้วยความรังเกียจ “อี๊~ หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะหาภรรยาไม่ได้เอานะ”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ดี ๆ ก็เริ่มทะเลาะกันขึ้นมา
“จะหาไม่ได้ได้อย่างไรกัน! อาจารย์ข้าบอกว่าขอเพียงจับหนอนได้มากพอ ภรรยาจะมีมากมายเพียงใดก็ได้ จะมีแต่คนมาต่อแถวรอแต่งงานกับข้า”
“นั่นคงเป็นวัฒนธรรมทางตอนใต้ของพวกนางกระมัง!” อาอินพูดแทงใจดำ
อาชิงมุ่ยปาก “ข้ายังสามารถแต่งงานกับท่านแม่ได้ด้วย และมีท่านแม่ตั้งสองคน”
ผู้ชายสองคนที่กำลังเดินเข้ากระโจม…
อาเหริ่น “…”
เส้นเลือดบนขมับของเผยยวนถึงกับเต้นตุบ ๆ เจ้าลูกอกตัญญูนี่
“หากไม่ได้อีก ข้ายังสามารถแต่งงานกับท่านอาจารย์ของข้าได้อยู่”
ไป๋จิ่นที่กำลังรวบรวมสินสอดจนหัวแทบโล้นเดินผ่านมาพอดี
เจ้าศิษย์อกตัญญูนี่!!!
สุดท้ายอาชิงคิดไปคิดมา “หากไม่ได้จริง ๆ ก็ยังมีหย่งหนิง”
เซียวเย่เจ๋อที่มีความสุขเพราะได้เนื้อกวางป่ามา และเตรียมจะเอามาให้จี้จือฮวนปรุงรส…
รอยยิ้มพลันแข็งค้างอยู่บนใบหน้า!
ข้าเห็นเจ้าเป็นเด็กน้อย แต่เจ้ากลับอยากเป็นอาเขยของข้าอย่างนั้นหรือ!?
“หากไม่ได้อีก ข้าแต่งกับพี่หญิงก็จบ~” อาชิงแบมือออก ทำท่าทางราวกับเอือมระอาอย่างมาก
เซียวเซวียนจิ่นที่ยืนอยู่ข้างกายอาอิน “???”
เยี่ยมจริง ๆ เจ้าเพียงคนเดียวกลับล่วงเกินผู้ชายของผู้หญิงทุกคนที่เอ่ยชื่อมาได้ สมกับเป็นเจ้าจริง ๆ อาชิงน้อย!
“ท่านอ๋องขอรับ!” ฉู่จิ้นตะโกนเข้ามาจากด้านนอก
สองวันมานี้ทหารใหม่ต่างฝึกพิเศษอยู่ข้างนอก ทำให้ตอนนี้แต่ละคนตากแดดจนเหมือนปลาหนีชิวดำแล้ว เมื่อเขาวิ่งเข้ามาทุกคนก็เกือบจะจำไม่ได้
เห็นเพียงฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบเท่านั้น
“มีอะไร”
“เจิ้นเป่ยอ๋อง กองทัพเจิ้นเป่ยของเจิ้นเป่ยอ๋องมาถึงแล้วขอรับ!”
“อะไรนะ?” เซียวเซวียนจิ่นดีใจอย่างมาก รีบเปิดม่านกระโจมและพุ่งตัวออกไปทันที
สายลับที่คอยรายงานข่าวก็ได้กลับมาถึงก่อนแล้ว
“ท่านอ๋อง อีกแปดลี้ก็จะมาถึงค่ายของพวกเราแล้วขอรับ”
เผยยวนเองก็ไม่ได้เจอเจิ้นเป่ยอ๋องมานานแล้ว เขาจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “เซวียนจิ่น ไปจูงม้าของเจ้ามา และตามข้าไปรับท่านพ่อของเจ้ากัน”
“ขอรับ!”
เซียวเซวียนจิ่นเดินไปที่คอกม้า อาอินก็ตามหลังไปด้วย “พี่ชาย ข้าไปด้วยนะเจ้าคะ”
เซียวเซวียนจิ่นผิวปากหนึ่งที หลังจากขึ้นไปบนหลังม้าแล้ว เขาก็อุ้มอาอินขึ้นมานั่งด้านหน้า “ไปเถอะ ไปด้วยกัน ท่านพ่อข้าจะได้พบเจ้าด้วย เพราะข้าพูดถึงเจ้าในจดหมายบ่อย ๆ”
อาอินเงยหน้าขึ้น “อย่างนั้นหรือเจ้าคะ เช่นนั้นท่านได้ชมว่าข้าเก่งหรือไม่เจ้าคะ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เหตุใดเผยยวนถึงรู้สึกว่าการที่พวกเขาสองคนขี่ม้าตัวเดียวกันช่างดูขัดหูขัดตายิ่งนัก “อาอิน มานั่งกับพ่อมา”
ทว่าครั้งนี้อาอินกลับไม่ยอม เพราะนั่งกับเซียวเซวียนจิ่นสบายกว่า อานม้าใหญ่กำลังพอดี และทุกครั้งท่านพ่อจะควบม้าเร็วมาก กระแทกกระทั้นจนนางอยากจะอาเจียนออกมาเสียให้ได้
“ท่านพ่อ ครั้งหน้าข้าค่อยนั่งกับท่านนะเจ้าคะ แต่ตอนนี้พวกเรารีบไปรับท่านลุงเจิ้นเป่ยกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
แม้ใคร ๆ ต่างก็พูดว่าตอนเด็ก ๆ นางเคยเจอเขามาแล้ว แต่นางกลับจำไม่ได้เลย!
นางก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านลุงจะเป็นคนสนุกสนานเหมือนที่พี่เซวียนจิ่นบอกหรือไม่
ส่วนท่านพ่อที่ถูกปฏิเสธก็น้ำตาตกใน
เผยยวนจึงแอบเพิ่มกฎให้เซียวเซวียนจิ่นในการมาสู่ขอลูกสาวเขาให้ยากขึ้นไปอีก!
.
.
.