เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 561 ลากคนมาตายด้วยกัน
บทที่ 561 ลากคนมาตายด้วยกัน
หม่าเหวินปินโมโหจนจะบ้าตายอยู่แล้ว จากนั้นก็ถูกจ้านอิ่งเตะจนกระเด็นออกไป แต่ยังคงคิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องพาคนมาปราบกองทัพทหารเกราะเหล็กให้จงได้
จ้านอิ่งพลิกกองหญ้าทั้งหมดให้คว่ำลง
เหล่าทหารชั้นผู้น้อยเห็นดังนั้นก็คิดจะไปเก็บขึ้นมา จี้จือฮวนจึงกระแอมเบา ๆ เรียกหนึ่งในนั้นเข้ามา
“พระชายา” ทหารชั้นผู้น้อยตื่นเต้นเล็กน้อย “เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่เล่าขอรับ? ที่นี่เหม็นยิ่งนัก จะทำให้ตัวท่านเหม็นไปด้วยนะขอรับ”
จี้จือฮวนพูดขึ้นมา “ข้าไม่เป็นไร แต่เมื่อครู่ข้าเห็นหม่าเหวินปินผู้นั้นใส่อะไรบางอย่างลงไปในหญ้า ดังนั้นตั้งแต่นี้ไปให้จับตามองเขาให้มากหน่อย”
ทหารชั้นผู้น้อยเหงื่อกาฬผุดออกมาทันที “ผู้น้อยสะเพร่าในหน้าที่ ผู้น้อยจะไปจับตัวเจ้าหมอนั่นมาสอบสวนเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ไม่ต้องรีบร้อน! ช่วงที่ผ่านมาเขาอยู่ในค่ายมาตลอด แล้วไปเอายามาจากที่ใดกัน พวกเจ้าต้องจับตามองให้ดี เจ้าหมอนี่ลื่นอย่างกับปลาไหล ดังนั้นอย่าให้เขาคลาดสายตาไปได้เป็นอันขาด”
ทหารชั้นผู้น้อยจึงเอ่ยรับคำขึ้นมาทันที “ผู้น้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
“จำเอาไว้ เวลาสะกดรอยตาม จงเปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุยกับคนอื่น แต่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด”
แน่นอนว่าจี้จือฮวนอยากจะจัดการเจ้าหมอนี่เสียเดี๋ยวนี้ วันนี้เขากล้าวางยาม้าศึก พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีการอะไรอีก
แต่นางต้องรู้ก่อนว่าใครกันแน่ที่เป็นคนเอายาให้เขา
เพราะตอนที่เขามาที่นี่ครั้งแรก เจ้าหมอนี่ถูกค้นทั้งตัวแม้แต่กางเกงในก็ถอดออกจนหมด ร่องฟันทุกซี่ล้วนตรวจอย่างละเอียดแล้ว
ตอนนี้เขากลับมีสลอดอยู่ในมือ ปริมาณยานั่นในกองทัพไม่มีทางมีอย่างแน่นอน แม้แต่ด้านนอกก็ยังหาซื้อได้ยาก
เพราะการจะวางยาม้ามากมายเพียงนี้ ปริมาณยาต้องไม่ใช่น้อย ๆ อยู่แล้ว
ดังนั้นอธิบายได้เพียงว่า ตอนนี้ต้องมีคนติดสินบนหม่าเหวินปินอย่างแน่นอน
และหลังจากยึดเมืองโยวอวิ๋นได้ คาราวานพ่อค้าที่เข้าออกในช่วงนี้ก็มีมากขึ้น คนที่ทำการค้าก็เพิ่มมากขึ้นด้วย บนถนนหลวงจึงมีคนมากขึ้นเช่นกัน
และทุกคนก็ไม่ได้ใช้ทางลัด เพราะคิดว่าเดินผ่านค่ายทหารจะปลอดภัยกว่า
บางทีอาจมีคนถือโอกาสนี้ ลอบส่งข่าวให้หม่าเหวินปิน
จะเป็นใครในหกเมืองนั้นหรือไม่?
จี้จือฮวนยังต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที
…
หม่าเหวินปินถูกจ้านอิ่งกัดอย่างแรงไปหนึ่งที และถูกคนตำหนิไปอีกหนึ่งรอบ สุดท้ายเมื่อไปถึงห้องครัวเพื่อรับข้าวก็เหลืออาหารเพียงเล็กน้อยแล้ว
“นี่ เจ้าอย่าเพิ่งไป เอาน้ำข้าวนี่ไปส่งให้เจ้าเมืองของเจ้าด้วย”
หม่าเหวินปินได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงมองสิ่งที่อยู่ในถัง หน้าตาอย่างกับอ้วกอย่างไรอย่างนั้น กลิ่นก็เหม็น เห็นได้ชัดว่าเป็นของเหลือจากเมื่อวาน แต่เอามาให้กินวันนี้
ด้านบนยังมีแมลงวันเกาะอยู่อีกด้วย
หม่าเหวินปินก็ไม่สนใจ อย่างไรเสียก็ไม่ได้เอาให้เขากินอยู่แล้ว
ส่วนซือถูรุ่ยยามเจริญรุ่งเรืองถือเป็นเจ้านายของเขาก็จริง แต่น่าเสียดายที่เจ้าคนผู้นี้ไม่เอาไหน ปล่อยให้กองทัพทหารเกราะเหล็กบุกโจมตีได้
เมื่อคิดถึงว่าซือถูรุ่ยยังไม่ทันแม้แต่จะได้สู้ ก็ถูกคนลักพาตัวมาแล้ว หม่าเหวินปินก็รู้สึกว่าเขาช่างเป็นตัวอัปมงคลจริง ๆ
เขาหิ้วถังน้ำข้าวไปที่ค่ายกักกันทาสที่อยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะวางถังน้ำข้าวลงข้างกรงที่น่าสังเวชที่สุด
ซือถูรุ่ยตอนนี้ถูกลมพัดและแดดเผา จึงมีสภาพกระเซอะกระเซิง พร้อมกับมีโซ่เหล็กล่ามเอาไว้ เขาสูญเสียวรยุทธ์และกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปอย่างแท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนมาทุบตีเขาทุกวัน ร่างกายของเขาจึงได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ไม่ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ตาย
แต่สิ่งที่ทรมานที่สุดก็คือ เขาคือซือถูรุ่ย
ซือถูรุ่ยที่ทุกคนต่างก็รู้จัก ทว่าซือถูรุ่ยในเวลานี้กลับมีชีวิตสู้สุนัขตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
การทำร้ายจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าคำพูด
หากไม่ใช่เพราะซือถูรุ่ยใช้เขาไปทำงานนั้น เขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
เมื่อคิดได้เช่นนี้หม่าเหวินปินก็อยากจะเหยียบย่ำซือถูรุ่ยยิ่งกว่าคนที่เฝ้าพวกเขาเหล่านั้นเสียอีก
แต่ตอนนี้เขามีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ! ท่านเจ้าเมือง ท่านตื่นขึ้นมาก่อนขอรับ”
ภายใต้ผมที่กระเซอะกระเซิงของซือถูรุ่ย คือใบหน้าที่สกปรกมอมแมมและเต็มไปด้วยคราบเลือด
หม่าเหวินปินอดกลั้นฝืนความสะอิดสะเอียนเอาไว้ ก่อนจะทำท่าทางเป็นห่วงเป็นใยออกมา “ท่านเจ้าเมือง ข้าเหวินปินเองขอรับ ท่านยังจำข้าได้หรือไม่ขอรับ?”
ซือถูรุ่ยได้ยินเสียงก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมา “เป็นเจ้าหรือ?”
หม่าเหวินปินพยักหน้าให้ “ข้าเองขอรับ”
“เจ้ามาเพื่อหัวเราะเยาะข้าอย่างนั้นหรือ?”
หม่าเหวินปินจึงลอบด่าเขาในใจ เจ้าคนผู้นี้ในช่วงเวลาเช่นนี้ยังจะมาเสแสร้งวางมาดอะไรกันอีก ข้าหัวเราะเยาะเจ้าแล้วอย่างไร! เจ้าไม่สมควรถูกคนหัวเราะเยาะอย่างนั้นหรือ?
แต่ภายนอกกลับทำท่าเหมือนเคารพเขาอย่างมาก “ท่านเจ้าเมือง ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว หลังจากเหวินปินถูกจับเป็นเชลยก็หวังว่าท่านจะมาช่วยข้ามาตลอดเลยนะขอรับ”
ซือถูรุ่ยหัวเราะเยาะ “บัดนี้ข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยังสามารถช่วยผู้ใดได้อีก”
หม่าเหวินปินพูดขึ้นมา “ตอนนี้มีคนมาหาข้า เขาก็คือพี่น้องร่วมสาบานของท่าน เนี่ยเทียนโฉวแห่งเมืองซู่โจวขอรับ!”
ซือถูรุ่ยชะงักไปเล็กน้อย “เนี่ยเทียนโฉว?”
เขาคิดออกแต่ไร้เรี่ยวแรง จึงทำได้เพียงถามขึ้นมา “เขามาหาเจ้าทำไม?”
หม่าเหวินปินพูดต่ออีกว่า “เขาบอกให้ข้านำเรื่องในค่ายกองทัพทหารเกราะเหล็กไปรายงานให้เขารู้ เป็นสายให้เขา และยังให้ข้ามาส่งข่าวบอกท่านด้วย ว่าเขาได้จับมือกับเจ้าเมืองของเมืองอื่น ๆ แล้ว ครั้งนี้ต้องจัดการเผยยวนได้อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น ยังจะบุกโจมตีตอนกลางด้วย ถึงเวลาพวกเขาก็จะแบ่งดินแดนต้าจิ้นกันขอรับ”
ซือถูรุ่ยเองก็เคยฝันหวานเช่นนี้มาก่อน แต่หลังจากที่เขาได้เห็นกองปืนใหญ่และกองปืนไฟของกองทัพทหารเกราะเหล็กกับตาแล้ว
เขาก็คิดว่าพวกเขายังไร้เดียงสาเกินไป
เมื่อเวลาผ่านไป กองปืนไฟก็จะมีคนมากขึ้น ปืนใหญ่ก็จะมีมากขึ้นเช่นกัน ต่อให้หากเทียบเรื่องจำนวนคนพวกเขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้ และยากที่จะบุกโจมตีเมือง แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้มากที่สุดก็คือป้องกันเอาไว้ ส่วนเรื่องที่พวกเขาต้องการโจมตีตอนกลางคืน หากง่ายเพียงนั้นจริง พวกเขาก็คงไม่ต้องอยู่ที่นี่มานานเพียงนี้หรอก
“ท่านเจ้าเมือง ท่านห้ามสิ้นหวังนะขอรับ ท่านคือซือถูรุ่ยแห่งเมืองเจว๋เฉิงนะขอรับ”
แน่นอนว่าซือถูรุ่ยเองก็ไม่อยากยอมแพ้และไม่มีทางยอมแพ้ แค่เขาคิดว่าซือถูเซิงต้องอยู่กับเจ้าคนป่านั่นทุกวันทุกคืน เขาก็อยากจะฆ่าคนแล้ว!
แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนไร้ค่าไปแล้ว ทั้งยังไม่มีประโยชน์อะไรต่อเนี่ยเทียนโฉวเลยแม้แต่น้อย
พี่น้องร่วมสาบานอะไรกัน คนเราเวลาตกต่ำจะมีสักกี่คนกันที่สามารถพึ่งพาได้จริง ๆ
หากว่าเนี่ยเทียนโฉวมีใจจะช่วยเหลือจริง ตอนที่เมืองเจว๋เฉิงเผชิญหน้ากับกองทัพทหารเกราะเหล็กเพียงลำพัง เขาไปอยู่ที่ใดเล่า?
เท่าที่ซือถูรุ่ยคิด เนี่ยเทียนโฉวเพียงแค่อยากจะลองหยั่งเชิงเพื่อดูความสามารถที่แท้จริงของเผยยวนก็เท่านั้น
ว่าตอนตีเมืองเจว๋เฉิงใช้อาวุธอะไร แล้วใช้เวลานานเท่าใด
เมื่อเขาพบว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะได้ จึงได้ประกาศร่วมมือกับพันธมิตรขึ้นมาทันที
ที่ตอนนี้เขาฝากคำพูดเหล่านี้มา ก็แค่หวังจะใช้ตนเป็นเบี้ยเท่านั้น
เขาเป็นคนไร้ค่า ตกอยู่ในมือของเผยยวน บางทีเขาอาจจะสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ เพราะพวกเผยยวนไม่มีทางปล่อยให้เขาตายง่าย ๆ อย่างแน่นอน
แต่หากตกอยู่ในมือของเนี่ยเทียนโฉว ต้องเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่
แต่ซือถูรุ่ยเป็นใครกัน เป็นคนบ้าตั้งแต่กำเนิด
ดังนั้นจู่ ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา แล้วเอ่ยกับหม่าเหวินปิน “ข้าไม่มีทางสิ้นหวังอย่างแน่นอน เจ้ามีวิธีติดต่อกับคนของเนี่ยเทียนโฉวหรือไม่ แล้วเจ้าทำอย่างไร?”
“ตอนนี้มีกลุ่มคาราวานเดินทางเข้าออกบ่อยครั้ง ข้าจึงอาศัยตอนที่เก็บอึม้า ใช้ท่อนไม้ไผ่เขี่ยมูลม้าเหล่านั้น ซึ่งด้านในจะมีจดหมายซ่อนอยู่ขอรับ
ท่านเจ้าเมือง ท่านอย่ารังเกียจข้านะขอรับ ข้าก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริง ๆ ท่านไม่รู้อะไร กองทัพทหารเกราะเหล็กพวกนั้นจับตามองข้าแทบจะทุกฝีก้าว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเอาของยัดไว้ในอึม้าขอรับ”
ซือถูรุ่ยเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาจึงบอกกับหม่าเหวินปินว่า “เจ้าบอกคนของเนี่ยเทียนโฉวที บอกว่าคนที่เผยยวนจะจัดการหลังจากนี้ก็คือเขา อีกทั้งเผยยวนยังได้ร่วมมือกับหลิ่วเผิงของเมืองอู่โจวและติงหม่านของเมืองเซียงโจวแล้ว ดังนั้นให้เขาระวังตัวให้มาก”
หม่าเหวินปินประหลาดใจ “หา ท่านเจ้าเมือง ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่ขอรับ?”
“ไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า” แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ซือถูรุ่ยปั้นแต่งขึ้นมา แต่เนี่ยเทียนโฉวผู้นี้เป็นคนขี้ระแวง ดังนั้นก็สมควรให้พวกเขาทะเลาะกันเอง อยากจะหัวเราะเยาะเขาซือถูรุ่ยอย่างนั้นหรือ เขาไม่รังเกียจอยู่แล้วหากจะต้องลากทุกคนมาตายด้วยกัน!