เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 563 กลิ่นหอมฟุ้ง
บทที่ 563 กลิ่นหอมฟุ้ง
ยามราตรี
หน่วยจู่โจมสวมชุดสีดำ ควบม้าไปในยามค่ำคืน
กีบม้าทั้งหมดถูกพันด้วยผ้าฝ้ายและนุ่นเอาไว้ ซึ่งสามารถช่วยลดเสียงให้เบาลงได้ โดยมีหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อคอยนำทางให้ หากพบว่ามีคน มันก็จะส่งสัญญาณให้ทันที
เมื่อมาถึงใกล้กับบริเวณทุ่งหญ้าของกองทัพซู่โจว พวกเขาก็หยิบถังน้ำสลอดที่ปิดผนึกด้วยผ้าชุบน้ำมันอย่างดีออกมา แล้วราดลงบนทุ่งหญ้าไปจนทั่ว
จี้จือฮวนยังเติมรสชาติที่ม้าชอบกินลงไปในทุกถังด้วย
เมื่อพวกมันกินจนท้องป่อง ก็ถึงเวลาที่กรรมจะตามสนองกองทัพซู่โจวแล้ว
เมื่อราดจนทั่วแล้ว
พวกเขาจึงได้ย้อนกลับไปตามทางเดิม โดยที่ทหารยามไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
แต่เพื่อให้สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นที่นี่ได้อย่างทันท่วงที พวกเขาจึงได้ทิ้งคนไว้บนเนินเขาฝั่งตรงข้ามสองสามคนเพื่อให้คอยจับตาดู และจะได้กลับไปรายงานให้พวกเผยยวนทราบในทันที
ตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น
หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเสร็จแล้ว ขณะที่เผยยวนกำลังจะพาจี้จือฮวนไปเดินเล่นเพื่อจะได้ขยับร่างกายให้มาก ๆ พวกเขาก็กลับมาพอดี
“ท่านอ๋อง พระชายา สำเร็จแล้วขอรับ!”
เซียวอวิ่นยังกินข้าวไม่เสร็จก็รีบให้คนเข้ามา “อะไรสำเร็จแล้ว?”
ทหารม้าสิบกว่านายที่จี้จือฮวนมอบหมายภารกิจให้ ล้วนเป็นมือดีด้านการโจมตีตอนกลางคืนของกองทัพทหารเกราะเหล็ก หลังจากเอาน้ำสลอดไปราดอย่างมีความสุขเพราะไม่มีใครสังเกตเห็นแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นบรรดาม้าศึกเหล่านั้นก็ย่างก้าวมากินหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นเรียกได้ว่า อลหม่านเป็นอย่างมาก
กลิ่นฟุ้งไปทั่วค่ายซู่โจว ทุกที่ล้วนมีแต่กลิ่นอึม้า มิหนำซ้ำกลิ่นนั้นยังฟุ้งกระจายออกไปไกลนับสิบลี้ จะเอาพลั่วไปตักทิ้งก็ไม่ทันเสียแล้ว
เพราะม้าศึกถือเป็นกำลังหลักของกองทัพ ดังนั้นหมอจึงหิ้วกล่องยาตรวจตัวนี้เสร็จก็ไปตรวจตัวนั้นต่อทันที ทว่าไหนเลยจะรักษาม้านับพันตัวได้ทัน ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
และคนของกองทัพซู่โจวต่างก็รู้ดีว่าพวกเขาเป็นคนไปวางยาคนอื่นก่อน หลังจากครุ่นคิดก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นกองทัพทหารเกราะเหล็กที่มาเอาคืนพวกเขาอย่างแน่นอน!
จึงโมโหจนส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ในค่าย ก่อนจะวิ่งออกมาด่าทอเสียงดัง แต่จะมีประโยชน์อะไรกัน?
ปากนั้นล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอึม้า และต่อให้จะเห็นหลังม้าก็ตามไม่ทันแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ!” เซียวอวิ่นชอบใจจนตบโต๊ะรัว ๆ “ดี ๆ ๆ! เป็นความคิดใครกัน สะใจมากจริง ๆ ถูกใจข้ายิ่งนัก!”
บรรดารองแม่ทัพก็หัวเราะเสียงดังเช่นกัน
…
ส่วนหม่าเหวินปินที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในค่ายทหาร ก็ถูกจี้จือฮวนสั่งย้ายออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากค่ายทหารเพียงลำพัง อีกทั้งไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ม้าด้วย และตอนนี้หม่าเหวินปินก็ถูกสั่งให้ไปซักเสื้อผ้าให้ทุกคนในค่ายทหารเพียงลำพัง หม่าเหวินปินจึงไม่มีวิธีลอบส่งข่าวออกไปได้อีก ในใจจึงร้อนดั่งไฟ แต่เมื่อเห็นคาราวานพ่อค้ากลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาแต่ไกล
เขาจึงใช้ข้ออ้างว่าต้องการปลดทุกข์ ทหารชั้นผู้น้อยจึงยอมปล่อยเขาไปทำธุระตรงพงหญ้าด้านหลัง แต่ความจริงแล้วกลับจับตาดูการเคลื่อนไหวของเจ้าหมอนี่อยู่ตลอดเวลา
ทันทีที่หม่าเหวินปินมุดเข้าไปในพงหญ้า ก็รีบวิ่งไปทางกลุ่มคาราวานพ่อค้าทันที
หน่วยสอดแนมของซู่โจวต่างใช้นกพิราบในการสื่อสารกัน ที่พวกเขามาครั้งนี้ไม่ได้มีเหตุผลอื่น นอกจากมาสังหารเจ้าหม่าเหวินปินที่หลอกใช้พวกเขาผู้นี้โดยเฉพาะ
เวลานี้หม่าเหวินปินยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ก็รีบวิ่งไปขอรางวัลจากพวกเขาแล้ว
หม่าเหวินปินพูดอย่างมีความสุข “ในที่สุดก็เจอพวกเจ้าเสียที ได้รับข่าวกันหรือยัง แต่พวกเจ้าต้องเอาผลสลอดให้ข้าอีกหน่อย ที่ให้มาครั้งก่อนม้าไม่ยอมกิน เป็นเพราะมันไม่สดหรือไม่ หรือว่ามีกลิ่นแรงเกินไป?”
หน่วยสอดแนมที่แสร้งปลอมตัวเป็นพ่อค้าชักกระบี่ออกมา และแทงทะลุหน้าอกของหม่าเหวินปินในทันที
กาใดน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น*! ยังกล้ามาพูดเรื่องสลอดกับพวกเขาอีกอย่างนั้นหรือ!
* กาใดน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น (哪壶不开提哪壶) หมายถึง ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ หรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
หม่าเหวินปินเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เพราะ…เพราะเหตุใด…”
เขาทุ่มเททำงานให้พวกเขา เหตุใดยังฆ่าเขาอีกเล่า!?
หม่าเหวินปินค่อย ๆ ล้มลง ทหารชั้นผู้น้อยที่จับตามองเขามาตลอดก็พุ่งตัวออกมา ประมือกับหน่วยสอดแนมที่ปลอมตัวเป็นคาราวานพ่อค้าเหล่านั้น
หน่วยสอดแนมเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว และทุกครั้งพวกเขาก็ไม่เคยเจอปัญหาอะไร แต่ครั้งนี้หลังจากรู้ว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กมองกลอุบายของพวกเขาออก จึงคิดที่จะกบดานอยู่นิ่ง ๆ ก่อน
แต่เพราะหม่าเหวินปินผู้นั้น มันน่าโมโหจริง ๆ ยังจะพูดเรื่องสลอดขึ้นมาอีก นี่ไม่ใช่การยั่วยุแล้วจะเรียกว่าอะไรกัน!?
ดังนั้นพวกเขาจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป ทว่าทันทีที่ลงมือก็กลายเป็นว่าพาตัวเองเข้าไปพัวพันด้วย
แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นหน่วยกล้าตาย และมีหลายคนที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของทหารชั้นผู้น้อยไปได้ ดังนั้นคนที่ถูกจับกุมจึงตัดสินใจกลืนยาพิษเข้าไปทันที
หลังจากที่จี้จือฮวนทราบ ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
และไม่ว่าเนี่ยเทียนโฉวจะโมโหเพียงใด ม้าศึกที่สูญเสียไปก็ไม่กลับมาอีกแล้ว
ทางด้านนี้ จีฝูเย่นำรองเท้าที่ใช้เดินบนน้ำแข็งที่แก้ไขเรียบร้อยแล้วมาให้เผยยวนดู
เผยยวนก็ได้มอบให้กับเซียวอวิ่น
เซียวอวิ่นเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ รองเท้าที่ใช้เดินบนน้ำแข็งที่จีฝูเย่ทำ ย่อมดีกว่ารองเท้าในกองทัพของพวกเขามาก
เดิมทีสงครามทางตอนเหนือมักจะเกิดขึ้นในฤดูหนาว ถึงแม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยแต่ก็กินระยะเวลานาน
เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองชายแดนที่อันตรายกว่า ราชสำนักจึงแทบจะมองข้ามกองทัพเจิ้นเป่ยไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทรัพยากรทางทหารที่ดี ๆ
“มีรองเท้าดี แต่น่าเสียดาย ไม่มีที่ให้เราซ้อม”
เผยยวนจึงพูดขึ้นมา “ใกล้ ๆ มีภูเขาหิมะอยู่ ที่นั่นยังมีทะเลสาบน้ำแข็งด้วย”
เซียวอวิ่นพูดขึ้นมา “อ้อ ที่เป็นที่ตั้งของเผ่าอาเหริ่นใช่หรือไม่?”
เรื่องพ่อแท้ ๆ ของอาอิน ลูกชายของเขาได้ย้ำหลายครั้งหลายหนแล้ว และยังกำชับเขาด้วยว่าต้องสร้างสัมพันธ์อันดีกับเผ่าหมาป่า จึงทำให้ตอนนี้เวลาที่เขาเห็นเผ่าหมาป่าก็จะยิ้มให้ทันที
“ใช่ ตรงนั้นมีทะเลสาบน้ำแข็งธรรมชาติขนาดใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากเราด้วย สามารถไปลองดูได้นะขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดีเลย จะว่าไปแล้วอยู่ห่างจากสถานที่ผีสางที่เต็มไปด้วยความหนาวเย็นนาน ๆ ข้าก็ไม่ชินเหมือนกัน”
เซียวอวิ่นให้คนไปเลือกทหารฝีมือดีมา จากนั้นเผยยวนก็ไปคุยเรื่องนี้กับพวกอาเหริ่น
ฮวาหลางและคนอื่น ๆ ก็คิดถึงบ้านน้ำแข็งของตัวเองเช่นกัน ประกอบกับสองวันมานี้หมาป่าหิมะมีอาการหงอยเหงาเศร้าซึม ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นฝ่ายเสนอให้พวกเผยยวนกลับไปพักที่นั่นด้วยกันสักสองสามวัน
ความจริงแล้วพวกเขาสามารถกลับไปอยู่บนภูเขาได้แล้ว แต่หลังจากใช้เวลาร่วมกันในช่วงที่ผ่านมา พวกเขาชอบความรู้สึกตอนที่มีเพื่อนพ้องอย่างมาก
อีกทั้งยังได้เรียนรู้ทักษะมากมายในกองทัพ ดังนั้นจึงไม่ได้กลับไปอีก
แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถถือโอกาสนี้กลับไปที่นั่นชั่วคราวได้แล้ว
…
ทะเลสาบน้ำแข็งอยู่ติดกับเผ่าของพวกเขา และมีขนาดค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งตลอดทั้งปีหิมะก็ไม่เคยละลายเลย แต่เมื่อขึ้นไปด้านบนคนส่วนใหญ่ที่ปรับตัวเข้ากับอากาศที่หนาวเย็นไม่ได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะหายใจไม่ออก
แต่โชคดีที่ทหารของกองทัพเจิ้นเป่ยมีร่างกายที่แข็งแกร่ง พวกจี้จือฮวนก็มีกำลังภายใน จึงทำให้พวกเขาไม่เป็นอะไร
จีฝูเย่ย่อมต้องขึ้นไปดูความสำเร็จด้วยตัวเอง หลังจากที่กองทัพเจิ้นเป่ยสวมรองเท้าที่ใช้เดินบนน้ำแข็งแล้ว พวกเขาก็ออกเดินไปบนทะเลสาบน้ำแข็งอย่างอิสระ
แรก ๆ ยังรู้สึกว่าไม่ถนัด แต่หลังจากชินแล้วแต่ละคนก็สามารถเดินได้อย่างรวดเร็ว
ทำให้เหล่ากองทัพทหารเกราะเหล็กที่มาด้วยต่างก็อิจฉาเป็นอย่างมาก ก่อนจะขอรองเท้าสามสี่คู่จากจีฝูเย่
เดิมทีเขาก็คิดจะนำไปขายให้เมืองอื่นอยู่แล้ว ดังนั้นจีฝูเย่จึงทำเอาไว้ไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่กองทัพทหารเกราะเหล็กนั้นเหมือนเป็ดที่ว่ายน้ำไม่เป็นจึงตกลงไปในน้ำ
แต่ละคนเดินเหมือนกับฉี่เอ๋อ**อย่างไรอย่างนั้น
** ฉี่เอ๋อ (企鹅) หมายถึง นกเพนกวิน
กองทัพเจิ้นเป่ยผิวปากขณะเดินผ่านข้างกายพวกเขาไป ทำให้พวกเขาทั้งอิจฉาทั้งโมโห
จีฝูเย่ทำการแก้ไขรองเท้าตามที่จี้จือฮวนแนะนำเพียงคู่เดียว หลังจากคนที่ใช้คล่องที่สุดกลับมา จึงได้เอาไปลองอีกครั้ง
“ข้ารู้สึกว่าคู่ที่แก้ไขแล้วดีกว่า แต่ข้าก็บอกไม่ถูกว่าดีกว่าตรงไหน เหมือนความรู้สึกที่ติดขัดนั้นน้อยลง”
จีฝูเย่เอ่ยอย่างครุ่นคิด “อาจารย์ ท่านเดินบนน้ำแข็งเป็นหรือไม่ขอรับ เหตุใดท่านถึงรู้ว่าสิ่งนี้ควรแก้ไขเช่นไรเล่าขอรับ?”
“เป็น” พูดไปแล้วเรื่องมันยาว ตอนนั้นเพื่อทำภารกิจ นางจึงฝึกฝนอย่างยากลำบากเป็นเวลาสามเดือนจึงจะพอใช้เป็น
.