เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 572 สภาพที่น่าเวทนาในตอนนั้น
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 572 สภาพที่น่าเวทนาในตอนนั้น
บทที่ 572 สภาพที่น่าเวทนาในตอนนั้น
“เร็ว รีบเข้าไป!” หลิ่วเผิงแบกเนี่ยเทียนโฉว ก่อนจะเข้าไปด้านใน “ตามมา!”
ทหารที่ติดตามพวกเขามาไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงตามพวกเขาเข้าไปในหุบเขาวิญญาณเท่านั้น
ผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่ที่แห่งนี้ก็ยังคงถูกทิ้งร้างปราศจากผู้คน ต่อให้พวกเขาจะขนส่งเสบียงผ่านมาทางนี้ ก็น้อยมากที่จะเข้าไปด้านใน
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตที่นี่ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเข้าไปใกล้ ก็ราวกับได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงที่สิ้นหวังของผู้คนจำนวนมากบนเส้นทางโบราณที่ลึกล้ำสายนี้
แต่ในเวลานี้พวกเขากลับก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง
คำว่า ‘หุบเขาวิญญาณ’ สำหรับพวกเขาแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรจากยมโลก
หลิ่วเผิงเข้าไปก่อน แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมก็ต่อว่าขึ้นมา “ยังไม่เข้ามาอีก จะอยู่รอความตายหรืออย่างไร! ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าของกองทัพทหารเกราะเหล็กอย่างนั้นหรือ!?”
ทหารกลุ่มนั้นมองไกลออกไป บ้านของพวกเขาเวลานี้มีควันลอยคลุ้ง และมีกองทัพกำลังไล่ตามพวกเขามาด้วยความรวดเร็ว
หากไม่เข้าไป เกรงว่าความตายคงมาเยือนในไม่ช้า
หากสามารถออกไปจากหุบเขาวิญญาณด้วยทางออกอีกด้านหนึ่ง บางทีอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิตก็เป็นได้
ทุกคนจึงกัดฟันและตัดสินใจแน่วแน่ อาศัยตอนที่กองทัพทหารเกราะเหล็กยังมาไม่ถึง พุ่งตัวเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
รองแม่ทัพจ้าวไล่ตามมาจนถึงปากทางเข้าหุบเขาวิญญาณ จึงได้หยุดลงแล้วเอ่ยขึ้นมา “เฝ้าอยู่ที่นี่ หากคนพวกนั้นออกมาหนึ่งคนก็ฆ่าหนึ่งคน”
“ขอรับ!”
พวกเขาไม่คิดที่จะตามเข้าไปในหุบเขา เพราะแค่ต้องการต้อนสุนัขเข้าไปในตรอกเท่านั้น!
เจ้าเมืองซู่โจวและอู่โจวต่างหนีไปหมดแล้ว ทหารที่เหลืออยู่จะสู้อะไรได้
…
หลังจากยึดเมืองสองเมืองได้ติด ๆ กัน ติงหม่าน ซุนเฉียน และเวิงเจิ้งซีก็พาทหารหลายพันนายล่าถอยไปเรื่อย ๆ ราวกับฝูงแกะที่ถูกต้อนอย่างไรอย่างนั้น เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด
ทว่าทางรอดที่คนพวกนั้นคิด ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว
ประตูของหุบเขาวิญญาณเปิดต้อนรับพวกเขาอยู่แล้ว เมื่อซุนเฉียนเข้าไปในหุบเขาวิญญาณแล้ว จึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา จากนั้นก็หาที่สำหรับนั่งพัก
ไม่มีใครยินดีที่ถูกคนต้อนให้จนมุมเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาต้องกลับไปมีอำนาจอีกครั้งให้ได้ แต่ก่อนหน้านั้นต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อน
ทว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าไป ก็ได้พบว่า เนี่ยเทียนโฉวและหลิ่วเผิงที่ติดต่อไม่ได้ก็อยู่ที่นี่ด้วย!
“พวกเจ้า! เหตุใดพวกเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้!” หลิ่วเผิงเอ่ยถามขึ้นมา
เขากับเนี่ยเทียนโฉวไม่ได้เอาอาหารแห้งติดตัวมาด้วย คนกลุ่มหนึ่งต้องกินต้องดื่ม ทว่ากลับทำได้เพียงขดตัวอยู่ที่นี่ทุกวัน คอแห้งแทบเป็นผุยผงอยู่แล้ว
แต่จู่ ๆ ก็เห็นพวกซุนเฉียนพาคนหลายพันคนเข้ามาที่นี่ จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
เนี่ยเทียนโฉวหัวเราะเสียงเย็น “ก็ติดกับดักน่ะสิ”
หากไม่ใช่เพราะหลงกลอีกฝ่ายพวกเขาจะหนีเข้ามายังหุบเขาวิญญาณได้อย่างไร หากพวกเขาไม่ถูกต้อนมาคงข้ามทุ่งหญ้าหรือภูเขาหิมะไปแล้ว
และคงไม่เลือกหุบเขาวิญญาณที่ไร้ทางออกเช่นนี้
ซุนเฉียนเช็ดคราบเลือดที่ติดตามใบหน้าออก ก่อนจะมองไปยังกองกระดูกที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นก็มองไปยังพื้นดินที่แห้งแล้ง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอแล้วพูดว่า “เจ้าพูดอะไรกัน?”
เนี่ยเทียนโฉวตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากสุนัขจนตรอก เขายังจะต้องสนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาอีกอย่างนั้นหรือ?
จึงไม่คิดจะรักษาน้ำใจอะไรอีกแล้ว ก่อนจะคิดเช่นไรก็พูดออกไปเช่นนั้น “ทำไม เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ?
พวกเจ้าไม่คิดเลยหรือว่าหุบเขาวิญญาณอยู่ติดกับซู่โจวและอู่โจวของข้า และอยู่ห่างจากเมืองของพวกเจ้าซึ่งอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามถึงสี่วันกว่าจะมาถึง ไม่บังเอิญไปหน่อยหรือที่พวกเจ้าสามารถหนีมาจนถึงที่นี่ได้”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ติงหม่านที่แขนขาดไปข้างหนึ่ง จึงสะกดความเจ็บปวดแล้วพูดขึ้นมา “เจ้าหมายความว่า ที่คนพวกนั้นไม่ฆ่าพวกเรา เพราะต้องการต้อนให้พวกเรามาที่หุบเขาวิญญาณนี่อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นพวกเขาจะได้ประโยชน์อะไร เหตุใดพวกเขาต้องทำเช่นนี้ด้วย เหตุใดถึงไม่ฆ่าพวกเราซะ?”
“ฮ่า ๆ เช่นนั้นก็ต้องถามตัวพวกเจ้าเองแล้วละ ว่าตอนที่กองทัพทหารเกราะเหล็กบุกมา พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่!
หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเอาแต่กัดกันเอง พวกเราจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อย่างนั้นหรือ ข้าบอกว่าอย่างไร หากเอาแต่สู้กันเองเช่นนี้ใครก็หนีไม่พ้น!” เนี่ยเทียนโฉวพูดจบก็เอ่ยถามขึ้นมา “หลินเจี๋ยเล่า?”
ติงหม่านเอ่ยตอบ “อย่าไปพูดถึงเขาเลย เขายอมจำนนไปนานแล้ว”
ซุนเฉียนถุยน้ำลายออกมา “พวกเจ้าสองคนคิดจริง ๆ หรือว่าแค่กองทัพทหารเกราะเหล็กกับกองทัพเจิ้นเป่ยพวกเราจะเอาชนะไม่ได้ แต่พวกเจ้าคงจะยังไม่รู้กระมัง ว่ามู่หรงเจี๋ยจับมือกับเผยยวนแล้ว!
ส่วนคนที่สู้กับข้าคือทหารม้าของถู่เจีย คนที่นำทัพก็คือมัวเอ๋อร์เก๋อซาง!”
มัวเอ๋อร์เก๋อซางอยู่ที่ถู่เจีย มีฐานะเทียบเท่ากับเผยยวน
เป็นแม่ทัพหนุ่มที่มีความสามารถ ดังนั้นนักรบของถู่เจียจึงไม่ด้อยไปกว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กอย่างแน่นอน!
เนี่ยเทียนโฉวได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำราม “สวรรค์จะฆ่าข้าหรืออย่างไร!!”
ตอนนี้กลายเป็นว่าสามฝ่ายจับมือกัน หากเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่สู้ยอมจำนนเสียยังดีกว่า!
สุดท้ายหลินเจี๋ยที่ยอมจำนนก่อนกลับมีชีวิตรอดไปได้
ส่วนพวกเขากลับถูกต้อนให้เข้ามาในหุบเขาวิญญาณแห่งนี้
“บัดซบ แต่ตอนนี้เข้ามาแล้วก็เลิกคร่ำครวญได้แล้ว เวลานี้แทบจะเอาตัวไม่รอดกันอยู่แล้ว พูดเรื่องเก่าไปจะมีประโยชน์อะไรกัน!
หุบเขาวิญญาณแห่งนี้ พวกเจ้าเคยเห็นใครมีชีวิตรอดออกไปหรือไม่?”
คนที่อายุมากที่สุดก็คือเวิงเจิ้งซี ตอนนั้นเขาก็มีส่วนร่วมในการสังหารทหารต้าจิ้นจำนวนหนึ่งแสนนาย และยังมีส่วนร่วมในการใส่ความตระกูลกู้แห่งหลงซีด้วย
เพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นสามารถออกไปจากที่นี่ได้ จึงได้มีการปลูกสมุนไพรที่มอมเมาจิตใจคนชนิดต่าง ๆ เอาไว้จนเต็มหุบเขา ทั้งยังตัดแหล่งน้ำออก ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการวางกับดักต่าง ๆ เอาไว้อีกมากมาย ตอนนั้นเวิงเจิ้งซีเป็นคนที่หัวเราะเสียงดังที่สุด เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของคนเหล่านั้น
เวิงเจิ้งซีคิดได้ดังนั้นแข้งขาก็พลันอ่อนแรงเป็นคนแรก
“เผยยวนต้องการแก้แค้นให้กับตระกูลกู้แห่งหลงซี และวิธีการนี้ก็เหมือนกับตอนนั้นที่พวกเราใช้บีบพวกเขาไม่มีผิด อีกไม่นาน…อีกไม่นานก็จะถึงตาพวกเราแล้ว!”
ตอนนั้นก็เป็นเช่นนี้ เมื่อทหารต้าจิ้นเข้ามา พวกเขาก็เทน้ำมันร้อน ๆ สกัดทางเดินของพวกเขาก่อน จากนั้นก็ขว้างปาหินใส่ม้าของพวกเขาจนตาย ค่อย ๆ บดขยี้พวกเขา และสุดท้ายก็เทยาพิษชนิดต่าง ๆ…
ในเวลานั้นนายน้อยแห่งตระกูลกู้ก็ถูกพวกเขาใช้ตะขอเหล็กเกี่ยวขึ้นมา และเพื่อปกป้องทหารของตัวเองเขาจึงถูกยิงด้วยธนูจนตาย
พวกเขาบีบทหารหนึ่งแสนนายเข้ามาที่นี่จนคนพวกนั้นเสียสติ และปล่อยให้ร้องคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง
บัดนี้ในที่สุดก็ถึงตาพวกเขาแล้ว
หลิ่วเผิงได้ยินที่เวิงเจิ้งซีพูดก็ตื่นตระหนกขึ้นมา “เจ้าหมายความว่าอย่างไร พวกเขาอยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ?”
ในตอนนั้นเอง แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวจากดวงจันทร์ก็ได้เลือนหายไป
ท่ามกลางความมืด ประสาทสัมผัสของพวกเขาก็ยิ่งตื่นตัว
“ใคร! ใครจับข้า!”
“ใครพูดจาเหลวไหลกัน!”
“พวกเจ้า…ได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้หรือไม่?”
ตอนที่มีคนร้องถามขึ้นมา รอบ ๆ ตัวของพวกเขาก็มีไฟผีสางสีเขียวลอยขึ้นมา ยิ่งพวกเขาหวาดกลัว เสียงร้องไห้ เสียงกรีดร้อง เสียงคร่ำครวญข้างหูก็ยิ่งดังขึ้น
“คืนชีวิตข้ามา!”
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ลูกอยากกลับบ้าน!”
“พวกเจ้า! เป็นพวกเจ้าที่ฆ่าพวกเรา!”
เสียงเหล่านั้นดังอื้ออึงไปหมดทั่วทุกทิศทุกทาง
เนี่ยเทียนโฉวหยิบที่จุดไฟออกมา จุดคบเพลิงแล้วโยนไปทางไฟผีสางเหล่านั้น
ทว่าไฟผีสางกลุ่มนั้นกลับไม่ได้หายไป แต่ปรากฏเป็นโครงกระดูกที่สวมชุดเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาแทน กำลังจ้องมองมาที่พวกเขาอย่างเงียบ ๆ ที่เบ้าตาของโครงกระดูกเหล่านั้นยังคงมีเลือดไหลรินออกมา งูพิษจำนวนมากเลื้อยเข้าออกผ่านโครงกระดูก
“ผี! ผี!”
คนกลุ่มนั้นจึงแตกฮือ ไม่ได้ยินคำเตือนของคนอื่นอีกแล้ว
…
บนหน้าผา ทหารเกราะเหล็กกำลังเฝ้าดูทุกสิ่งตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
เว่ยเจ๋อเซิงติดยันต์แผ่นสุดท้ายลงไป เวลา สถานที่ คนที่เหมาะสม สถานการณ์มรณะสำเร็จ การมอมเมาจิตใจคน บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาพิษหรือผงพิษอะไร
สำหรับพวกเขา การเปลี่ยนฮวงจุ้ยก็สามารถเอาชีวิตคนได้แล้ว เพียงแต่ทำบาปฆ่าคนมากเกินไป ต่อจากนี้อีกร้อยชั่วอายุคนสำนักเทพพยากรณ์ ต้องละเว้นเนื้อสัตว์แล้วกินเจ เพื่อชำระล้างบาปและทำความดีหนึ่งอย่างทุกวัน
แต่เพื่อบ้านเมือง พวกเขาไม่เคยเสียใจ และเพื่อราษฎรก็ยิ่งไม่เสียใจเลย
.