เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 573 ฆ่าฟันกันเอง
บทที่ 573 ฆ่าฟันกันเอง
เสียงกรีดร้องใต้หน้าผายังคงดำเนินต่อไป
หมอกหนาลอยขึ้นช้า ๆ ทุกคนก็เริ่มมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง
สิ่งที่พวกเขาเห็นไม่ใช่สหายร่วมรบของตนเอง สิ่งที่ได้ยินก็ไม่ใช่เสียงของสหายของพวกเขาเช่นกัน
แต่เป็นวิญญาณของคนตายต้าจิ้นจำนวนนับไม่ถ้วน
วิญญาณคนตายที่สวมชุดเกราะขาดรุ่งริ่งเหล่านั้นกำลังเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
“ไสหัวไป! อย่าเข้ามา!”
คนเหล่านั้นก็เริ่มกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย คนที่เมื่อครู่ยังเกาะกลุ่มกันอยู่ด้วยความตื่นตระหนก ตอนนี้ก็เริ่มหันมาสู้กันเองแล้ว
เนี่ยเทียนโฉวขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “เร็ว รีบไปจากที่นี่!”
ขืนอยู่ต่อไปเกรงว่าพวกเขาคงจะได้ฟันพวกเดียวกันจนตายโดยไม่รู้ตัวเป็นแน่
แต่สถานที่ที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วตัวเองเช่นนี้ จะสามารถแยกแยะทิศทางได้อย่างไร!
เวิงเจิ้งซีถูกเลือดกระเด็นมาโดนใบหน้า ก่อนที่ติงหม่านจะดึงเขาเอาไว้ จึงทำให้ไม่ถูกทหารคนสนิทที่อยู่ข้างกายฟัน
“ไป!!”
พวกเขาหนีไปทางช่องลมเพียงแห่งเดียวที่มีอยู่
คนที่ยังพอมีสติอยู่ก็ไม่กล้าเข้าไปห้ามปรามคนที่ถูกภูตผีเข้าสิงเหล่านั้น ก่อนจะรีบหยิบอาวุธตามพวกเขาไป
แต่เสียงกรีดร้องและเสียงดาบที่ปะทะกันยังคงดังก้องอยู่ด้านหลัง ราวกับเงาตามตัว
ที่นี่เงียบสงัดถึงเพียงนั้น ทว่าเวลานี้กลับอลหม่านไปหมด!
“ช้าก่อน หากพวกเรารอจนฟ้าสางก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว แยกกัน แยกกันไปแล้วหลับตาเอาไว้”
ทุกคนทำตามที่เนี่ยเทียนโฉวบอก แต่ละคนต่างหาสถานที่แคบ ๆ เล็ก ๆ เพื่อซุกตัวแล้วหลับตาลง แต่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะหลับได้ลงกัน?
เส้นประสาททุกเส้นของพวกเขาตึงเครียดอย่างที่สุด กลัวว่าทันทีที่หลับตาลงจะมีคนมาฆ่าพวกเขา
“พวกเจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่!?”
เนี่ยเทียนโฉวมองไปที่ทหารคนนั้น เขาจึงสะดุ้งขึ้นมาทันที ก่อนจะก้มศีรษะลงไม่กล้าพูดอะไรอีก
เนี่ยเทียนโฉวเองก็ได้รับบาดเจ็บ ร่างกายจึงเหนื่อยล้าอย่างมาก ประกอบกับไม่มีอาหารเลย เขาจึงไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ทุกคนต่างก็กำลังเฝ้ารอให้รุ่งสางมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ ขอเพียงดวงอาทิตย์ขึ้น ทุกอย่างก็จะสงบลง
น่าเสียดายที่สำนักเทพพยากรณ์ไม่ใช่พวกกระจอก หากเป็นแค่ลัทธินอกรีตในยุทธภพ จะสามารถอยู่มาเป็นร้อยรุ่นได้อย่างไรกัน?
เวลาและโอกาสที่คำนวณมาอย่างสมบูรณ์แบบ
ทำให้กลางวันสั้นลงเหลือเพียงสี่ชั่วยามเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือล้วนเป็นเวลากลางคืน
พวกเขาตั้งใจว่าจะบีบคนกลุ่มนี้ให้ตายและเสียสติในช่วงเวลานี้!
ขณะที่ทุกคนต่างโล่งใจว่าสามารถพักผ่อนอย่างสบายใจได้แล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นข้างหูอย่างต่อเนื่อง
เพราะเวลานี้บนหน้าผากลับมีคนเทน้ำมันร้อน ๆ ลงมา! เทลงมารดหัวของทหารที่กำลังพักผ่อนอยู่ด้านล่าง! ทหารเหล่านั้นที่ถูกน้ำมันร้อน ๆ ราดก็กระโดดโหยงขึ้นมาทันที ก่อนจะวิ่งหนีมาทางพวกเขา
หลิ่วเผิงจึงหยิบดาบขึ้นมาฟันคนตายไปหนึ่งคนทันที
เวิงเจิ้งซีเวลานี้หวาดกลัวเป็นอย่างมาก “มาแล้ว ๆ! หลังจากนี้จะมีงูพิษ กองทัพทหารเกราะเหล็กต้องทำเหมือนตอนนั้นแน่”
เพียงประโยคเดียว กลับทำให้หัวใจของทุกคนต่างหนักอึ้ง
พวกเขาเกือบลืมไปแล้วว่าหลายปีมานี้ เคยคุยโวโอ้อวดเรื่องการฆ่าคนจำนวนมากในตอนนั้นในวงเหล้าไปเช่นไรบ้าง
และลืมไปแล้วว่าพวกเขาได้หัวเราะเยาะกลุ่มลูกแกะที่อ่อนแอของต้าจิ้นเหล่านั้นเช่นไร
มิหนำซ้ำยังคิดหาวิธีทรมานผู้คนไว้อีกมากมาย
แต่วันนี้กลับโดนเข้ากับตัวเองเสียแล้ว!
เวิงเจิ้งซียังพูดพล่ามไม่หยุด ซุนเฉียนจึงตะคอกขึ้นมา “หุบปากเจ้าซะ เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีน้ำมันร้อนอีกถังเทลงมา ทุกคนจึงไม่กล้าอยู่ต่ออีก และรีบวิ่งตรงไปข้างหน้าทันที กลัวว่าขืนอยู่ต่อไปจะมีอะไรโยนลงมาอีก
“เมื่อครู่พวกเราเคยมาตรงนี้แล้วไม่ใช่หรือ”
แม้ว่าในใจของทุกคนจะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดมันออกมา
ใช่แล้ว เราเคยมาที่นี่แล้วจริง ๆ
เคยมาที่นี่แล้ว
แต่พวกเขามีทางเลือกอื่นอีกอย่างนั้นหรือ สถานที่แห่งนี้คือหุบเขาวิญญาณ ตอนนั้นที่พวกเขาเลือกสถานที่ผีสางแห่งนี้เป็นที่ฝังศพของกองทัพต้าจิ้นก็เพราะเหตุนี้!
“หยุดไม่ได้ ไป! ไปต่ออย่าหยุดเด็ดขาด!”
และก็เป็นไปตามที่พวกเขาคาดเอาไว้ เพียงแต่พละกำลังของมนุษย์มีจำกัด การต่อสู้ การหลบหนี การวิ่ง และจิตใจที่ตื่นตระหนกต่างหาก เป็นสิ่งที่ทำให้คนพังทลายได้ง่ายที่สุด
“ข้าเดินต่อไม่ไหวแล้ว ข้าไม่ไหวแล้ว” มีทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง จู่ ๆ ก็คุกเข่าลงกับพื้น
มีคนแรกก็ย่อมมีคนที่สอง จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็คุกเข่าลง พวกเขาอยากดื่มน้ำและพักหายใจ
และเพื่อที่จะหลบหนีเข้ามาในหุบเขาวิญญาณ พวกเขาจำต้องทิ้งม้าศึกเอาไว้ด้านนอก เพราะด้านในคับแคบเกินไป หากพาม้าเข้ามาด้วยก็จะไม่สามารถเบียดเข้ามาได้
ดังนั้นจึงมีเพียงม้าของหลิ่วเผิงเท่านั้นที่เข้ามา
แต่ตอนที่เจอไฟผีสางเมื่อครู่ เขาก็ได้ทิ้งม้าไว้ที่นั่น ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยากกลับไปที่นั่นอีก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้แล้ว
“ลุกขึ้นมา พวกเราใกล้จะออกไปได้แล้ว!”
จะออกไปได้จริงหรือ?
ไม่รู้ว่าเดินมานานเพียงใดแล้ว ริมฝีปากต่างก็แห้งผาก คอก็แห้งแทบจะเป็นผุยผงอยู่แล้ว
รู้เช่นนี้ยอมจำนนพร้อมกับหลินเจี๋ยยังจะดีเสียกว่า
เมื่อพวกเขาโบกมือและบอกว่าไม่อยากหนีอีกแล้ว ก็มีงูพิษและค้างคาวพิษจำนวนมากถูกโยนลงมา
เวิงเจิ้งซีเนื่องจากอายุมากที่สุดจึงถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็วิ่งหนีไปหมดแล้ว แม้แต่ทหารคนสนิทของเวิงเจิ้งซี เมื่อเห็นเขาถูกงูพิษกัดจนเลือดออกตามทวารทั้งเจ็ดภายในพริบตา ก็ตกใจจนวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
พักหรือ? ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้พักผ่อนอีกแล้ว! เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาหยุด สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือความตาย
พวกเขาต่างวิ่งไปในความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด คนก็เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ พละกำลังก็ค่อย ๆ ถดถอยลงเรื่อย ๆ
“ฟ้าสางหรือยัง?”
ทุกคนต่างเอาแต่ถามคำถามนี้
“เหตุใดฟ้าถึงยังไม่สางอีก!”
“ข้าเดินต่อไม่ไหวแล้ว” ติงหม่านนั่งลงกับพื้น บัดนี้เหลือแค่พวกเขาสี่คนแล้ว คนที่ตายก็ตายไป คนที่ถูกจับก็ถูกจับไป สุดท้ายคนที่ฉลาดที่สุดก็คือหลินเจี๋ยผู้นั้น
ซุนเฉียนมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง ทันใดนั้นก็คว้าตัวทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งมา ก่อนจะอ้าปากและกัดลงไปที่คอของเขา
“โอ๊ย ๆ ๆ ๆ!”
เนี่ยเทียนโฉวมีสีหน้าเปลี่ยนไป “เจ้าทำอะไร!”
ซุนเฉียนกำลังดูดเลือดของทหารคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง เขากระหายน้ำอย่างมาก หากไม่ได้กินน้ำอีกเขาต้องทนไม่ไหวแน่
เนี่ยเทียนโฉวแม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของคนอื่น แต่การที่ซุนเฉียนทำเช่นนี้มีโอกาสที่ทหารคนอื่น ๆ จะไม่พอใจเอาได้ “หุบปาก! หุบปากซะ!”
หลิ่วเผิงประหลาดใจ ซุนเฉียนใช้ดาบฟันทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นทันที จากนั้นก็เช็ดปากอย่างลวก ๆ “เจ้าจะดื่มหรือไม่?”
เนี่ยเทียนโฉวใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะถอยหลังกรูด
และก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ เมื่อพริบตาต่อมาทหารชั้นผู้น้อยคนอื่น ๆ ต่างก็พุ่งเข้ามา
“ฆ่าพวกเขาซะ! หากไม่ใช่เพราะพวกเขา พวกเราก็ไม่ต้องอยู่ในสภาพเหมือนหนูข้างถนนเช่นนี้ ที่พวกเราติดตามพวกเขาก็เพื่อจะได้มีอนาคต สามารถอยู่อย่างสุขสบาย! แต่พวกเขากลับมองพวกเราไม่ต่างจากสัตว์ ฆ่าแกงได้อย่างง่ายดาย ตัดหัวของพวกเขาออกไป อาจจะเป็นการสร้างความดีความชอบก็ได้!”
ประโยคนี้ปลุกคนให้ตื่นจากฝัน!
ใช่แล้ว กองทัพทหารเกราะเหล็กพูดมาตลอดว่าผู้ที่ยอมจำนนพวกเขาจะไว้ชีวิต และก็ไม่เคยได้ยินว่าพวกเขาฆ่าคนที่ยอมจำนนเหล่านั้นที่เมืองเจว๋เฉิง เพี่ยวโจว หรือว่าซู่โจว
เนี่ยเทียนโฉวรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ เขาเพิ่งจะลุกขึ้น ซุนเฉียนก็โมโหอย่างมาก จึงหยิบทวนยาวขึ้นมาฆ่าคนทันที “ได้ พวกเจ้าคิดจะกบฏอย่างนั้นหรือ!?”
เนี่ยเทียนโฉวดึงหลิ่วเผิงเอาไว้ “ฆ่าเขาซะ!”
หลิ่วเผิงตกตะลึง “อะไรนะ”
“หากเจ้าไม่ฆ่าเขา พวกเราทุกคนก็ต้องตาย!” บาดแผลของเนี่ยเทียนโฉวทำให้เขาขยับตัวไม่ได้
หลิ่วเผิงเมื่อเห็นความดุดันของทหารเหล่านั้น ก็กัดฟันและวิ่งเข้าไป ก่อนจะแทงเข้าที่ด้านหลังของซุนเฉียน
ก่อนตายซุนเฉียนก็ยังคิดไม่ถึงว่าหลิ่วเผิงจะเป็นคนฆ่าเขา “เจ้า…เจ้ามัน…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซุนเฉียนก็ถูกคนอื่น ๆ วิ่งกรูเข้ามาตัดหัวในทันที
มือที่เหลือเพียงข้างเดียวของติงหม่านถูกกำจนแน่น ตอนนี้เหลือพวกเขาแค่สามคนแล้ว ทว่าตอนนั้นเองบนฟ้าก็มีบางอย่างร่วงลงมา
ทุกคนต่างก็รีบหลบ แต่สิ่งที่ร่วงลงมาในครั้งนี้ไม่ใช่ยาพิษหรือของที่ใช้ฆ่าคน แต่กลับเป็นป้ายวิญญาณที่แตกละเอียด ทั้งหมดเป็นคนที่ตอนนั้นได้สังหารทหารต้าจิ้นจนได้รับความดีความชอบและถูกนำไปตั้งไว้ในโถงบรรพชน และยังมีป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่จวนเจ้าเมืองรวมอยู่ด้วย
.