เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 591 ท่องเที่ยวทั่วใต้หล้า
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 591 ท่องเที่ยวทั่วใต้หล้า
บทที่ 591 ท่องเที่ยวทั่วใต้หล้า
หลังจากที่อาฉือขึ้นครองราชย์ ทั้งครอบครัวก็ตัดสินใจว่าจะพาไท่ซ่างหวงที่เกษียณแล้ว และองค์หญิงใหญ่ไปท่องเที่ยวทั่วใต้หล้า!
ไม่เพียงไปดูดินแดนทั้งหมดของต้าจิ้นเท่านั้น ยังมีดินแดนของถู่เจียและเผ่าถูกู่หุนอีกด้วย!
ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น
เนี่ยเจิ้งอ๋องสละอำนาจ นี่จึงทำให้คนที่สนับสนุนราชวงศ์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก และทำให้บ้านเมืองสงบสุข
และด้วยอายุของไท่ซ่างหวงตอนนี้ ทุกคนจึงกลัวว่าหากเขานั่งรถม้าที่โยกคลอนนาน ๆ จะทำให้เหนื่อยเกินไป ดังนั้นจีฝูเย่จึงได้ทำรถม้าที่ดูดซับแรงกระแทกขึ้นมา ไม่ว่าเส้นทางจะลำบากเพียงใด มีหลุมมีบ่อเพียงใด ก็สามารถลดแรงกระแทกได้
เดิมทีจะให้เด็กทั้งสามคนอยู่ในเมืองหลวงเพื่อตั้งใจเรียนหนังสือ แต่ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข อีกทั้งถังกั๋วกงก็ยังมีแรงสามารถทะเลาะกับขุนนางเก่าที่คอยแต่จะหาเรื่องได้สามวันสามคืน
ดังนั้นแม้แต่อาฉือที่เป็นฮ่องเต้แล้วก็ได้ไปกับพวกเขาด้วย
เป็นฮ่องเต้ก็ควรไปดูใต้หล้าที่ตัวเองปกครอง จึงจะรู้ถึงความต้องการของราษฎร!
เรื่องนี้มีเหล่าขุนนางรู้กันไม่มากนัก มีเพียงขุนนางที่ใกล้ชิดไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ถึงแม้จะมีบางคนไม่เห็นด้วย แต่ทั้งครอบครัวก็ยังจะออกไปท่องเที่ยวกันอยู่ดี เมื่อพวกเขาพูดพล่ามออกมาก็มีแต่จะทำให้เสียอารมณ์ มิหนำซ้ำยังถูกไท่ซ่างหวงด่าอีก แล้วจะพูดไปทำไมกัน?
ยิ่งไปกว่านั้นไท่ซ่างหวงอายุปูนนี้แล้ว ไปดูบ้านเมืองและผู้คนตามที่ต่าง ๆ นับว่าเป็นเรื่องดี โดยมีฮ่องเต้คอยอยู่เคียงข้าง นั่นถือเป็นเครื่องหมายของความกตัญญู
เมื่อถึงเวลา รถม้าหลายคันที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายก็ได้ออกเดินทาง
และมีเพียงอาฉือกับเสี่ยวเกอเอ๋อร์ที่ยังไม่เคยเดินทางไกลมาก่อน ดังนั้นสองคนพี่น้องจึงตัวติดกัน ตาก็อดไม่ได้ที่จะมองออกไปด้านนอก
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ยังเด็กเห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ส่วนอาฉือนั้นอยากมอง แต่ก็ไม่อยากแสดงออกมากจนเกินไป
อาอินจึงตีหลังเขาไปหนึ่งที “พี่ใหญ่ อยากดูก็ดูสิเจ้าคะ จะสำรวมทำไมกัน!”
นางไม่สนใจแม้ผู้คนในวังจะเตือนนางว่าเขาคือฮ่องเต้ ดังนั้นต้องมีมารยาทเวลาอยู่ต่อหน้าเขา
มารยาทอะไรกัน เขาคือพี่ใหญ่ของนาง นางไม่จำเป็นต้องมีมารยาทอะไรกับเขาทั้งนั้น!
เพียงแต่ตอนนี้นางโตขึ้นมาก เมื่ออาอินฟาดฝ่ามือลงไป ก็ทำให้อาฉือแทบจะทำเสี่ยวเกอเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนหลุดมือ
เด็กน้อยดูอยู่สักพัก ก็งอแงมุดกลับเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและจะนอนแล้ว
อาฉือนับตั้งแต่มีน้องสาวคนนี้ เรียกได้ว่าชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจอีกแล้ว แม้แต่ยามอ่านฎีกาก็ยังต้องอุ้มนางเอาไว้
บางครั้งขุนนางใหญ่บางคนก็ยังได้รับรอยมือเล็ก ๆ ที่ประทับสีชาดกลับด้วย นั่นถือเป็นรอยประทับที่ท่านหญิงน้อยที่เป็นที่โปรดปรานประทับด้วยตัวเองเชียวนะ!
ส่วนอาชิงเวลานี้ก็นอนอย่างสบาย ๆ อยู่ข้าง ๆ พร้อมถือแผนที่แผ่นหนึ่งไว้ในมือ “ตอนนี้เรากำลังเปลี่ยนเส้นทางไปหลูโจว พี่ใหญ่ ท่านได้ส่งข่าวบอกพี่สะใภ้เยี่ยนชิวหรือยังว่าเราจะไป ข้าอยากกินขนมเปี๊ยะหม่าถี”
ใบหน้าเรียบตึงของอาฉือแดงก่ำขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรระวังคำพูดหน่อย คนอื่นได้ยินจะทำให้เยี่ยนชิวเสียชื่อเสียงได้”
อาชิงปรายตามองเขา เสแสร้ง! เสแสร้งเข้าไป!
แล้วใครกันที่เขียนจดหมายเร่งพี่สะใภ้ให้กลับมาเร็ว ๆ บอกว่าในวังน่าเบื่อ!
สร้างภาพชัด ๆ!
“อาชิง!” มีคนเรียกเขาจากด้านนอกรถม้า
เด็กหนุ่มจึงพลิกตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวนั้นคล่องแคล่วอย่างมาก
ทันทีที่เขาเปิดม่านขึ้น ก็เห็นห่อผ้าสองห่อถูกโยนเข้ามา
“มาอีกแล้ว!” อาชิงกลอกตามองบน ก่อนกระโดดกลับขึ้นไป พร้อมอุ้มทารกทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง พลางมุดเข้าไปในรถม้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เด็กพวกนี้ไม่ได้เป็นลูกข้าเสียหน่อย เหตุใดพวกเราต้องเลี้ยงด้วย!”
ก็ใช่น่ะสิ
เพราะทั้งรถม้ามีแค่พวกเขาสามคนที่เป็นเด็กโต ข้างกายอาอินก็มีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของเซียวเย่เจ๋อที่เพิ่งคลอดในปีนี้
เรียกได้ว่าได้ลูกสาวตอนแก่ อายุปูนนี้แล้วในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากพ่อตา จึงรีบสู่ขอคนกลับมาอย่างมีความสุขและมีลูกทันที
ฮวาเซียงเซียงตอนท้องนั้นกินเยอะมาก ท้องจึงดูโตกว่าปกติ
เซียวเย่เจ๋อคิดว่าต้องเป็นเด็กตัวอ้วนสองคนอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายกลับเป็นลูกสาวตัวอ้วนที่หนักถึงเก้าชั่งคนเดียว ฮวาเซียงเซียงทรมานเกือบตายกว่าจะคลอดออกมาได้
จึงตั้งชื่อเล่นว่า เซียวจิ่วจิน แถมยังเป็นเด็กที่กินนอนเก่งที่สุดอีกด้วย
มีอาอินช่วยเลี้ยง นางจึงพลอยสบายไปด้วย!
แต่อาฉือกลับไม่ยอมช่วยเลี้ยงเด็กคนอื่น เพราะเขาสนใจแค่เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาเท่านั้น เสี่ยวเกอเอ๋อร์จึงสนิทกับพี่ใหญ่มากที่สุด
ส่วนอาชิงกลับเป็นเหมือนก้อนอิฐ ที่ใดต้องการก็ต้องย้ายไปที่นั่น
ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าไป๋จิ่นกับเยว่พั่วหลัวจะมีลูก
หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่มีวี่แววใด ๆ ทุกคนจึงคิดว่าเป็นเพราะมีพิษสะสมในร่างกายมากเกินไปจึงมีลูกยาก
แต่โชคดีที่หลังจากได้จี้จือฮวนช่วยดูแล ในที่สุดปีนี้นางก็ตั้งท้องได้สำเร็จ เยว่พั่วหลัวคิดมาตลอดว่าอยากมีลูกแฝด เพราะจะได้สมมาตรกัน!
เซียวเย่เจ๋อที่ผิดหวังมาแล้ว จึงมักจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า ลูกแฝดอะไรจะท้องได้ง่ายขนาดนั้น
แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากคอยบำรุงอย่างดี นางก็มีลูกแฝดให้ไป๋จิ่นคู่หนึ่งจริง ๆ นับว่าสวรรค์เมตตาอย่างมาก เพื่อเลี่ยงไม่ให้ลูกคนเดียวเกิดมาไม่สมมาตรแล้วจะถูกแม่ของตัวเองเฉยชาใส่
ดังนั้นพวกเขาจึงได้ลูกแฝดชายหญิงที่สมบูรณ์แบบ
โดยคนโตเป็นผู้ชายที่คลอดออกมาก่อน ส่วนคนเล็กเป็นผู้หญิง ตอนนี้เด็กน้อยที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มก็คือเจ้าก้อนน้อยที่เพิ่งคลอดยังไม่ถึงสองวัน
เมื่อเทียบกับเซียวจิ่วจินแล้ว น้องสาวตัวน้อยของครอบครัวไป๋จิ่นนั้นตัวเล็กจนน่าสงสาร เพราะสารอาหารทั้งหมดถูกพี่ชายแย่งไปตอนที่อยู่ในท้อง
อาชิงอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนและกลัวว่าหากบีบแรงเกินไปจะทำให้กระดูกหักได้ จึงอดไม่ได้ที่จะตรวจสอบการหายใจของเด็กน้อยเป็นระยะ และพบว่ายังหายใจอยู่
เยว่พั่วหลัวกว่าจะคลอดลูกได้ไม่ใช่ง่าย ๆ ทั้งยังต้องพักฟื้นบนรถม้า โดยมีจี้จือฮวนและฮวาเซียงเซียงช่วยดูแลนางอยู่ ไป๋จิ่นย่อมต้องคอยตามปรนนิบัติ ถ้าตอนนั้นเขารู้ว่าวันนี้จะต้องใช้ชีวิตเป็นวัวเป็นม้าเช่นนี้ คงไม่ปากร้ายทำให้ภรรยาอารมณ์เสียบ่อย ๆ อย่างแน่นอน
อาชิงจับมือเสี่ยวเกอเอ๋อร์ไปเปิดกล่องยาน้อย ก่อนจะตักนมผงออกมาชงเล็กน้อย การเดินทางครั้งนี้พวกเขาไม่ได้พาแม่นมมาด้วย แต่โชคดีที่พวกเขาชำนาญเรื่องการป้อนนมเด็กอยู่แล้ว
“โอ๊ะ เจ้าตัวเล็กนี่ ข้าต้องเป็นทั้งพ่อเป็นทั้งแม่เลยนะ”
แต่พวกเขาก็พบว่าน้องสาวคนนี้มีนิสัยแปลก ๆ อยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น หากกลองป๋องแป๋งที่หยิบมาไม่ใช่สองอัน นางก็จะขมวดคิ้วอย่างไม่สบายตัว และเอามือเล็ก ๆ เกาหัวอยู่ตลอด
หากขวดนมมีขวดเดียว ในมืออีกข้างนางก็จะต้องถือขวดเปล่าอีกขวดเอาไว้ จึงจะรู้สึกสบายใจ
“สืบทอดอะไรที่มันดี ๆ หน่อยเถอะน้องเล็ก” อาชิงเปิดห่อผ้าของนางดู เขาก็คิดอยู่ว่าเหตุใดถึงได้เหม็นเพียงนี้ นี่อึอีกแล้วหรือ!
“ตลอดทางพวกเรานับว่าได้ทั้งอึ ทั้งฉี่ และตดครบหมดแล้วจริง ๆ” อาชิงเบ้ปาก
“อาชิง! จิ่วจินของพวกเราร้องไห้หรือไม่?” หย่งหนิงที่อยู่ด้านนอกเอ่ยถามขึ้นมา
อาชิงรีบอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา ก่อนจะชะโงกหน้าออกไป “จิ่วจินหลับอยู่ อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นหรือไม่?”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองไกล ๆ เขาดูไม่ชัด จึงตัดสินใจยัดเด็กเข้าไปในอ้อมแขนของอาอิน แล้วกระโดดขึ้นไปบนรถม้าของหย่งหนิง
สาวใช้กำลังป้อนยาให้นางอยู่ ส่วนหย่งหนิงก็นอนอยู่บนผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง
ทันทีที่ม่านรถม้าถูกเปิดออก เด็กหนุ่มที่สูงกว่านางหนึ่งช่วงหัวก็ก้มตัวเข้ามา พร้อมกับกลิ่นหอมของหญ้าและต้นไม้ด้านนอก หย่งหนิงฝืนตัวเองจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกอาชิงกดให้นอนลงไป “อย่าขยับ”
เขาเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากนาง “ไม่ค่อยร้อนแล้ว เหงื่อออกหรือยัง?”
หย่งหนิงพยักหน้ารับ “แต่ยังไม่มีแรง เจ้าอย่าเข้ามาใกล้เช่นนี้ เดี๋ยวจะติดหวัดจากข้าไปด้วย”
อาชิงไม่สนใจเรื่องนี้ เขาก้มหน้าลงแล้วเอาหน้าผากตัวเองแตะกับหน้าผากของนาง
“เจ้าหน้าแดงอะไรกัน ข้าไม่ป่วยมานานแล้ว” อาชิงเอ่ยหยอกล้อ
หย่งหนิงพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย “เจ้า…จู่ ๆ เข้ามาใกล้ข้าเช่นนี้ทำไมกัน?”
“พวกเราเป็นคนอื่นคนไกลที่ใดกัน” เขาเอามือข้างหนึ่งเท้าคางอยู่ ผมหางม้าถูกผูกสูงไว้กลางหัว เชือกมัดผมด้านหลังก็สะบัดตามการเคลื่อนไหวของเขา จากนั้นเขาก็นอนลงข้าง ๆ นาง “รถม้าเจ้ากว้างขวาง รถม้าของพวกเรามีแต่ผ้าอ้อม นมผง แล้วก็ขวดนม”