เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 594 ข้ามาถึงนี่ก็เพื่อแสดงความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าจิ้น
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 594 ข้ามาถึงนี่ก็เพื่อแสดงความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าจิ้น
บทที่ 594 ข้ามาถึงนี่ก็เพื่อแสดงความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าจิ้น
ทะเลทรายกว้างใหญ่มีลมพัดจนทรายคละคลุ้งไปทั่ว อาทิตย์อัสดงอาบไล้แม่น้ำที่ทอดยาว
ทรายสีเหลืองพัดมาตามสายลม แสงอาทิตย์อัสดงตกกระทบกับผิวน้ำ ฝูงม้าที่อยู่ไกล ๆ กำลังวิ่งห้อตะบึง ฝูงแกะขนาดย่อมกำลังรวมตัว
นี่เป็นภาพที่ไม่คุ้นเคย และเป็นสถานที่ที่ภายหน้านางต้องมาใช้ชีวิตอยู่
“ใจลอยไปที่ใดอย่างนั้นหรือ?” เสียงทุ้มต่ำและแหบพร่าเล็กน้อยของชายผู้หนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู
ใบหน้าของหญิงสาวในอ้อมแขนถูกฉาบด้วยแสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเย็น ขนอ่อนบนใบหน้าขยับเล็กน้อยตามการหายใจของนาง
ดวงตาสีเหลืองอำพันของนาง สะท้อนภาพทิวทัศน์อันงดงามที่อยู่ตรงหน้า
ขณะที่ราชาหมาป่าแห่งทุ่งหญ้ากำลังคิดว่า เป็นเพราะเมื่อครู่เขาพานางควบม้ามาเร็วเกินไปจึงทำให้นางตกใจไปแล้วนั้น จู่ ๆ เซี่ยวั่งซูก็หันหน้ามา
แต่อาจเป็นเพราะจู่ ๆ นางก็หันกลับมา จึงทำให้ใบหน้าชนเข้ากับเกราะที่แข็งแกร่งของเขา
นางจึงร้องออกมาเบา ๆ เผยให้เห็นถึงความไร้เดียงสาของเด็กสาวในวัยนี้ ก่อนจะแสร้งทำเป็นสงบนิ่งดังเดิม
มีห่านป่าบินผ่านขอบฟ้า ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว แล้วกางแขนทั้งสองข้างให้นาง “ลงมาสิ”
เซี่ยวั่งซูมองเขาเล็กน้อย นางไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเช่นนี้มาก่อน
จึงไม่รู้ว่าต้องตอบกลับเขาเช่นไร
เขาไม่ละความพยายาม “ไม่อยากลงหรือ ขี่ม้านานแล้วไม่คิดจะลงมาเดินหน่อยหรือ?”
เซี่ยวั่งซูอยากจะลงจากหลังม้าด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายที่โกลนม้าอยู่ห่างจากปลายเท้าของนางพอสมควร
มิหนำซ้ำม้าตัวนี้ยังเป็นม้าศึกอีกด้วย นางอยากแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ทว่าชายหนุ่มกลับเห็นว่ารองเท้าหงส์คู่เล็กที่ประดับด้วยไข่มุกของนางกำลังถูไถอย่างสะเปะสะปะบนตัวม้า
ชายหนุ่มจึงส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ
“เจ้าหัวเราะอะไร!” เซี่ยวั่งซูรู้สึกอับอายจนแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห นางเชิดคางขึ้น “ข้าขี่ม้าเป็น”
“เป็นลูกม้าเชื่อง ๆ ที่ฝึกมาเป็นพิเศษในวังใช่หรือไม่” ชายหนุ่มถามพร้อมรอยยิ้ม
มือขององค์หญิงน้อยกุมบังเหียนเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถโต้เถียงได้
แต่สุดท้ายก็เลิกดื้อรั้น ก่อนจะยื่นมือออกไป
ชายหนุ่มสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือของนางเป็นสีแดงไปหมดแล้ว
ช่างบอบบางจริง ๆ ดูเหมือนว่าภายหน้าต้องดูแลนางเป็นพิเศษเสียแล้ว จะให้ลมหรือทรายมาทำลายดอกไม้ที่ล้ำค่าและบอบบางดอกนี้ไม่ได้เด็ดขาด
เซี่ยวั่งซูคิดว่าเขาคงจะอ่อนโยนกับนางบ้าง แต่ใครจะคิดว่าขณะที่นางไม่ทันระวังจะถูกแรงมหาศาลโอบรัดที่เอวและอุ้มนางลงมาทันที หัวหมุนติ้วเพียงครู่เดียวก็ลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว
ชุดแต่งงานที่งดงามและเทอะทะ ชายชุดที่หนักอึ้ง รวมถึงมงกุฎหงส์บนหัวล้วนทำให้ร่างกายของนางรู้สึกหนักไปด้วย
“เจ้า!” นางคิดอยู่นาน อยากพูดเรื่องมารยาทกับเขา ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนรับใช้ของนาง และไม่ใช่ขุนนางของนางด้วย แต่เป็น…สามีของนาง
ชายหนุ่มกอดอกพิจารณาเสื้อผ้าชุดนี้ของนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “เสื้อผ้าของต้าจิ้นล้วนเป็นเช่นนี้หรือ ปกติพวกเจ้าทำงานได้อย่างไรกัน?”
เซี่ยวั่งซูก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อรีดกระโปรงที่มีรอยยับให้เรียบ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กลับย่อตัวลง ช่วยรีดรอยยับตามชายกระโปรงให้นางทีละรอย
บนฝ่ามือของเขามีรอยด้านมากมาย ผิวเป็นสีคล้ำแดด ไม่นับว่าเข้มมาก แต่กลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์มาก
และรอยแผลเป็นที่ยาวตั้งแต่หางคิ้วไปจนถึงคางนั่นดูเหมือนมีมานานแล้ว
“ข้าทำเอง” นางได้รู้จักเขาระหว่างทางที่มาบ้างแล้ว เขาเป็นราชาที่สูงส่งในดวงใจของชาวถู่เจีย แม้ว่าอยู่ที่ต้าจิ้นนางจะเป็นองค์หญิงใหญ่ที่สูงศักดิ์
แต่อยู่ที่นี่หากต้องการเอาชนะใจชาวถู่เจีย ก็ควรรู้จักควบคุมตัวเอง รู้จักฐานะของตัวเอง
ชายหนุ่มปัดมือของนางที่ยื่นมาออก มือที่ขาวนุ่มเช่นนี้ ราวกับดอกบัวหิมะบนเขาเทียนซาน เมื่อถูกแสงแดดส่องก็ราวกับจะโปร่งแสงได้
เล็บนั่นก็ไม่รู้ว่าดูแลอย่างไร ถึงดูเรียบและเป็นสีชมพูจาง ๆ
เขาไม่เคยดูแลเด็กผู้หญิงมาก่อน จึงกังวลว่าจะดูแลนางให้ดีได้อย่างไร
“รู้ชื่อข้าหรือไม่องค์หญิง?”
เขาถาม
เซี่ยวั่งซูพยักหน้ารับ และก็คิดขึ้นได้ว่าเขากำลังจัดกระโปรงให้นางอยู่ คงจะมองไม่เห็น
“รู้”
“เช่นนั้นลองเรียกดู”
เซี่ยวั่งซูลังเล “คณะทูตบอกว่าข้ามาถึงถู่เจียแล้วควรเรียกท่านว่า ‘ท่านข่าน’”
“ข้าเป็นอะไรกับเจ้า?” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นทั้งลึกล้ำและดำสนิท
เซี่ยวั่งซูรู้สึกว่าหูของตัวเองแดงไปหมดแล้ว ทว่าก็ยังคงเปล่งคำพูดที่น่าอายนั่นออกมาช้า ๆ ท่ามกลางการจับจ้องของเขา “สามี”
“เช่นนั้นก็เรียกชื่อของข้า บนทุ่งหญ้าของพวกเรามีเพียงเค่อตุน* ภรรยาของข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์เรียกเช่นนี้”
* เค่อตุน (可敦) หมายถึง ราชินี ภรรยาของท่านข่าน
สายตาของเขาจ้องนางโดยไม่กะพริบ เซี่ยวั่งซูจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “อาฉื่อน่าชางฉี”
“องค์หญิงน้อยของข้า พูดดังกว่านี้ได้หรือไม่?” ชายหนุ่มก้มตัวลงแล้วเดินเข้าไปใกล้นางอีกนิด
นางเห็นเขาขยับเข้ามาใกล้ จึงเชิดคางขึ้นด้วยความไม่พอใจ “อาฉื่อน่าชางฉี!”
“อืม” เขาหัวเราะเสียงดัง เผยให้เห็นฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ บนใบหน้ายังมีลักยิ้มสองข้างอีกด้วย
เขายื่นมือออกไปจับข้อมือของนางโดยมีแขนเสื้อกั้นอยู่ ก่อนจะรู้สึกประหลาดใจ ข้อมือที่บอบบางเช่นนี้กลัวว่าหากออกแรงมากไปอาจทำให้มันหักได้
จากนั้นก็ชี้ไกลออกไป “เจ้าอยากดูหรือไม่ ที่นั่นเมื่อถึงตอนกลางคืนจะมีดวงดาวมากมาย”
“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด?” ต่อให้นางจะแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ก็เป็นเพียงเด็กสาวที่เพิ่งอายุสิบหกปีเท่านั้น นางไม่เคยมาที่นี่มาก่อน และไม่รู้ว่าเมื่อออกจากทัพใหญ่ ตอนกลางคืนเช่นนี้นางควรพักที่ใด
ชางฉีเดินไปที่ริมแม่น้ำ ก่อนจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า “รอขบวนแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของพวกเจ้าก่อน คงใกล้จะตามมาทันแล้ว และคืนนี้พวกเราจะพักที่นี่”
ได้ยินดังนั้นเซี่ยวั่งซูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางค่อย ๆ ก้าวไปที่ริมแม่น้ำ แต่ไม่ได้วักน้ำขึ้นมาล้างหน้าโดยตรงเหมือนกับเขา
ชางฉีเห็นนางยืนอยู่ริมแม่น้ำด้วยท่าทางที่งดงาม สายลมพัดผมยาวสลวยของนางจนปลิวไสว จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสีแดงสดที่ปักเป็นรูปดอกบัวออกมา หันข้างให้แม่น้ำแล้วค่อย ๆ เอาผ้าจุ่มลงไป จากนั้นก็บิดเบา ๆ ก่อนเช็ดหน้าอย่างระมัดระวังด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
ชางฉีมองนางอย่างตั้งใจ ถึงขนาดเอามือข้างหนึ่งมาเท้าค้างขณะมองดูการเคลื่อนไหวของนาง
เซี่ยวั่งซูรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา “มองอะไรกัน?”
“ข้ากำลังคิดว่าควรดูแลเจ้าเช่นไรดี”
ลมและทรายที่นี่แปรปรวน แดดก็ร้อนแรงอย่างมาก เขาอดเป็นห่วงดอกไม้ที่บอบบางเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ
“ข้าไม่ต้องการคนดูแล”
ชางฉีเข้ามาใกล้มากขึ้น เซี่ยวั่งซูจึงถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกเขาคว้าเอวเอาไว้ จนไม่สามารถขยับหนีได้อีก
นางกังวลจนมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก และพละกำลังอันน้อยนิดนี้ก็ไม่ทำให้ชางฉีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“แต่การดูแลเจ้าเป็นหน้าที่ของข้า และข้าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี ภายหน้ายังต้องเลี้ยงลูกของเราด้วย”
เซี่ยวั่งซูไม่รู้ว่าควรพูดอะไร หลังจากอดทนอยู่นานในที่สุดนางก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ชื่อของเจ้าคืออู๋ซวงหรือ?”
เขาเห็นบนสาส์นของต้าจิ้น บอกว่านางคือองค์หญิงใหญ่อู๋ซวง
“เซี่ยวั่งซู แปลว่าดวงจันทร์”
“ถู่เจียของเรามีอ่าวพระจันทร์เสี้ยว เจ้าอยากไปดูหรือไม่?”
เซี่ยวั่งซูไม่เข้าใจ “เป็นผู้หญิงของท่านข่าน ข้าสามารถไปได้ทุกที่อย่างนั้นหรือ?”
ชางฉีนอนลงตรงนั้น มีท้องฟ้าเป็นผ้าห่มและพื้นดินเป็นเสื่อ
“ที่ถู่เจียทุกสิ่งล้วนอิสระ เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า นั่นก็แปลว่าเป็นผู้หญิงที่ล้ำค่าที่สุดในถู่เจีย ไม่มีที่ใดในถู่เจียที่ไม่ใช่ของเจ้า เจ้าย่อมสามารถไปได้ทุกที่”
ชางฉีมองนาง “แต่องค์หญิงที่รัก หวังว่าทุกสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่จะมาจากใจจริง เพราะการแต่งงานของเราต้องสาบานต่อเทพสวรรค์และเทพหมาป่า”
เซี่ยวั่งซูเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “แน่นอนอยู่แล้ว ข้ามาถึงนี่ก็เพื่อแสดงความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าจิ้น”
จงหยวนไม่ใช่ว่าไม่เคยมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่ก็ไม่เคยมีเหตุผลใดที่ทำให้องค์หญิงใหญ่ที่เกิดจากฮองเฮาต้องมาแต่งงานเองเช่นนี้
นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ต้าจิ้นมา เกรงว่าคงมีแค่นางคนเดียวเท่านั้น