เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 598 ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเจ้า
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 598 ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเจ้า
บทที่ 598 ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเจ้า
นางพยักหน้ารับ ใบหน้าเล็กดูขัดเขินอย่างมาก ผมที่ยุ่งเหยิงสยายจนเต็มแผ่นหลัง ไหนเลยจะยังมีท่าทางหยิ่งทะนงเช่นเมื่อวานอีก
แต่นางในตอนนี้กลับดูน่ารักอย่างมาก
“แผลบนกายเจ้า?” นางถาม
ชางฉีเลิกคิ้วขึ้น “กลัวหรือไม่?”
ตั้งแต่สะบักจนถึงเอวของเขาเป็นรอยที่ถูกหมาป่าตะปบ นอกจากนี้ยังมีบาดแผลทั้งเล็กและใหญ่อีกไม่น้อย
นางส่ายหน้า “สิ่งนี้นับว่าเป็นเหรียญรางวัลของเจ้า ดังนั้นข้าไม่กลัว”
นักรบที่แท้จริงต้องต่อสู้เสี่ยงชีวิตด้วยดาบและทวนทั้งนั้น
นางรู้สึกโชคดีมากที่การมาของนางทำให้ทหารม้าและคมดาบของชางฉีไม่ได้ชี้ไปที่ราษฎรต้าจิ้น
ขณะที่เขาเดินเข้ามาหานาง สร้อยคอกระดูกหมาป่าบนคอก็แกว่งไกว จากนั้นเขาก็ถอดมันออก “นี่คือถ้วยรางวัลของข้า ทุกครั้งที่ฆ่าสัตว์ร้ายได้หนึ่งตัว ข้าจะเลาะกระดูกของพวกมันออกแล้วร้อยมันเอาไว้ ในถู่เจียการมีสร้อยคอเช่นนี้จะปกป้องเจ้าจากภยันตรายได้”
เซี่ยวั่งซูเคยสวมใส่เครื่องประดับที่งดงามและล้ำค่ามามากมาย แต่ยังไม่เคยสวมเครื่องประดับที่พิเศษเช่นนี้
นางรับมันมาก่อนจะสวมเอาไว้บนคอ และเวลานี้ร่างกายใต้ผ้าห่มของนางก็ไม่มีเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นเมื่อกระดูกสัตว์เหล่านั้นปัดผ่านผิวที่บอบบางของนาง จึงทิ้งรอยแดงเล็ก ๆ เอาไว้
ดวงตาของชางฉีมืดมิดลง จากนั้นเขาก็รั้งท้ายทอยของนางมารับจูบ “ข้าจะไปเตรียมข้าวเช้าและจะรอเจ้าที่ด้านนอก ดวงจันทร์น้อย”
นางมองดูเขาลุกขึ้นยืนและจากไปอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใหญ่หายไปแล้ว ในใจนางก็รู้สึกว่างเปล่าขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
“องค์หญิง!” จื่อหลันและจื่อฮุ่ยที่รอมาทั้งคืนเดินเข้ามา
พวกนางอดนอนจนตาแดงไปหมด
“พวกหม่อมฉันจะคอยปรนนิบัติให้องค์หญิงอาบน้ำเปลี่ยนชุดนะเพคะ”
นางมีฐานะเช่นนี้ ตั้งแต่เด็กก็มีคนคอยปรนนิบัติจนชินเสียแล้ว
ทว่าตอนอาบน้ำ พวกนางทั้งสองกลับทำหน้าเสียอยู่ตลอด เพราะสงสารองค์หญิงของตัวเองอย่างมาก โดยเฉพาะจื่อฮุ่ยที่ชี้ไปที่รอยฟกช้ำบนร่างกายของนาง ในใจก็แทบอยากจะไปหยิบน้ำมันบำรุงผิวมาทาตั้งแต่บนลงล่าง ตั้งแต่ด้านในจนถึงด้านนอกให้ทั่ว ลบร่องรอยเหล่านั้นให้หมดยิ่งดี
“ท่านข่านรุนแรงเกินไปแล้ว”
“เมื่อคืนหม่อมฉันได้ยินองค์หญิงร้องว่าเจ็บ เหตุใดท่านข่านถึงไม่หยุดเล่าเพคะ!”
จื่อหลันจึงถลึงตาใส่จื่อฮุ่ยทีหนึ่ง “ที่นี่คือราชสำนักถู่เจีย เจ้าพูดอะไรระวังหน่อย”
จื่อหลันเอ่ยจบ ก็กระซิบที่ข้างหูของเซี่ยวั่งซู เปิดสมุดให้เซี่ยวั่งซูดูตามที่ในวังสอนมาก่อนหน้านี้ “องค์หญิงเพคะ หากว่าคืนนี้ท่านข่านยังมาค้างที่นี่อีก ก็ให้ใช้ท่าเหล่านี้ จะทำให้ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้นนะเพคะ”
เซี่ยวั่งซู “…”
เมื่อนางออกมาจากห้องน้ำ ก็เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงของถู่เจียแล้ว ซึ่งเสื้อผ้าของพวกเขาทางนี้จะหนากว่า แม้ว่าจะเป็นกระโปรงยาวเหมือนกัน แต่ก็ยาวแค่ถึงพื้นเท่านั้น เข้าคู่กับรองเท้าหนังแกะ ตัวชุดแขนเป็นทรงกระบอกพอดีตัว ส่วนกระโปรงจะเป็นทรงกว้าง และซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เมื่อเคลื่อนไหวจึงเหมือนกับดอกดาวกระจายของที่นี่ไม่มีผิด
เพื่อให้เข้ากับชุดนี้ จื่อหลันจึงถักเปียเล็ก ๆ บนศีรษะให้นาง ตามที่เห็นพวกผู้หญิงชาวถู่เจียทำกันเมื่อวานนี้
“องค์หญิงแต่งเช่นนี้งดงามยิ่งนักเพคะ” จื่อฮุ่ยเอ่ยชม
เซี่ยวั่งซูมองพวกนาง “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป พวกเจ้าก็ควรเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามด้วย”
อย่างไรเสียเครื่องแต่งกายในวังล้วนเน้นความงดงาม การสวมเสื้อแขนกว้างที่นี่จึงไม่สะดวกเท่าใดนัก
“เพคะ”
เมื่อชางฉีเข้ามาอีกครั้ง เซี่ยวั่งซูก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสาวชาวถู่เจียเรียบร้อยแล้ว ชุดสีแดงเข้าคู่กับเครื่องประดับทับทิมบนหน้าผาก งดงามจนทำให้ชางฉีไม่อาจละสายตาได้
“ชางฉี” นางเห็นเขายืนนิ่งอยู่นอกกระโจม จึงวางท่าสง่างามเช่นองค์หญิงอีกครั้ง
ชางฉีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไหนลองหมุนตัวดูสิ”
นี่มันคำขออะไรกัน?
ชายหนุ่มเห็นนางยืนนิ่ง จึงเดินเข้าไปจับมือของนางเอาไว้ แล้วให้นางหมุนตัวหนึ่งรอบ เซี่ยวั่งซูยังไม่ทันได้สติ ชางฉีก็เอ่ยปากขึ้นมา
“ข้าขอสาบานต่อฟ้า ว่านี่คือผู้หญิงที่สวยที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา”
เห็นได้ชัดมากว่าชางฉีชอบนางในแบบนี้
เซี่ยวั่งซูได้ยินดังนั้นก็หูร้อนขึ้นทันที เพราะนางยังไม่ชินกับชีวิตแต่งงาน กับการที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถเข้ามาหานางได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นนี้
ชางฉีจูงมือของนางและเดินออกไปข้างนอก
“พวกเราจะไปที่ใด?”
นางพยายามเดินตามเขาให้ทัน แต่เพราะตรงนั้นยังรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย จึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอึกอัก
เขามองออกว่านางเดินไม่ถนัด จึงอุ้มนางขึ้นมาอีกครั้ง
เขาอุ้มนางได้อย่างง่ายดาย
เซี่ยวั่งซูเม้มริมฝีปาก ก่อนจะกอดลำคอของเขาเอาไว้ “ข้าเดินเองได้”
“เจ้ากำลังลิดรอนสิทธิของข้าในฐานะสามีอยู่นะ ดวงจันทร์ของข้า”
นางมุ่ยปาก อย่างไรเสียเขาพูดอะไรล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น
เสนาบดีจางรออยู่บนรถม้าก่อนแล้ว โชคดีที่ชางฉีไม่ใช่พวกไม่รู้จักกาลเทศะ
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีจางมองเซี่ยวั่งซูที่เปลี่ยนไปแต่งกายอย่างชาวถู่เจียก็รู้สึกทอดถอนใจ
“กระหม่อมจะไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ดูแลตัวเองด้วย” มากกว่านี้เสนาบดีจางก็ไม่สามารถพูดออกมาได้แล้ว
จากกันครั้งนี้เกรงว่าคงยากที่จะได้พบกันอีก สำหรับเสนาบดีจางแล้วอายุขององค์หญิงใหญ่ใกล้เคียงกับหลานสาวของตัวเองยิ่งนัก
เมื่อมองดูท่านข่านแห่งถู่เจียที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็เป็นวีรบุรุษเช่นกัน และดูเหมือนว่าเขาจะชอบองค์หญิงใหญ่มากทีเดียว เสนาบดีจางจึงได้โล่งใจ
เซี่ยวั่งซูในเวลานี้ ไม่มีท่าทางขัดเขินเวลาอยู่ต่อหน้าชางฉีอีกแล้ว นางคารวะไปยังทิศที่ต้าจิ้นตั้งอยู่อย่างจริงจัง
“หลังกลับไปราชสำนักแล้วขอเสนาบดีจางทูลเสด็จพ่อด้วยว่า ‘ลูกจะดูแลตัวเองให้ดี ลูกกับท่านข่านจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างทั้งสองแคว้น และขอให้เสด็จพ่อดูแลสุขภาพ อย่านอนดึก ไม่ต้องคิดถึงลูกให้มากนัก’”
เสนาบดีจางหันหลังไปเช็ดน้ำตา ก่อนจะคารวะให้กับชางฉี “ท่านข่าน สมบัติล้ำค่าของต้าจิ้น ขอมอบไว้ในมือท่านแล้ว”
ชางฉีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าขอบคุณต้าจิ้นอย่างสุดซึ้ง และขอบคุณฮ่องเต้ของต้าจิ้น องค์หญิงอยู่บนดินแดนแห่งนี้จะมีข้าคอยปกป้องคุ้มครอง โปรดวางใจ”
เมื่อได้รับคำสัญญาเช่นนี้ เสนาบดีจางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก หลังจากขึ้นไปบนรถม้าก็ไม่เห็นองค์หญิงอีกแล้ว
แต่เซี่ยวั่งซูยังยืนอยู่ที่เดิม มองส่งคนกลุ่มนั้นห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือเพียงจุดสีดำเล็ก ๆ ตรงขอบฟ้าไกล
ชางฉียืนเป็นเพื่อนนางอยู่อย่างนั้น “ดวงจันทร์น้อย ต่อไปข้าก็คือครอบครัวของเจ้า ข้าจะรักและปกป้องเจ้าแทนพ่อของเจ้าเอง”
ในที่สุดเซี่ยวั่งซูก็ทนไม่ไหว ซุกหน้าลงกับอกของเขา “ชางฉี ได้โปรดสัญญากับข้า อย่าให้ลูกน้องของท่านราวีราษฎรต้าจิ้นตามชายแดนอีก”
ชางฉีกอดนางเอาไว้ “ข้ารับรอง”
จื่อหลันกับจื่อฮุ่ยสบตากัน และแอบหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ
ตั้งแต่นี้ไป ถู่เจียก็คือบ้านของพวกนางแล้ว
เซี่ยวั่งซูไม่ได้ร้องไห้นานนัก ไม่นานก็เช็ดน้ำตาจนแห้ง ชางฉีมองใบหน้าของนางอย่างละเอียด “ตาแดงแล้ว”
เซี่ยวั่งซูเม้มริมฝีปาก “ข้าไม่ใช่คนที่ชอบร้องไห้”
ชางฉียิ้มออกมา “อืม”
สาวน้อยพูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น
เขาจะไม่ทะเลาะกับภรรยา
นางคิดไปคิดมา “ชางฉี คนที่ข้าพามาเล่า พวกเขามีที่อยู่หรือไม่?”
“พวกเขาพักอยู่ที่กระโจมทางตะวันตก คนในราชสำนักของเราก็มีคนที่แต่งงานกับคนของต้าจิ้นด้วยเช่นกัน ทางนั้นจึงมีคนเลี้ยงสัตว์ที่คุ้นเคยกับภาษาของทั้งสองแคว้นอยู่ ข้าจะพาเจ้าไปดู”
“อืม”
ราชสำนักมีขนาดใหญ่มาก แต่ล้วนเป็นกระโจมทั้งหมด เซี่ยวั่งซูจึงรู้สึกว่าที่นี่อิสระอย่างมาก ไม่มีผู้ติดตามมากนัก ชาวบ้านก็สามารถทักทายกษัตริย์ได้ เหมือนกับหมู่บ้านขนาดใหญ่มากกว่า
ทุกคนเห็นชางฉีต่างก็คารวะอย่างนอบน้อม และอวยพรให้กับพวกเขา
เซี่ยวั่งซูเดินตามชางฉีไป ตอนแรกนางยังจำทางไม่ได้ แต่เมื่อเดินไปถึงสถานที่ที่เขาจัดให้ชาวต้าจิ้นพัก นางก็เริ่มคุ้นเคยขึ้นบ้างแล้ว