เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 605 สั่งสอนซูตี๋หย่า
บทที่ 605 สั่งสอนซูตี๋หย่า
จื่อฮุ่ยได้รับเลือกมาจากองครักษ์ลับในวังหลวงจำนวนห้าพันคน เพื่อคอยปกป้องอยู่ข้างกายเซี่ยวั่งซู
ตอนนั้นนางได้รับคำสั่งมาว่า ชีวิตนี้ของนางไม่จำเป็นต้องฟังฮ่องเต้หรือฮองเฮา ให้ฟังเพียงคนเดียว และมีเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเซี่ยวั่งซู
ทว่าผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดตรงหน้าผู้นี้ กลับกล้าใช้แส้ชี้หน้าเจ้านายของนาง นั่นก็เท่ากับกำลังอึรดหัวนางอยู่!
นางจะทนได้อย่างไรกัน!
ต่อให้ถู่เจียจะไม่มีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ก็ควรรู้ว่าใครมีฐานะอะไร
แส้ที่จื่อฮุ่ยฟาดสั่งสอนนั่นไม่ใช่เบา ๆ เวลานี้จึงทำให้มุมปากของซูตี๋หย่ามีแผลขนาดใหญ่
แม้แต่ฟันก็ยังโยกคลอนเล็กน้อย
ซูตี๋หย่าอาศัยที่อูหลุนจูให้กำเนิดลูกชายชางฉี และในราชสำนักแห่งนี้นางก็ยังงดงามจนเป็นที่เลื่องลือ มีพี่ชายเป็นถึงผู้นำของชนเผ่า นางจึงโชคดีกลายเป็นหญิงสูงศักดิ์ไปด้วย
จึงอวดตัวเองว่าไม่ด้อยไปกว่าองค์หญิง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีสาวใช้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกล้าสะบัดแส้ใส่นางต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
ซูตี๋หย่ายอมไม่ได้ นางกุมใบหน้าเอาไว้แล้วด่าออกมาชุดใหญ่
จื่อฮุ่ยฟังไม่รู้เรื่อง แต่เห็นไก่ป่าตัวนี้อ้าปากพะงาบ ๆ พร้อมแววตาดุร้ายนั่นแล้ว จะเป็นคำดี ๆ อะไรได้กัน
นางจึงสะบัดแส้ออกไปอีกครั้ง “ผู้หญิงสารเลว ขืนเจ้าพูดอีกคำเดียว ข้าจะเอาชีวิตเจ้าซะ!”
อาเอ่อร์ไท่เห็นซูตี๋หย่าที่หาเรื่องใส่ตัว ก็เอามือทั้งสองข้างกอดอกดูอยู่เฉย ๆ
เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อวาน อาเอ่อร์ไท่ก็ไม่อยากพูดกับซูตี๋หย่าอีกแล้ว
เขายังเสียดายขนมในตะกร้านั่นของเขาอยู่เลย
เขาเห็นพ่อครัวหลวงเหล่านั้นทำกันเกือบหนึ่งชั่วยามจึงสามารถทำขนมเหล่านั้นออกมาได้ คิดถึงตรงนี้เขาก็ยิ่งเสียดายเข้าไปอีก
ตกกลางคืนก็ยังรู้สึกราวกับสูญเสียจามรีในบ้านไปสิบกว่าตัวก็มิปาน
อีกอย่าง นิสัยอย่างซูตี๋หย่าก็สมควรได้รับการสั่งสอนแล้ว
ตอนท่านข่านออกไป ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ ดังนั้นจึงยังไม่มีใครจากไป แน่นอนว่าทุกคนต่างก็เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
เป็นซูตี๋หย่าที่หาเรื่องเค่อตุนก่อน
เค่อตุนเป็นภรรยาของท่านข่าน องค์หญิงของต้าจิ้น และเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในถู่เจียของพวกเขา ทว่าซูตี๋หย่ากลับใช้แส้ชี้หน้านาง
ดังนั้นจึงไม่มีใครช่วยออกหน้าแทนซูตี๋หย่า พวกเขาต่างก็คิดว่าคนที่ยั่วยุท่านข่านและเค่อตุนสมควรถูกลงโทษแล้ว
อีกทั้งหลังจากที่ซูตี๋หย่าถูกแส้ฟาด กลับด่าทอเค่อตุนว่าเป็นปีศาจจิ้งจอก เป็นผู้หญิงต้าจิ้นที่หน้าไม่อาย!
ตอนนี้พวกเขาจึงนึกดีใจที่เค่อตุนยังไม่เข้าใจภาษาถู่เจีย
ซูตี๋หย่าเห็นจื่อฮุ่ยจะลงมืออีกครั้ง หลังจากกรีดร้องก็มองไปที่ทุกคน โดยหวังว่าจะมีคนลุกขึ้นมาและพูดแทนนาง!
นางต่างหากที่เป็นชาวถู่เจีย นางต่างหากที่เป็นพี่น้องร่วมชาติของพวกเขา
ทว่าทุกคนต่างมองนางด้วยสายตาเย็นชา
“พวกเจ้าเป็นอะไรไป! พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ ไม่เห็นหรือว่าชาวต้าจิ้นกำลังตีชาวถู่เจียอย่างพวกเรา วันนี้นางตีข้า พรุ่งนี้ก็ตีพวกเจ้าได้เหมือนกัน!”
“พอได้แล้วซูตี๋หย่า เจ้าบ้าพอหรือยัง?” อาเอ่อร์ไท่เอ่ยจบก็คารวะให้กับเซี่ยวั่งซู “เค่อตุนกลับกระโจมก่อนเถอะขอรับ ที่นี่ข้าจัดการเองขอรับ”
เซี่ยวั่งซูปัดมือไปมา นางไม่คิดจะปล่อยให้เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ และนางก็ไม่อยากให้ใคร ๆ ต่างก็สามารถวิ่งมาตรงหน้านาง และชี้หน้าด่านางเช่นนี้อีก
การเชือดไก่ให้ลิงดู คนในวังเข้าใจดียิ่งกว่าใคร
“หาคนที่พูดได้ทั้งสองภาษามา ข้าอยากจะรู้ว่านางกำลังพูดอะไร”
จื่อหลันย่อตัวลง แล้วรีบไปหาคนมาทันที
อาเอ่อร์ไท่เกาหัว เห็นเซี่ยวั่งซูทำหน้านิ่งก็กลัวว่านางจะโมโหจนร้องไห้ออกมา
ขณะที่เขาไม่รู้ว่าจะปลอบนางเช่นไรดีนั้น ก็เห็นขันทีน้อยผู้หนึ่งยกเก้าอี้มาและยังเตรียมผลไม้มาให้เค่อตุนอีกด้วย
จื่อหลันก็ไปตามคนมาอย่างรวดเร็ว เป็นผู้หญิงที่ช่วยงานเมื่อวานนี้
อาเอ่อร์ไท่ถามขึ้นมา “เค่อตุนขอรับ?”
เซี่ยวั่งซูปัดมือไปมา จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยถามตรง ๆ “องค์หญิงของเราจะให้โอกาสผู้หญิงสารเลวอย่างเจ้าแค่ครั้งเดียว ดังนั้นเจ้าควรพูดออกมาให้หมด เมื่อครู่การที่เจ้าพุ่งออกมาเช่นนั้น คิดจะทำอะไรกันแน่?”
ซูตี๋หย่าเงยหน้าขึ้น “เจ้าไม่คู่ควรจะพูดกับข้า”
จื่อฮุ่ยจึงยกมือขึ้นและตบเข้าที่ใบหน้าของซูตี๋หย่าอย่างแรง
“เจ้า! ชาวต้าจิ้นอย่างพวกเจ้าจะรังแกกันเกินไปแล้ว!” ซูตี๋หย่าตะโกนออกมาด้วยความอับอาย
“เฮอะ พวกเราชาวต้าจิ้นให้ความสำคัญกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่ผู้อื่นปฏิบัติต่อตน!” จื่อฮุ่ยเอ่ยจบก็เลิกคิ้วแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “เจ้าทำตัวเช่นไร ข้าก็จะปฏิบัติกับเจ้าเช่นนั้น”
เซี่ยวั่งซูจิบชาด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนที่จะให้ผู้หญิงคนนั้นส่งต่อคำพูดที่ครบถ้วนให้กับชาวถู่เจียทุกคนที่อยู่ในที่นี้
“แม้ว่าข้าจะเป็นองค์หญิงแห่งต้าจิ้น แต่ข้าได้แต่งงานเข้าราชสำนักถู่เจียแล้ว ข้ามาที่นี่ในฐานะตัวแทนความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองแคว้น มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ข้าเป็นชาวต้าจิ้นและก็เป็นชาวถู่เจียเช่นกัน บัดนี้ต้าจิ้นกับถู่เจียไม่แบ่งแยกกัน!”
ซูตี๋หย่าได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็เผยสีหน้าดูแคลนออกมา
แววตาของเซี่ยวั่งซูจึงเข้มขึ้น น้ำเสียงก็หนักแน่นขึ้นหลายส่วน “เจ้าเอาแต่พูดว่าฝ่ายหนึ่งถู่เจีย ฝ่ายหนึ่งต้าจิ้น เจ้าคิดจะแบ่งแยกสองแคว้นอย่างนั้นหรือ? หรือต้องการให้เกิดสงครามในดินแดนแห่งนี้ ทำให้ราษฎรเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า!”
ซูตี๋หย่าในสมองคิดเพียงอย่างเดียวว่า เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ใช้กลอุบายชั่วร้ายถึงขโมยหัวใจของชางฉีไปได้ ทำให้เขาหลงใหลผู้หญิงคนนี้ได้ในเวลาอันสั้น!
ทว่าที่เซี่ยวั่งซูถาม นางไม่เคยคิดมาก่อน
เมื่อจู่ ๆ ถูกเค้นถามเช่นนี้ จึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เซี่ยวั่งซูเห็นดังนั้นก็นึกดูแคลน ที่แท้ก็เป็นแค่คนไร้ความสามารถ เป็นคนโง่ที่มุทะลุและไร้สมอง
หากอยู่ในวัง คงตายภายในสองวันเป็นแน่
“อาเอ่อร์ไท่ ข้าไม่รู้กฎราชสำนักของพวกเจ้า ดังนั้นเจ้าบอกข้ามาที ว่าคนที่ล่วงเกินเค่อตุน เสียมารยาทต่อเค่อตุน และตั้งใจที่จะทำร้ายเค่อตุน บทลงโทษคืออะไร?”
อาเอ่อร์ไท่เห็นเซี่ยวั่งซูมุมนี้ก็ตกตะลึงจนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จนกระทั่งจื่อฮุ่ยส่งเสียงชิชะขึ้นมา เขาจึงได้สติและเอ่ยตอบไป “ราชสำนักของเรายังไม่ได้ตั้งกฎขอรับ”
“เช่นนั้นต่อจากนี้ไปก็มีกฎแล้ว! ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ชนชั้นสูง หรือสามัญชน ใครก็ตามที่ทำร้ายคนอื่นโดยไม่แยกแยะถูกผิด จะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนห้าสิบครั้งเพื่อตักเตือน ดังนั้น เอาตัวนางไปลงโทษได้!”
ซูตี๋หย่ากรีดร้องออกมา “เจ้ากล้าหรือ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร! ข้าเป็นน้องสาวของมู่เหริน เป็นไข่มุกที่เปล่งประกายที่สุดบนทุ่งหญ้า! เจ้าเหยียดหยามข้าเพียงนี้ พี่ชายของข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”
เซี่ยวั่งซูหัวเราะเบา ๆ ปรายตามองซูตี๋หย่าเล็กน้อย “หากไข่มุกที่เปล่งประกายที่สุดบนทุ่งหญ้ามีนิสัยอวดเบ่งเช่นเจ้า ข้าคงรู้สึกอับอายขายหน้าแทนคนในทุ่งหญ้าจริง ๆ”
นางลุกขึ้นยืนและชี้ไปที่พวกเด็ก ๆ ในฝูงชน “พวกเขาต่างหากคือไข่มุกบนทุ่งหญ้า คืออนาคตของถู่เจีย พวกเขากำลังเติบโตอย่างงดงาม และจะกลายเป็นนักรบในภายภาคหน้า เป็นส่วนหนึ่งที่จะปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน เด็ก ๆ พวกเจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ คือการอยู่ให้ห่างจากคนโง่ที่มีเจตนาชั่วร้าย โตแต่ตัวแต่ไร้สมองเช่นนี้”
เซี่ยวั่งซูไม่ได้ลงมือเอง แต่ทุกคำและทุกประโยคที่นางพูด ราวกับดาบที่มองไม่เห็นที่ทิ่มแทงเข้าไปในร่างของซูตี๋หย่า
ส่วนฝูงชนชาวถู่เจียที่ได้ยินกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
เค่อตุนพูดว่าอะไรนะ บอกว่าลูกหลานของพวกเขาต่างหากที่เป็นไข่มุก ลูกหลานพวกเขาต่างหากที่เป็นความหวังของถู่เจีย! ภายหน้าพวกเขาก็จะกลายเป็นนักรบ!
“เค่อตุน ลูกของพวกเราไม่ต้องต้อนสัตว์เหมือนพวกเราไปตลอดชีวิตจริง ๆ หรือขอรับ พวกเขาสามารถเป็นนักรบได้หรือขอรับ!”
นักรบไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ เพราะพวกเขาจะคัดเลือกผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุด แต่คนที่มีฐานะครอบครัวยากจน บำรุงร่างกายไม่ถึง ก็ทำได้เพียงเป็นคนต้อนสัตว์และจูงม้าให้นักรบเหล่านั้น
เซี่ยวั่งซูยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่น “แน่นอน ข้ารับปากพวกเจ้าในนามของเค่อตุนแห่งถู่เจีย สิ่งที่ข้าพูดไปทำได้อย่างแน่นอน”
“เค่อตุนจงเจริญ! เค่อตุนจงเจริญ!!!”
.