เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 612 เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดกับข้า
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 612 เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดกับข้า
บทที่ 612 เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดกับข้า
ที่แท้ตอนที่ซางลั่วและกลุ่มคาราวานใกล้จะถึงเมืองชายแดนต้าจิ้น พวกเขาก็ได้หยุดพักชั่วคราว
สุดท้ายกลับมีทหารม้าต้าจิ้นกลุ่มหนึ่งลงมาจากเนินเขาและล้อมพวกเขาเอาไว้
ตอนแรกหัวหน้าคาราวานยังได้อธิบายให้คนพวกนั้นฟังว่าเขามาจากถู่เจีย แต่สุดท้ายทหารม้าของต้าจิ้นเหล่านั้นกลับบอกว่า พวกเขาจะมาจับกุมตัวพวกถู่เจีย
เซี่ยวั่งซูขมวดคิ้ว “พวกเขาพูดเช่นนี้จริงหรือ?”
“ขอรับ”
“ชุดทหารที่สวมเป็นสีอะไร?”
“พวกเขาสวมเสื้อเกราะสีเทา และสวมเสื้อสีแดงด้านในขอรับ”
เกราะเทา เสื้อแดง
ทหารอารักขาเมืองปินโจว!
เซี่ยวั่งซูจึงพูดขึ้นมา “คนของกองคาราวานบาดเจ็บล้มตายหรือไม่?”
“ข้าอาศัยช่วงชุลมุนวุ่นวายหลบหนีออกมา จึงไม่รู้ว่ามีใครเป็นอะไรหรือไม่ แต่พวกพี่ชายหลายคนได้รับบาดเจ็บ ทหารม้าต้าจิ้นเหล่านั้นตั้งใจที่จะจับกุมพวกเราขอรับ”
เซี่ยวั่งซูส่งตะกร้าให้ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ ถอดผ้ากันเปื้อนออก แล้วสั่งการทันที “กลับราชสำนัก!”
เซี่ยวั่งซูกลับมาอย่างรวดเร็ว และข่าวที่ว่ากองทัพต้าจิ้นปล้นกองคาราวานก็แพร่สะพัดออกไปแล้วเช่นกัน
เซี่ยวั่งซูกลับไปที่กระโจมท่ามกลางสายตาของทุกคน และใช้สร้อยคอเขี้ยวหมาป่าเรียกต่าลามา
“เค่อตุน”
ต่าลาคารวะ
เซี่ยวั่งซูลุกขึ้น และไหว้วานเขาด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ต่าลา ข้าจะออกจากราชสำนักไปปินโจว เพื่อพากองคาราวานกลับมา ความปลอดภัยของราชสำนักต้องฝากเจ้าแล้ว”
ต่าลาประหลาดใจ “เค่อตุนเตรียมพาคนไปเท่าใด?”
“ข้าจะพามือกระบี่ต้าจิ้นไปด้วยสามคน ส่วนสาวใช้ข้าจะพาไปด้วยแค่หนึ่งคนเท่านั้น คนที่เหลือเจ้าจัดการได้เลย”
เซี่ยวั่งซูไม่สามารถพาคนต้าจิ้นทั้งหมดไปด้วยได้
ต่าลาไม่ใช่ชางฉี เขาย่อมไม่มีทางเชื่อนางหมดใจอยู่แล้ว
และการที่เซี่ยวั่งซูจะกลับไปที่ต้าจิ้นก็เพื่อนำคาราวานกลับมา และเรื่องนี้ก็มีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน หากเซี่ยวั่งซูกลับไปที่ต้าจิ้นแล้วไม่กลับมาเล่า!
อีกทั้งนางก็รู้ตำแหน่งที่ตั้งของราชสำนักถู่เจียแล้ว
ต่าลาจึงลังเล
“ต่าลา ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร ข้ารอได้ ท่านข่านรอได้ แต่คนในกองคาราวานรอไม่ได้ ท่านข่านก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาจากการล่าสัตว์เมื่อใด และราชสำนักก็ต้องการคนปกป้อง เจ้าเชื่อข้าเถอะ”
ต่าลาจึงพูดขึ้นมา “เช่นนั้นก็ให้อาเอ่อร์ไท่ไปกับท่านด้วย”
“แน่นอน!” เซี่ยวั่งซูยิ้มออกมา “ข้าขอสาบานต่อเทพสวรรค์ ข้าจะพาคนกลับมาและให้คำอธิบายแก่พวกเจ้าอย่างแน่นอน”
นางเอ่ยจบก็ออกมาจากกระโจมใหญ่ และกลับไปที่กระโจมของตัวเองเพื่อไปเอาตราหยกขององค์หญิง ใบผ่านทาง รวมถึงสาส์นแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ออกมา
นางจำได้ว่าแม่ทัพทหารอารักขาของปินโจวก็เคยพบนางมาแล้ว
เพียงแต่ตอนนั้นนางสวมมงกุฎหงส์ จึงไม่รู้ว่าเขาจะจำใบหน้าของนางได้หรือไม่ หลังจากคิดดูแล้วจึงหยิบตรามังกรที่เสด็จพ่อของนางมอบให้ออกมาด้วย
เซี่ยวั่งซูมวยผมยาวขึ้น นางยังคงสวมเสื้อผ้าแบบหญิงชาวถู่เจีย ก่อนจะสวมเสื้อคลุมทับและสวมหมวกสักหลาดเพื่อป้องกันลมและทราย
ด้านนอก ต่าลาก็ได้เตรียมนักรบห้าร้อยนายให้เซี่ยวั่งซูแล้ว และเลือกม้าตัวเล็กที่ค่อนข้างเชื่องมาให้นางด้วย
เดิมทีเขาอยากเตรียมรถม้าให้เซี่ยวั่งซู ทว่าเซี่ยวั่งซูเห็นว่ารถม้าเดินทางได้ล่าช้า
นางกับจื่อฮุ่ยขี่ม้าตัวเดียวกันจึงสะดวกกว่า
“เค่อตุน ไปครั้งนี้ต้องระวังให้มากนะขอรับ” ต่าลาเอ่ยเตือน
เซี่ยวั่งซูเม้มริมฝีปาก “ต่าลา ราชสำนักคงต้องฝากเจ้าแล้ว หากท่านข่านกลับมา ให้เขาอยู่รอข้าที่นี่”
“ขอรับ”
“ย่ะ!”
คนทั้งกลุ่มจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองชายแดนของต้าจิ้นทันที ตลอดทางเซี่ยวั่งซูไม่ได้หยุดพักเลย
เพราะนางกลัวว่าหากล่าช้าเพียงเล็กน้อย อาจจะมีคนตายไปหนึ่งคนได้
ตอนนี้นางคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นในปินโจวกันแน่
“องค์หญิง พวกเราพักก่อนเถอะเพคะ”
องค์หญิงไม่เคยขี่ม้านานขนาดนี้มาก่อน ประกอบกับผิวของนางบอบบางมาก ไม่แน่ต้นขาอาจเสียดสีจนถลอกไปหมดแล้ว
เพราะจื่อฮุ่ยเองก็เริ่มทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
อาเอ่อร์ไท่ก็ช่วยเกลี้ยกล่อมอยู่ข้าง ๆ ให้นางพักก่อน
เซี่ยวั่งซูขัดพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นจึงหาจุดที่ลมพัดมาไม่ถึงบนเนินเขาเพื่อพักผ่อน
เซี่ยวั่งซูหยิบอาหารแห้งออกมา ใบหน้าถูกลมและทรายพัดใส่จนรู้สึกเจ็บไปหมด
จื่อฮุ่ยรู้สึกสงสารนางเป็นอย่างมาก ในใจก็แอบด่าปินโจวว่าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!
กล้าทำให้องค์หญิงตกอยู่ในอันตราย!
กลับไปนางจะเขียนจดหมายหาฝ่าบาท ให้เล่นงานคนเหล่านั้นสักหน่อย
เซี่ยวั่งซูพักผ่อนไม่นานก็ออกเดินทางต่อ
…
ส่วนจวนเจ้าเมืองปินโจวในเวลานี้
ถั่นรุ่นกำลังชื่นชมนางรำต่างเมืองคนใหม่ในจวนอยู่ มองดูเอวที่คอดกิ่วของนาง ดวงตาของเขาก็หรี่เล็กลง
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ คนเหล่านั้นถูกขังในศาลาว่าการแล้วขอรับ”
“อืม รอผู้ตรวจการกลับมา เจ้ารู้ว่าควรพูดเช่นไรใช่หรือไม่?”
“ผู้น้อยทราบขอรับ ให้บอกว่าคนที่จับมาเป็นโจรขโมยม้า”
ถั่นรุ่นกินผลไม้ต่อ “ดีมาก”
“แต่อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็เป็นคาราวานพ่อค้าของถู่เจีย จะทำให้ราชสำนักถู่เจียไม่พอใจหรือไม่ขอรับ หากว่าองค์หญิงใหญ่ทราบเรื่องเข้า?”
“กลัวอะไร ถึงเวลาก็ทุบตีสักหน่อยแล้วบอกว่าจับมาผิดตัว และการที่พวกถู่เจียบุกมาชายแดนเราก็เป็นเรื่องจริง! นั่นไม่ใช่คำสั่งจากท่านข่านหรอกหรือ พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย คิดว่าพวกเรากลัวถู่เจียของพวกเขาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นองค์หญิงใหญ่…”
“นางเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งงานกับคนป่าเถื่อน ตกเป็นของผู้ชายที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนั้น ข่าวที่ว่าองค์หญิงใหญ่เป็นที่โปรดปรานก็ไม่แน่ว่าเป็นความจริง
หากฝ่าบาทรักนางจริง ไหนเลยจะยอมให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนแต่งไปสถานที่เช่นนั้นกัน”
ถั่นรุ่นยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าที่ตัวเองคิดมีเหตุผล
“เอาละ จะกังวลไปทำไม ตอนนี้คนป่าเถื่อนพวกนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวเข้าสู่ฤดูหนาว รอถึงเวลาค่อยปล่อยคนไป”
เพราะเขารับเงินปี้ลี่เก๋อมาแล้ว
ได้ยินว่าท่านข่านนั่นไม่อยู่ราชสำนัก
ตามธรรมเนียมของถู่เจีย หากปี้ลี่เก๋อยึดราชสำนักได้ องค์หญิงใหญ่ก็ต้องเป็นของปี้ลี่เก๋อด้วย ถึงเวลานั้นพวกเขาก็ล้วนเป็นสามีของนางทั้งหมด มีอะไรให้โมโหกัน
พวกผู้หญิงแค่กดลงบนเตียง นอนนิ่ง ๆ อยู่ใต้ร่างก็สบายแล้ว
ถั่นรุ่นยิ่งคิดก็ยิ่งได้ใจ
แต่เวลานี้องค์หญิงใหญ่ก็ได้มาถึงด้านนอกกำแพงเมืองปินโจวแล้ว
ลมยามค่ำคืนกระทบใบหน้าจนรู้สึกเจ็บไปหมด มือกระบี่ของต้าจิ้นที่อยู่ด้านหลังก้าวไปข้างหน้า และหยิบป้ายองค์หญิงใหญ่ออกมา สั่งให้ยามเฝ้าประตูเมืองเปิดประตู
ยามเฝ้าประตูเมืองตกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน และคิดว่าองค์หญิงใหญ่ต้องการกลับต้าจิ้น เพราะทะเลาะกับพวกถู่เจีย
เขาจึงให้คนไปเชิญท่านเจ้าเมืองมา และเตรียมเปิดประตูเมืองให้องค์หญิงใหญ่
“เปิดไม่ได้ เจ้าไม่เห็นหรือว่าด้านหลังขององค์หญิงใหญ่พาใครมาด้วย ใครจะรู้ว่านั่นใช่องค์หญิงใหญ่ตัวจริงหรือไม่”
แต่จื่อฮุ่ยไม่ได้นิสัยดีเพียงนั้น นางชี้ไปที่ทหารชั้นผู้น้อยที่กระซิบกระซาบกันอยู่บนกำแพงเมือง พลางตะคอกออกมา “เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร ถึงกล้าให้องค์หญิงใหญ่ตากลมอยู่ตรงนี้ กลับไปข้าจะถวายฎีกาให้ฝ่าบาทตัดหัวพวกเจ้าซะ!”
ภาษาทางการของต้าจิ้นที่พูดได้อย่างถูกต้อง เป็นสำเนียงเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ทหารชั้นผู้น้อยได้ยินดังนั้นจึงรีบให้คนเปิดประตูเมืองก่อน หากล่วงเกินองค์หญิงใหญ่พวกเขารับผิดชอบไม่ไหวแน่
เซี่ยวั่งซูมีสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะขี่ม้าเข้าเมือง ทว่าพริบตาต่อมาก็ถูกทหารอารักขาในเมืองล้อมเอาไว้ที่ประตูเมือง
เซี่ยวั่งซูถอดหมวกออก มองคนที่ขวางทางนาง ก่อนจะปรายตาแล้วถามว่า “เหตุใดจึงขวางทางข้า?”
“องค์หญิงสามารถเข้าเมืองได้ แต่ชาวถู่เจียเข้าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากของเซี่ยวั่งซูยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกไป “จื่อฮุ่ย”
จื่อฮุ่ยจึงชักกระบี่ยาวออกมาจากเอวและส่งให้กับเซี่ยวั่งซู
กระบี่นั่นเปล่งแสงออกมาภายใต้แสงไฟ จากนั้นเซี่ยวั่งซูก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ “ข้าก็เป็นชาวถู่เจียเหมือนกัน เจ้าคิดว่ากำลังพูดกับใครกัน!”
หลังจากที่พูดจบ ปลายกระบี่ก็จ่อไปที่ลำคอของคนผู้นั้น
“เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดกับข้า ไปตามคนที่สามารถตัดสินใจได้มาพบข้า!”