เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 274 ซื้อม้า
ตอนที่ 274 ซื้อม้า
ในถ้ำน้ำตก
ตอนนี้เงียบสงบดังเดิม
เสียงน้ำตกไหลลงมา หินผาขวางอยู่ก็ยังได้ยินชัดเจน
ร่างของราชันชนรุ่นหลังร่วงลง แขนสองข้างถูกโซ่รั้งเอาไว้
น้ำหนักของร่างกายเหมือนเบาลงเล็กน้อย
วิญญาณสลายไปแล้ว
โครงกระดูกตรงส่วนลึกของทั้งถ้ำกลายเป็นเถ้าธุลี ลอยขึ้นตามสายลมเบาที่ไม่รู้มาจากที่ใด พากันพัดออกจากถ้ำ
ดวงจิตของท่านเผยหมินก็หายไปแล้วเช่นกัน
เด็กสาวที่เดิมทียืนเหม่อ ในที่สุดตอนนี้ก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆ
เด็กสาวตาแดง มือข้างหนึ่งกำหมัด เอาหลังมือขยี้ดวงตาเบาๆ
หนิงอี้นั่งยองลง นำผ้าสวยงามออกมาจากกระเป๋าเอว เช็ดแก้มให้นางก่อนพูดอย่างอ่อนโยน “เห็นอะไร”
“พ่อ แม่ ลานบ้าน…” เสียงเด็กสาวมีความขมขื่นนิดๆ นางส่ายหน้า “เป็นวัยเด็กที่อบอุ่นมาก แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว”
หนิงอี้ก้มหน้าลง เช็ดแก้มเผยฝานแล้วก็ลุกขึ้น ขยี้ศีรษะนางก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านเผยหมิน เป็นพ่อที่ดีมากจริงๆ”
เด็กสาวตอบอืมอย่างหนักแน่น
……
หลังเกิดเรื่องขึ้น น้ำตกอาทิตย์อุทัยสายน้ำตัดขาดไปครั้งหนึ่ง หินผาสั่นสะเทือน
สามกรมสังเกตเห็นถึงความผิดปกติแล้ว มาถึงใต้ภูเขาน้ำตก แต่ไม่เจอคนน่าสงสัย จึงแยกย้ายกันไป
ค่ำคืนยาวนานสิ้นสุดลงแล้ว
น้ำตกเมืองอาทิตย์อุทัยต้อนรับแสงแรกอรุณ
หลิ่วสืออีกอดกระบี่ลืมตาขึ้น ประตูห้องถูกผลักเบาๆ สองคนเก็บสัมภาระเรียบร้อยมายืนอยู่หน้าประตู
หลิ่วสืออีคลึงระหว่างคิ้วก่อนถามด้วยความสงสัย “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเมื่อคืนวานเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นล่ะ”
เขามองหนิงอี้กับเด็กสาว
หนิงอี้เอ่ยเรียบๆ “ถ้าข้าบอกเจ้าว่าใต้น้ำตกเมืองอาทิตย์อุทัยขังจอมมารขอบเขตราชันดาราไว้คนหนึ่ง เมื่อคืนวานข้ากับเด็กนี่ช่วยกันกำจัด เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
หลิ่วสืออีพยักหน้า ก่อนจะพูดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าบินขึ้นฟ้าไปเลยล่ะ”
หนิงอี้แค่ยิ้มๆ
เขาชะงักไปก่อนจะพูดขึ้น “แต่ความรู้สึกกดดันจากข้างหลังหายไปแล้วนะ…”
พูดได้ครึ่งหนึ่งหลิ่วสืออีก็มองหนิงอี้ แววตามีความเหลือเชื่อเล็กน้อย
หนิงอี้ยกนิ้วโป้งและพูดชม “จมูกเจ้าดีจริงๆ ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนบูรพาที่ตามเป็นเงาตายแล้ว สลายเป็นเถ้าธุลี ไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่ วิญญาณยังเหลืออยู่อีกหน่อย ไม่รู้ว่าจะกลับไปสร้างร่างใหม่ในหลอดแก้วของเจ้าของได้หรือไม่”
หลิ่วสืออีไม่ถามว่าหนิงอี้ทำอย่างไร
เขาพูดชมอย่างจริงจังมาก
“สุดยอด”
ในโลกของหลิ่วสืออี น้อยมากที่เขาจะชมคนเช่นนี้
หลังเขาได้เห็นค่ายกลพิฆาตเซียนน้อยที่เมืองรากษส ก็รู้เลยว่า…หนิงอี้กับเด็กสาวร่วมมือกันนั้นแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
เขาย่อมไม่เชื่อว่าใต้น้ำตกอาทิตย์อุทัยจะมีจอมมารราชันดาราอะไรนั่น ต่อให้มีจริง ก็ไม่มีทางที่ผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังอย่างหนิงอี้กับเด็กสาวจะสังหารได้
โลกไม่มีหลักการเช่นนี้
เพียงแต่แรงกดดันการล่าสังหารจากแดนบูรพาหายไป ความรู้สึกกดดันนั้นตามติดมานานมาก จู่ๆ ก็หายไปในช่วงข้ามคืน นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง…หลิ่วสืออีไม่เชื่อว่าจะมีคนใจดีเห็นความไม่ถูกต้อง เจอผู้บำเพ็ญภูตผีที่ไล่ล่าตนอยู่พอดี จากนั้นก็ถือโอกาสลงมือสังหาร
แรงกดดันเบาลงมาก
อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลพวกที่ตามหลังมาอีก
ระหว่างทางสบายขึ้นเล็กน้อย เดินทางช้าลงหน่อย ตอนที่ข้ามแม่น้ำหลีเจียงกลับแดนประจิม บาดแผลของตนก็คงจะดีขึ้นมาก
……
“ม้าแบบใดถึงเรียกว่าม้าดี”
“…”
“ม้าดีสี่ขาเรียวยาว ขาหน้ากลม ขาหลังเป็นลักษณะแหลม กล้ามเนื้อสะโพกแน่น ขาหลังทรงพลังกว่าขาหน้า” หนิงอี้เอาสองมือประสานท้ายทอย ข้างหน้าเป็นหลิ่วสืออีที่เงียบไม่พูดไม่จา และยังมีเด็กสาวเผยฝานที่ฟังอย่างสนใจ สองคนเดินหน้าไปทีละก้าว เขาเดินถอยและเดินหน้าสลับกัน รักษาระยะเท่าๆ กันไว้ ตอนนี้บนถนนเมืองอาทิตย์อุทัยยังไม่มีคน
“เทียบกับม้าเลวแล้ว ม้าดีคอจะค่อนข้างยาว รูจมูกใหญ่ แบบนั้นคือพลังปอดเยอะ ดวงตาแวววาว หูเล็กและปลายหูตั้งขึ้น” หนิงอี้พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจ “เจ้าไม่รู้รึ”
เผยฝานยิ้ม “ผู้ฝึกบำเพ็ญล้วนขี่กระบี่บิน ใครจะสนใจการเลือกม้า…หนิงอี้ เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน”
หลิ่วสืออีสงสัยอยู่เช่นกัน
คนที่เป็นหนอนหนังสือคือเด็กสาวเผยฝานแท้ๆ เหตุใดออกจากเมืองหลวงมา กลับเป็นหนิงอี้ที่เหมือนจะชำนาญกว่า
เด็กหนุ่มที่เอาสองมือประสานไว้ท้ายทอยดูเหมือนเด็กรับใช้คุณชายผู้สูงศักดิ์สักคน ยิ้มหยีตาพูด “เมื่อก่อนอยู่แดนประจิม ใครจะไปคิดว่าจะได้ฝึกบำเพ็ญกัน ตอนนั้นแค่อยากเก็บเงินซื้อม้าดีๆ ควบม้าเร็วส่งเจ้าไปเมืองหลวงต้าสุย หลุดพ้นจากความลำบากก็เท่านั้น”
เผยฝานทำแก้มป่อง กอดอก พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้เจ้ามีเงินเยอะแล้ว เอาไปซื้อม้า ควบม้าเร็วให้ข้า ดูสิว่าจะหลุดพ้นได้หรือไม่”
หลิ่วสืออีพยายามกลั้นขำ
หนิงอี้ยิ้มแหยๆ “ม้าเร็วเพียงใด ไหนเลยจะเทียบกับกระบี่บินของท่านหญิงใหญ่เผยได้”
ทั้งสามคนเดินทางออกไปนอกเมืองอาทิตย์อุทัย
ระหว่างทางผ่านกลุ่มทหารรับจ้างมาหลายกลุ่ม มองเข้าไปในประตูทีหนึ่ง ยังเช้าตรู่ แสงสว่างขมุกขมัว ทหารรับจ้างในกรมประจำการแล้ว ยืนในลานกว้างคอกม้า กำลังฝึกวิชาหมัดกำลังภายใน
วิชาหมัดนี้ หนิงอี้เคยเห็นมาก่อน ท่านพันกรสอนวิชาสังหารนั้นให้กับเขา ผสมผสานวิชากายจิตมากมายในโลก แม้จะเป็นเมืองอาทิตย์อุทัยเล็กๆ ไม่มีผู้บำเพ็ญอะไร แต่ก็ยังมีคนที่เป็นดั่งขนหงส์เขากิเลน ฝึกกายจิตถึงระดับแปรเปลี่ยนได้ คนที่ฝึกวิชาหลอมกายถึงที่สุดอย่างแท้จริงล้วนเป็นคนที่มีความแน่วแน่สูงมาก
ในโลกบำเพ็ญนั้น การฝึกหลอมกายต้องใช้สมบัติฟ้าดินจำนวนมากกับตัวเอง
ที่กายจิตหนิงอี้แข็งแกร่งก็เพราะในร่างกายเขามีบ่อเทพที่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ความเป็นเทพในบ่อเทพเหนือกว่าสมบัติฟ้าดินทุกอย่าง
สมุนไพรพวกนั้นแทงผ่านผิวหนัง หล่อหลอมจากนอกไปสู่ในเรื่อยๆ ผู้ฝึกหลอมกายจะต้องรับความเจ็บปวดแสนสาหัส บางอย่างยากจะทนไหว บางอย่างเกินกว่าขีดจำกัดจะรับไหว ร่างระเบิดตาย
แต่ความเป็นเทพของหนิงอี้จากในไปสู่นอก หล่อหลอมครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อพลังบำเพ็ญสูงขึ้น ความเป็นเทพก็จะส่งเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายนี้ก็จะมีความเป็นเทพไหลเวียนอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วสืออีประลองกระบี่กับหนิงอี้บนหุบเขานิรันดร์ ตอนที่บาดเจ็บ ความเป็นเทพในร่างกายหนิงอี้ไหลออกมาสมานแผล สถานการณ์เช่นนี้หาดูได้ยากยิ่งในขอบเขตพลังตอนนี้
หนิงอี้เคยคิดว่า…หากวันใดพิสูจน์มหามรรคก็จะมีความเป็นเทพคุ้มกันตลอดเวลา แม้บาดเจ็บสาหัสก็จะมีความเป็นเทพระเหยขึ้นมา สร้างกายจิตใหม่
ไปถึงขอบเขตพลังนั้นจริงๆ ก็เหมือนคล้ายกับความเป็นอมตะแล้ว ไม่ได้ต่างกันเท่าไร
ในคอกม้าของกลุ่มทหารรับจ้างผูกม้าดีไว้ ดูรูปร่างสูงใหญ่ หลิ่วสืออีเดาว่าในกระเป๋าของหนิงอี้คงจะมี ‘ใบทอง’ ไม่น้อย ขอแค่ไม่ใช่ม้าที่กลุ่มทหารรับจ้างรีบร้อนใช้ก็จะซื้อมาได้
กลุ่มทหารรับจ้างลำบากไปมาทั่วกว่าจะได้เงินมา เจอกับเศรษฐีเข้า ขายม้าสองสามตัวก็ได้กำไรแล้ว ย่อมไม่มีปัญหากับตน
หลิ่วสืออีกำลังแสดงวิชากระบี่ในความคิด เดินไปครู่หนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
ระหว่างทางไม่มีการหยุดแม้แต่น้อย
เขาพูดด้วยความสงสัย “ไม่ถูกใจเลยรึ”
คำถามของหลิ่วสืออีได้กลับมาเป็นคำตอบเดียว
“ตระหนักรู้กระบี่ของเจ้าไป”
หลิ่วสืออีตระหนักกระบี่ต่อ สำหรับเขา อยู่เมืองอาทิตย์อุทัย อยู่เมืองหลวง อยู่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ อยู่ท่าเรือแม่น้ำหลีเจียง ก็ไม่ต่างกันเลย…เขาสามารถเข้าสู่สภาวะตระหนักกระบี่ได้ตลอดเวลา
คนคลั่งกระบี่คนนี้ ย่อมไม่เข้าใจ
ปกติถ้าหนิงอี้ต้องเลือกจะต้องดูให้ครบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ทั้งยังทุ่มเทกำลังความคิดในการซื้อม้ามากกว่าปกติ
อยู่แดนประจิม นอกดินแดน มีคำพูดเก่าแก่ที่ไม่รู้สืบทอดกันมากี่รุ่น
‘ม้าเป็นภรรยาคนที่สองของบุรุษ’
ก็เป็นอย่างที่หลิ่วสืออีคิด ในกระเป๋าเอวหนิงอี้มีเงินอยู่เยอะมาก
หลังหนิงอี้ฝึกบำเพ็ญก็ใช้เงินน้อยมาก
และตอนนี้เขาได้ใช้แล้ว
เขาจะซื้อม้าที่ดีที่สุดสามตัว
เผยฝานจำได้ว่าตอนเด็ก ในคืนหนึ่งที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ยินเสียงบางคนลุกขึ้น บ่นพึมพำในอาราม จากนั้นจุดธูปก้านเล็กหน้าพระโพธิสัตว์ก่อนจะบีบดับลงอย่างรวดเร็ว
ขอพรอย่างหนึ่ง
ขอให้เก็บเงินได้เยอะๆ ซื้อม้าที่ดีที่สุดสักตัว
จากนั้นส่งเผยฝานกลับบ้าน
สองคนขี่ม้าไปสุดหล้าฟ้าเขียว
เผยหลิงซู่เหม่อลอยไป
ตอนนั้นตรงเอวไร้กระบี่ ใต้สะโพกไม่มีม้า
ตอนนี้ตรงเอวมีพินิจเหมันต์ที่คมที่สุดในโลก
ตอนนั้นไม่มีบ้าน
ตอนนี้…
เด็กสาวพูดเบาๆ ในใจ “ที่ใดสงบสุขที่นั่นคือบ้านเรา”
……
หนิงอี้หยุดอยู่หน้ากลุ่มทหารรับจ้าง
ป้ายร้านเก่าแก่สีเหลือง
กลุ่มทหารรับจ้างร้านแรกที่เห็นตอนเข้าเมืองอาทิตย์อุทัยมา และเป็นร้านสุดท้ายที่เห็นยามออกจากเมือง
เขาหยุดอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะเดินมาถึงสุดทาง แต่เพราะเดินมาถึงสุดทางอย่างประจวบเหมาะพอดี
เขาก็เห็นม้าที่ตนถูกใจและต้องการแล้วเช่นกัน
ธงใหญ่โบกสะบัด
ด้านบนมีคำขนาดใหญ่ประดับไว้
กลุ่มทหารรับจ้างสมปณิธาน ผู้มีปณิธานสมปรารถนา คำพูดนี้ความจริงมีให้เห็นทั่วไปบนถนนใหญ่ กลุ่มทหารรับจ้างบนถนนเส้นนี้อาจจะเพราะอยู่มานาน…ตัวหนังสือจึงดูไร้รสนิยม หากให้ปัญญาชนหนอนหนังสือสักคนมา ก็อาจจะตั้งชื่อสวยงามอย่างเช่น ‘ประตูมังกร’
ก็เหมือนนามมากมายเช่น ‘สองแคว’ กับ ‘ประสบโชค’ คำพวกนี้ฟังดูเป็นชื่อโรงเตี๊ยมที่ไพเราะ นี่อาจจะเป็นเพราะเถ้าแก่ที่วางแผนอย่างชาญฉลาด คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอัจฉริยะบัณฑิต หากให้คนไม่รู้หนังสือมา ก็อาจจะตั้งเป็นชื่อธรรมดาอย่าง ‘ร่วมสุข’ ได้
คนคลั่งกระบี่หลิ่วสืออี ประกายแสงในดวงตารวมเป็นสมาธิช้าๆ
เขาเห็นภาพที่เข้าใจได้ยากมาก
หนิงอี้จ้องม้าเล็กสีแดงที่ทั้งไม่สูงใหญ่ไม่กำยำ ดูเหมือนลาผอมตัวหนึ่ง ดวงตาแวววาว สีหน้าเคร่งขรึม
“สืออี เจ้าคิดว่าม้านี่เป็นอย่างไร”
ม้านี่ ดูใช้ไม่ได้เลยจริงๆ
หลิ่วสืออีเงียบ
เขาสังเกตเห็นว่าหนิงอี้เหมือนจะชอบมันมากจริงๆ
ดังนั้นตอนที่เขามองหนิงอี้ แววตาจึงจริงใจขึ้นมา
หลิ่วสืออีพยายามให้ตัวเองยอมรับความชอบของอีกฝ่าย
เขาพูดอย่างจริงจัง “ข้าว่าสวยมาก”
หนิงอี้พยักหน้า “ดี ในเมื่อเจ้าชอบ ข้าก็จะซื้อให้เจ้า”