เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 1 น้ำค้างเล็ก (ภาคที่สอง หิมะใต้หล้า)
(ภาคที่สอง หิมะใต้หล้า) ตอนที่ 1 น้ำค้างเล็ก
เขาสู่ซานตั้งอยู่ชายแดนเชื่อมต่อระหว่างเทือกเขาประจิมกับแดนประจิมต้าสุย ศิษย์ปฏิบัติงานกันเงียบๆ ก่อเรื่องกันน้อยมาก
สวีจั้งเป็นข้อยกเว้น
หลังจากสวีจั้งสังหารเจ้าเขาอนันต์เล็ก…ก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
เขาสู่ซานปิดเขาหนึ่งปี
หนึ่งปีนี้ เขาสู่ซานปิดเขาอย่างแท้จริง หนิงอี้ถูกราชันดาราพันกรพากลับสำนัก ‘อาจารย์อาน้อย’ ที่ทำให้ทุกคนใต้ฟ้าต้าสุยแปลกใจ อยู่สูงบนรายนามดารา…แต่กลับไม่เคยเผยใบหน้าแท้จริงต่อหน้าปุถุชนสักครั้ง
ในเขาสู่ซาน สถานที่บำเพ็ญของหนิงอี้มีชื่อเรียกว่าเขาน้ำค้างเล็ก
….
ดวงตะวันลอยสูง
บนเขาน้ำค้างเล็ก เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ชุดคลุมดำแนบสนิทกับผิวหนัง เหงื่อเปียกชุ่ม เขาพยายามหายใจ แสงดารารวมเข้ามาเหนือศีรษะ เศษใบไม้รอบกายหมุนวนรอบร่างเงานี้ สุดท้ายหยุดค้างกลางอากาศ ตั้งขึ้น อยู่ห่างไปราวสามฉื่อรอบกาย สั่นไหวไม่หยุด
สายลมเบาบนยอดเขา ใบไม้ร่วงเหล่านี้ขยับเองแม้ไร้สายลม กลิ้งไปมารวมเป็นกำแพงใบไม้คลุมเหนือศีรษะหนิงอี้ ชั้นนอกยังไหลเวียน ชั้นในควบแน่นแล้ว
แสงดาราไร้รูปไหลเวียนบนศีรษะหนิงอี้ ดวงชะตามหามรรคสีฟ้าครามหมุนวน สองมือยกขึ้น วิชาม่วงเร้นไหลเวียนช้าๆ ในตันเถียน เลือดไหลเอื่อย กระแสอุ่นไหลเวียนไปทั่วร่าง
‘มือใหญ่ว่างเปล่า’ สองมือยื่นออกมาจากสองบ่าซ้ายขวาหนิงอี้ ดันขึ้นข้างบน ดันออกเป็นพื้นไร้ธุลีดิน ปรากฏการณ์เศษใบไม้หมุนวนก็เกิดขึ้นเช่นนี้
ใบไม้แห้งติดกับฝ่ามือของ ‘มือใหญ่ว่างเปล่า’ ข้างหลังเด็กหนุ่มที่หลับตาทำสมาธิเหมือนมีคนยักษ์โบราณร่างกำยำร่างหนึ่ง เปิดเป็นแดนเทวาหนึ่งทิศ
เผยฝานยืนอยู่ไม่ไกล สภาพอากาศกลับกลายเป็นหนาว นางสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีแดงตัดขาว สตรีร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนอยู่หน้านาง ใบหน้าเรียบนิ่ง คิ้วกระบี่ซ่อนปราณสังหารเบาบางยิ่ง สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เช่นกัน สีดำตัดขาว นางเหมือนเทพเซียนที่เดินออกมาจากภาพวาดน้ำหมึก
พันกรมองเด็กหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลางพูดเสียงเบา “หนิงอี้ ลองลุกขึ้นมา”
หนิงอี้ที่ได้ยินเสียงลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เขามองเห็นเด็กสาวที่อยู่ไม่ไกล นางเม้มริมฝีปากด้วยความตึงเครียดเล็กน้อย เป็นกังวลมาก
หนิงอี้แสยะปากยิ้ม ยังคงอยู่ในท่าสองมือยกตันเถียน จิตใจสงบนิ่ง ครึ่งตัวบนแน่นิ่ง ยืนขึ้นโดยใต้ฝ่าเท้าติดพื้น
มีสายลมสดชื่นพัดเข้าไปในแขนเสื้อ มหามรรคประคองตัว
วิชาที่เขาฝึกฝนคือยักษ์ดาราของเขาสู่ซาน เจ้าเขาน้อยสู่ซานก็อาศัยวิชานี้ในการสร้างความหวั่นเกรงโลกหล้าในขอบเขตดาราชะตา
ท่านลู่เซิ่งในตอนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่อยู่เหนือยุค วางผนึกแข็งแกร่งไว้หลังภูเขา ขณะเดียวกันยังนำวิชาหลายวิชาออกมา ยักษ์ดาราก็เป็นหนึ่งในวิชาที่มีระดับสูงสุดในนั้น
ทว่านามของวิชานี้ ฟังดูแล้ว…ไม่เข้าขั้น
แต่ธรณีประตูการฝึกฝนกลับสูงมาก กายและจิตของผู้ฝึกฝนต้องบรรลุถึงความแกร่งที่มากพอ ไม่ได้เกี่ยวกับขอบเขตแสงดารามากนัก
หนิงอี้ฝึกยักษ์ดารากับเจ้าภูเขาน้อยแค่สองสามเดือนสั้นๆ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก คืนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตนรวมตัวอ่อนแรก ยัยเด็กนี่เชิญเจ้าภูเขาน้อยมา หากไม่มีการชี้แนะในวิชานี้จะเดินหลงทางได้ง่ายมาก โดยเฉพาะก่อนรวมตัวอ่อนแรก หากไม่ระวังเพียงนิดเดียว…สิ่งที่ฝึกฝนออกมาได้ มีโอกาสสูงที่จะไม่ใช่คนยักษ์พันกรเหมือนเจ้าภูเขาน้อย แต่เป็นพันเท้า…หนิงอี้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ใจนึกว่าหากธาตุไฟเข้าแทรก ฝึกเป็นคนยักษ์พันเท้าก็อาจจะมีประสิทธิภาพเหมือนกัน หรืออาจจะวิ่งเร็วมาก
เขาส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระออกไป ฝึกฝนบนเขาน้ำค้างเล็กหนึ่งปี การชี้แนะอย่างถูกต้องของเจ้าภูเขาน้อยมาช้าไปหน่อย ตอนที่เขาหยุดความคิด ในความคิดมักจะปรากฏเป็นใบหน้าที่พูดไร้สาระไม่หยุดของคนตาบอดกับศิษย์พี่สาม
แสงดาราเหนือศีรษะเริ่มหมุนเวียนจำนวนไม่มาก เริ่มตกลงลงมาช้าๆ
หนิงอี้มีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่สี่
เขารวมสมาธิยืนขึ้นด้วยอารการสั่นเทา สองมือวาดวงกลมยกขึ้น ยันม่านฟ้า
คนยักษ์ที่ยกสองมือขึ้นเช่นกันเงยหน้าแผดเสียงคำรามแหบแห้ง รวมเป็นท่าทางคุกเข่าข้างหนึ่ง มองเห็นใบหน้าจริงไม่ชัด แต่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเก่าแก่เลือนราง แผ่มาจากร่างที่รวมจากแสงดาราไม่หยุด กลิ่นอายโบราณเอ่อล้น มีอำนาจคุกคามที่ดูถูกไม่ได้มาด้วย
“ตัวอ่อนแรก รวม!”
ขลุ่ยกระดูกที่ห้อยตรงหน้าอกมีกลิ่นอายเป็นประกายไหลเวียน หนิงอี้สีหน้าจริงจัง ขณะยืนขึ้น อำนาจคุกคามที่กดดันจากคนยักษ์เพิ่มขึ้นไม่หยุด กระดูกส่งเสียงดัง ก่อนหน้านี้ตนพลาดมาแล้วหลายครั้ง กายและจิตไม่พอ ยากจะรวมตัวอ่อนแรกได้สำเร็จ
ครั้งนี้เขายืนขึ้นสำเร็จ แรงกดดันนั้นหายไปในชั่วขณะ คนยักษ์ที่ตื่นขึ้นยังไม่มีแสงดารามากพอรวมเป็นกายเนื้อ หากแสงดารามากกว่านี้อีกหน่อย หนิงอี้ก็จะค่อยๆ สร้าง ‘ยักษ์ดารา’ ขึ้นตามเส้นทางของเจ้าภูเขาน้อย
ในการฝึกฝนของสำนักเต๋า ตัวอ่อนแรกเช่นนี้เรียกว่า ‘อิทธิฤทธิ์’ คนตามดิน ดินตามฟ้า เต๋าตามธรรมชาติ การรวม ‘อิทธิฤทธิ์’ ปกติจะมีเพียงผู้บำเพ็ญสามขอบเขตหลังถึงจะแตะธรณีประตูได้ คนยักษ์ดาราข้างหลังหนิงอี้นั้น มองแวบแรกมีกลิ่นอายอิทธิฤทธิ์จริงๆ ฝึกจนเกิดความเป็นมนุษย์เช่นกัน และยังมีความเป็นเทพลับๆ
สัมผัสถึงอิทธิฤทธิ์ขั้นต้น หนิงอี้ก็พ่นลมหายใจเบาๆ เส้นเอ็นที่ตึงอยู่พลันคลายออกแล้ว
พันกรพยักหน้าอย่างชื่นชม นางพูดปลงๆ “ขอบเขตที่สี่รวมตัวอ่อนแรก ความเร็วของเจ้าไม่ถือว่าเร็ว และไม่ถือว่าช้า สวีจั้งเคยบอกข้าว่าเจ้าเป็นถ้ำไร้ก้น…หนึ่งปีกินทรัพยากรส่วนใหญ่ที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ส่งมา ยังแค่ทะลวงขอบเขตแรก โจวโหยวเลี้ยงเจ้าไม่ไหว เขาสู่ซานข้าก็คงเลี้ยงเจ้าไม่ไหวเหมือนกัน”
หนิงอี้เก้อเขินเล็กน้อย
เขาพูดด้วยความคับแค้นใจ “ศิษย์พี่หญิง…นี่ท่านจะไล่ข้าลงเขารึ”
พันกรยิ้ม พูดอย่างโมโห “เกรงว่าคงไม่ต้องให้ข้าไล่เจ้าก็ได้กระมัง วันๆ เอาแต่เรียนอะไรแปลกๆ กับเวินเทา ไม่ทันไรก็คงจะลงเขาไปโจมตีเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนบูรพาพวกนั้น”
หนิงอี้พูดอย่างเคร่งขรึม “ข้ามีเป้าหมายชัดเจนมากมาตลอด เขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นในแดนบูรพาไม่เข้าตาข้า…จะไปก็ต้องไปเมืองหลวง!”
เจ้าภูเขาน้อยที่เฉยชาไม่ใกล้ชิดกับใครมาตลอดทำเสียงถุย ก่อนจะด่ายิ้มๆ “จะเอาอย่างสวีจั้งรึ ไม่มีแบบอย่างที่ดีรึ”
หนิงอี้หัวเราะเช่นกัน
เจ้าภูเขาน้อยพูดเสียงเบา “ผ่านช่วงนี้ไป เขาสู่ซานจะเปิด…ประกาศข่าวการตายกับโลกหล้า เจ้าก็ลงเขาได้แล้ว”
เผยฝานเม้มริมฝีปาก
เปิดภูเขา…ปิดบังข่าวการตายของสวีจั้งไม่ได้แล้ว ประกาศต่อโลกหล้า ถึงตอนนั้นจะมีผู้มีอิทธิพลมากันมากมาย
ใต้ฟ้านี้ มีคนมากมายรู้ว่าสวีจั้งตายแล้ว
แต่มีคนมากกว่าที่ไม่เชื่อว่าสวีจั้งจะตายไปเช่นนี้
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนยิ้มเยาะเย้ยตนเอง พูดอย่างนุ่มนวล “ดี”
เขามองไปที่หนึ่งบนเขาน้ำค้างเล็ก เขาน้ำค้างเล็กเป็นภูเขาประจำของสายเลือดสวีจั้งกับเจ้าหรุย โลงศพไม้ก็วางอย่างสงบที่นี่
หนึ่งปีที่เขาสู่ซานปิดเขา ประกาศกับภายนอกว่าสวีจั้งปิดด่านบำเพ็ญ…ความจริงก็เพื่อซื้อเวลาให้หนิงอี้
…..
ในเวลาหนึ่งปี หนิงอี้กินทรัพยากรของตำหนักทะเลสาบกระบี่จนหมด รวมถึงไข่มุกตะวันคร้านพันปีสิบเม็ด ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจสามพันปีหนึ่งเม็ด รวมถึงทรัพย์สินพวกนั้นของซูขู่
เขา ‘เคี้ยว’ และ ‘ย่อย’ ช้าๆ ภายใต้การกำชับอย่างจริงจังของผู้บำเพ็ญสามคนแห่งเขาสู่ซานว่าให้กินไปทีละคำ
ตอนกลางวันอ่านคัมภีร์ของสายเลือดคุณชายเจ้าหรุย คัดลอกทีละคำ
จากนั้นฝึกกระบี่กับคนตาบอดฉีซิ่ว
นี่ต่างกับการติดตามฝึกฝนกับสวีจั้งอย่างสิ้นเชิง ในการฝึกกระบี่กับฉีซิ่วไม่มีอันตรายถึงชีวิตเลย
หนิงอี้ห้ามใช้พินิจเหมันต์ เขามีเพียงกระบี่ไม้ธรรมดาที่สุด บนยอดเขาของฉีซิ่วมีป่าปรง หนิงอี้จะต้องตัดต้นปรงหนึ่งต้นทุกวันถึงจะได้กลับเขาน้ำค้างเล็ก
เรื่องการใช้ ‘แสงดารา’ ฉีซิ่วก็เดินในเส้นทางต่างกับสวีจั้ง
สวีจั้งเดินบนเส้นทาง ‘ความหมาย’ ท่วงทำนองและการตระหนักรู้ ไม่ได้เดินบนเส้นทางคนปกติ
แต่ฉีซิ่วคือ ‘พละกำลัง’ เปิดและปิดให้สุด ก่อนจะไปละเอียดอ่อน
หนิงอี้ถือกระบี่ไม้เดินเข้าป่าปรงครั้งแรก ฉีซิ่วแสดงให้ดูว่าจะเอากระบี่ไม้ตัดต้นปรงอย่างไร
เหมือนกับกระบี่ฟาดที่สวีจั้งสาธิตให้ดูมาก คนตาบอดถือกระบี่ฟันลง ต้นปรงถูกฟันแตกเป็นเสี่ยงๆ
แต่หนิงอี้มองเห็นถึงความต่าง กระบี่นั้นของคนตาบอดเดินบนเส้นทางใช้เล่ห์เหลี่ยม แสงดาราปกคลุมตัวกระบี่ ใช้แรงที่น้อยที่สุดตัดเนื้อและเปลือกของต้นปรง
ชีวิตในช่วงหลัง หนิงอี้ทำกระบี่ไม้หักไปสี่ร้อยเจ็ดสิบเก้าเล่ม
เขาเริ่มเข้าใจความหมายของ ‘ละเอียดอ่อน’ ที่ฉีซิ่วบอก
ในเวลาครึ่งปี เขาคัดคัมภีร์เต๋าของเขาน้ำค้างเล็กไปหนึ่งรอบ ศิษย์พี่สามเวินเทาเริ่มสอนหนิงอี้เรื่อง ‘ชัยภูมิฮวงจุ้ย’ ตามหาชีพจรมังกรและเปิดทวาร อาจารย์อาสามท่านแห่งเขาสู่ซาน เวินเทามีพลังบำเพ็ญอ่อนแอที่สุด แต่กลับเรียนศาสตร์เต๋าพิเศษที่สุด ลัทธินอกรีต ยากจะเสาะหา
“ยันต์หกเส้นเป็นหนึ่ง เรียนรู้คาดเดาอักษร ชัยภูมิฮวงจุ้ย ยันต์แปดทิศนิกายแปลก นี่เป็นความรู้กว้าง สืบทอดกันมาทุกยุค มีสูญหายทุกยุค เจ้าคัดทีละคำจะมีประโยชน์อะไร สิบปียี่สิบปีไม่ลงไปหลายๆ สุสานใหญ่ด้วยตัวเอง คัดมาก็เสียเปล่า”
“ข้าเคยไปสุสานของเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในแดนประจิมและบูรพามาแล้ว…นอกจากสุสานราชวงศ์ต้าสุย พันปีมานี้ไม่มีใครเคยหาสุสานใต้ดินเมืองหลวงพบ มีที่เดียวที่ไม่เคยไปก็คือหลังเขาสู่ซาน”
เวินเทาเคยบอกว่าหลังเขาสู่ซานเป็นแดนต้องห้ามพิเศษที่สุดในสี่เขตแดนต้าสุย เล่าลือว่าก่อนบรรพจารย์ลู่เซิ่งจะจากไป ก็เคยวางค่ายกลผนึกเกิดดับไว้รอบหลังเขา ต่อให้เป็นนักปราชญ์ศาสตร์ฮวงจุ้ยแห่งเมืองหลวงพวกนั้นก็ยังหาที่อยู่ไม่พบ
เจ้าภูเขาน้อยเป็นผู้บำเพ็ญที่มีประสาทสัมผัสแกร่งที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุย ผู้บำเพ็ญพวกนั้นที่เคยคิดจะหยั่งเชิงความจริงในหลังเขาสู่ซาน ผลสุดท้ายก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก
นอกจากคุณชายเจ้าหรุย คนที่เคยเข้าไปหลังภูเขาก็มีเพียงสวีจั้ง
หลายคนบอกว่าเพราะเข้าไปหลังเขา สวีจั้งถึงได้กลายเป็นสวีจั้ง
แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น…เพราะคนนั้นคือสวีจั้ง ถึงเข้าไปหลังภูเขานั้นได้
………………………