เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 11 แขกของหลังภูเขา
ตอนที่ 11 แขกของหลังภูเขา
เจ็บ
เจ็บมาก
ปวดหัวมาก
“ซี้ด…”
หนิงอี้กัดฟัน นี่เป็นความรู้สึกแรกหลังได้สติกลับมา เขาไม่รู้สึกหนาว ไม่รู้สึกเปียก…ความเจ็บปวดตรงระหว่างคิ้วมุดเข้าไปในสมอง เหมือนน้ำทะเลหมื่นตันไหลเข้าสมอง ทุกข์ตรมอย่างยิ่ง เครื่องหน้าเกร็งและหดเข้าด้วยกัน ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
“นี่…คือที่ใด”
“อื้อ…”
หนิงอี้ได้ยินเสียงกองไฟดังเปาะแปะ ชุดคลุมที่เปียกชื้นถูกความร้อนจนแห้งแล้ว เขาลืมตาขึ้น เห็นเด็กสาวกำลังนั่งยองขดตัวอยู่ข้างกองไฟ
หนิงอี้ริมฝีปากแห้ง อยากจะพูด แต่ลำคอแห้งผาก ข้อศอกสองข้างยันไว้ ประคองกับพื้นจะลุกขึ้น ทันใดนั้นฟ้าดินหมุน ความเจ็บปวดในความคิดปะทุขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันยืนก็ล้มลงพื้นอย่างแรง
“พี่”
เสียงเผยฝานดังแว่วมา
ดาราสีทองนับพันนับหมื่นดวงพุ่งมาตรงหน้าหนิงอี้ ดำมืด สายตากลับมาชัดเจนทีละนิด สุดท้ายลอยมาเป็นใบหน้านั้น ใบหน้าเผยฝานใต้แสงไฟดูซีดขาวมาก แต่ริมฝีปากแดงเรื่อเล็กน้อย ‘กระบี่ซ่อน’ ตรงระหว่างคิ้วนางถูกปลุกขึ้น แดงฉานเหมือนเลือด
ในที่สุดหนิงอี้ก็รู้ว่า ‘กระบี่ซ่อน’ ซ่อนอะไรไว้
เขามองกองไฟที่ลุกโชนนั้นข้างหลังเผยฝาน
‘กระบี่ซ่อน’ ตรงระหว่างคิ้วของเด็กสาวซ่อนคลังแสงดาราของท่านเผยหมินไว้ หลังจากหนิงอี้ตกลงมาก็พบว่าในฟ้าดินแห่งนี้ไม่มีไอวิญญาณเลย แสงดาราเหือดแห้ง แสงดาราในกระบี่ซ่อนจึงล้ำค่ามากในที่ที่ไม่อาจดูดซับไอวิญญาณ
“เจ้า…ที่นี่คือที่ใด” หนิงอี้ลุกขึ้นนั่ง เขามองไปรอบๆ ตอนนี้อยู่ในถ้ำภูเขา เงาสองร่างขยับไปมาบนผนังหินมืดๆ แสงดาราลุกโชนจากกองไฟข้างหลังเผยฝาน เสียงเผาไหม้น่าอึดอัดใจ และยังได้ยินเสียงสายน้ำไหลไม่ไกลจากข้างนอก น่าจะไหลมาจากจุดที่ตกลงมา…
หนิงอี้กอดเผยฝานกับพินิจเหมันต์ไว้ข้างหน้า ตอนที่สติค่อยๆ หายไป ก็เคยคาดเดาว่าผาพันจั้งหลังภูเขา มีโอกาสสูงที่จะเป็นภูเขาวน สายน้ำในร่องหุบเหวลึกแรงมาก ตอนที่เขาเคยลองไปตามคลื่นก็ได้ใช้พินิจเหมันต์ทำสัญลักษณ์เด่นตาไว้บนผนัง…ทว่าความจริงทำให้คนสิ้นหวัง หากเป็นภูเขาวนจริงๆ เช่นนั้นทั้งภูเขานี้คงจะใหญ่มาก
“ข้าไม่รู้” เสียงเผยฝานสับสนเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองหินย้อยที่ไม่รู้รวมมากี่ปีข้างบน พูดงึมงำ “ตอนตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”
ด้านบนถ้ำภูเขาแคบและเล็กมาก พื้นที่คับแคบ หินย้อยห้อยลงมาเหมือนกระบี่ที่ไม่แหลมคม เรียงรายอยู่ด้านบน อากาศชื้น ดีที่มีกองไฟแสงดาราลุกโชน ขับไล่เงามืดออกไป
“ที่นี่แสงดาราเข้าไม่ถึง…น่าจะไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่น” หนิงอี้เห็นพินิจเหมันต์ตั้งอยู่ข้างผนังหิน เขากำนิ้วมือที่ทั้งเมื่อยทั้งชา แล้วคว้ากระบี่ขึ้น หน้ากระบี่มีน้ำแร่ใสไหลเวียนภายใต้แสงไฟ เขาเพ่งมองพินิจเหมันต์อย่างละเอียด ก่อนพูดพึมพำ “เจ้าพาข้ามารึ”
ก็ยังไม่มีการตอบรับ
“แล้วเงานั่นล่ะ” เผยฝานขมวดคิ้ว พยายามนึกถึงภาพก่อนตกลงมาหลังภูเขา ตอนที่สตินางพร่าเลือนยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากโลกภายนอก รู้สึกลับๆ ถึงสิ่งที่เงานั้นทำ เหมือนจะทำลายคอขวดขอบเขตหลัง จากนั้นกระโจนใส่ใบร่มพินิจเหมันต์
“ตายแล้ว”
หนิงอี้ลองยืนขึ้น ความปวดและชาทั้งตัวยังไม่หายไป เขาแยกเขี้ยวยิงฟันพูด “ข้าโชคดีฆ่ามันได้ ไม่อย่างนั้นเราคงต้องตายที่นี่”
สุดท้ายหนิงอี้ก็เลือกปิดบังเผยฝาน ยังไม่รู้ตัวตนของเงานั้นแน่ชัด เรื่องของผู้ครองกระบี่ก็น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า เด็กสาวรู้อะไรพวกนี้ไม่ใช่เรื่องดี
“มีข่าวดีกับข่าวร้าย ข่าวดีคือเจ้าลัทธิน่าจะไม่เป็นอะไร” หนิงอี้ตั้งพินิจเหมันต์ขึ้น เดินไม่ถึงสองก้าวก็พิงผนังใหม่อีกครั้ง นั่งลงใหม่ เขาต้องการเวลา แสงดาราเหือดแห้ง กระดูกกับกล้ามเนื้อฉีกขาด ต่อให้หมดสติไปช่วงเวลาหนึ่งก็ยังมีผลข้างเคียงรุนแรงมาก
เขามองเผยฝานพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ข่าวร้ายคือพวกเราเจอปัญหาใหญ่แล้ว”
หนิงอี้พูดเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด”
ตอนที่พูดคำนี้ เขาเหมือนพักผ่อนพอแล้วจึงพยายามลุกขึ้น เดินออกไปนอกถ้ำทีละก้าว
“ที่นี่คือหลังภูเขาสู่ซาน”
“ใช่ นี่คือหลังภูเขา…เป็นหลังภูเขาที่เขาสู่ซานซ่อนมหาโชคลิขิตฟ้าไว้ เป็นหลังภูเขาที่คนมากมายอยากเข้ามาแต่เข้าไม่ได้ จากนั้นพวกเราโชคดีได้เข้ามา!” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เด็กหนุ่มที่มาถึงปากถ้ำหัวเราะ ทว่าเสียงหัวเราะเขาไม่มีความดีใจเลยสักนิด แต่กลับมีความโกรธลับๆ
เขาเงยหน้าขึ้น มองผ่านถ้ำภูเขาไปบนเส้นขอบฟ้ามืดมิดข้างบน
มองท้องฟ้านอกถ้ำภูเขาที่ถูกภูเขาสองลูกเบียดเป็นเส้นยาวสีดำ เหมือนดวงตาคู่หนึ่งตอนคนยิ้มหยีตา
หนิงอี้ยิ้มไม่ออกสักนิด
เขาพูดมาทีละคำอย่างจริงจัง “ใครก็ได้บอกข้าที!”
“หลังภูเขาสมควรตายนี่…ไม่มีไอวิญญาณเลย พวกเราห่างจากข้างบนแสนแปดพันลี้ จะขึ้นไปอย่างไร จะให้ตีลังกาขึ้นไปรึ”
เผยฝานเงียบอยู่ชั่วครู่
ตอนที่นางตื่นขึ้นมาก็เหมือนกับหนิงอี้ ต้องบอกว่า…ภาพที่เห็นข้างบน ทำให้เกิดความสิ้นหวังขึ้นในใจ
สิ้นหวังจริงๆ
หากตกลงมาในร่องหุบเขาเช่นนี้ เป็นภูเขาลักษณะโอบล้อมปิดตายสี่ด้าน…ไม่มีไอวิญญาณและแสงดาราเลย มืดมิด ไม่เห็นแม้แต่หญ้าแห้ง จะไม่สิ้นหวังได้อย่างไร
“เฮ้ย!”
หนิงอี้ยกสองมือขึ้นป้องตรงสองแก้ม ทำท่าทางเป็นตัวขยายเสียง เสียงดังกึกก้องไปในหุบเขาสองข้าง
“เฮ้ย”
“เฮ้ย”
ในสภาพแวดล้อมเงียบสงัด ฟังดูมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง
แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นมองเส้นสีดำบางจนน่าสงสารนั้นบนฟ้า หวังให้มีคนได้ยินเสียงของตน ทว่าตั้งแต่นกกระจอกแดงที่บินลงมาจากฟ้า นักพรตหนุ่มชุดคลุมขาวหรือยักษ์ดาราพันแขน…จนกระทั่งเขาแสบคอไปหมดแล้ว เสียงนั้นยังดังกึกก้องช้าๆ
สุดท้ายสิ่งที่ทำให้ผีดวงซวยที่ไม่ยอมแพ้บางคนล้มเลิกความคิดคือหินก้อนหนึ่งไม่รู้ตกมาจากที่สูงเท่าไร พุ่งลงมาอย่างรวดเร็วและฉับพลัน ทำลายเสียงที่ดังกึกก้องในผนังหิน กระแทกใส่ผิวน้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกลดังสนั่น น้ำแตกกระเซ็นสาดใส่ตัวหนิงอี้
หนิงอี้กลับมาข้างกองไฟอีกครั้ง เขาอ้าปากกว้างหาว นั่งยองลงอย่างกลัดกลุ้ม อาภรณ์เปียกแล้วก็แห้งอีก
หินที่ตกลงมานั้นทำให้หนิงอี้ล้มเลิกความคิดทั้งหมดที่จะขอความช่วยเหลือ
ตั้งแต่เขาตกลงมาจากผนึกหลังภูเขา เขาตกลงมานานมาก…หากตนอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด เช่นนั้นไม่ว่าจะตะโกนเสียงดังอย่างไร เสียงก็ไม่มีทางดังออกไปได้
เผยฝานนั่งอยู่ข้างหนิงอี้ นางพูดเสียงเบา “หลังภูเขาเป็นแดนผาสุก คุณชายเจ้าหรุยได้ตระหนักรู้ระหว่างความเป็นตาย สวีจั้งได้ตระหนักเจตจำนงกระบี่ นี่ไม่ใช่ข่าวร้าย”
หนิงอี้ก้มหน้าหลุบตาลง เขาไม่ได้ละทิ้งความหวัง ใจเย็นลง ตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน เขาเพียงแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้…มันน่าเหลือเชื่อมาก
บรรพจารย์ลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซานวางยันต์คำสั่งไว้ตรงทางเข้าเส้นขอบฟ้าหลังภูเขา พลังภายนอกแทบจะทำลายไม่ได้ คนที่โชคดีได้เข้าไป ในห้าร้อยปีมานี้มีเพียงเจ้าหรุยกับสวีจั้ง
ตนนับเป็นคนที่สาม
เด็กสาวพูดไว้ไม่ผิด คุณชายเจ้าหรุยกับสวีจั้งได้โชคลิขิตยิ่งใหญ่ที่นี่…แต่ที่นี่เป็นสถานการณ์สิ้นหวังชัดๆ
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก เดิมทีเขาคิดว่าท่านลู่เซิ่งวางยันต์นี้ไว้ เผื่อคนฝ่าผนึกหลังภูเขามาและก้าวพลาดตกลงมาก้นภูเขา จากนั้นเกิดเรื่องไม่คาดคิด…และตนเป็นคนที่โชคไม่ดีก้าวพลาดคนนั้น ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้น
ด้วยพลังบำเพ็ญของบรรพจารย์คนนี้ ยันต์คำสั่งไม่มีทางเสียการควบคุมอย่างไร้เหตุผล ต่อให้เป็นคุณชายเจ้าหรุยก็เข้ามาที่หลังภูเขาครั้งเดียวเท่านั้น…เขานำวิชาอย่างยักษ์ดาราออกไปได้ เช่นนั้นหลังภูเขาจะต้องมีถ้ำอื่นแน่นอน
เจ้าหรุยกับสวีจั้งเหมือนแขก ได้รับคำเชิญ จากนั้นถูกเชิญมาหลังเขาสู่ซาน
หนิงอี้หรี่ตาลง เขานึกถึงเงาที่ตกเหวลงมาพร้อมกับตน
ยันต์คำสั่งของบรรพจารย์ลู่เซิ่ง ไม่มีทางให้เงานั่นเป็นแขกแน่นอน
หากมีศัตรูภายนอกจะฝ่ายันต์คำสั่งจะถูกลงโทษอย่างหนัก ตนสัมผัสยันต์คำสั่ง มีโอกาสสูงที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ…ส่วนเงานั้น ทันทีที่ตกลงมาหลังภูเขาพร้อมกับตนก็ถูกยันต์คำสั่งจับได้ทันที
หนิงอี้ไม่สงสัยเลยสักนิด ด้วยระดับการลงทัณฑ์ของยันต์คำสั่งนั้น หากตกลงที่ร่างของตนกับเงา คงจะฉีกร่างทั้งสองคนเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
เบาะแสบางอย่างในความคิดเขาชัดเจนขึ้นมาทันที ยันต์คำสั่งแยกแยะเงาออก ดังนั้นเลยให้ตนตามเงานั้นตกเหวมาด้วยกัน
ที่นี่ไม่มีแสงดารา ไม่มีไอวิญญาณ เงานั้นต่อให้บรรลุขอบเขตหลัง เสียแสงดาราไปก็เท่ากับเสียที่พึ่งพิงที่สุดไป…ระหว่างที่หนิงอี้ตกลงมา ยังประมือกับเงาหลายครั้ง ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรมาก ต่างกับแรงกดดันตอนปกป้องเจ้าลัทธิที่หลังภูเขาอย่างสิ้นเชิง
การควบคุมแสงดาราของเงาแข็งแกร่งมาก ตอนนั้นแค่พลังบำเพ็ญขอบเขตกลางก็กระแทกเด็กสาวทะลุใบร่มพินิจเหมันต์จนหมดสติได้
หลังตกลงมาหลังภูเขา ก็ลดลงหลายขั้น
หนิงอี้เล่าความคิดตนออกมา
นัยน์ตาของเผยฝานเพ่งมอง นางฟังคำพูดหนิงอี้จบก็รวบผมทัดหู ก่อนพูดเสียงเบา “เงานั่น…เป็นศัตรูที่เขาสู่ซานไม่สามารถทนได้ วิญญาณในยันต์คำสั่งไม่ยอมให้มันเข้ามาหลังภูเขา หากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ เช่นนั้นเลยให้มันตกลงเหวมารึ”
“ใช่”
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก เขาพูดอย่างจริงจัง “แม่น้ำสายนี้ล้อมรอบภูเขา ต่อให้ข้าไม่ฆ่ามัน เงานั้นก็ไม่มีวันออกไปได้…ถูกขังตายอยู่ที่นี่”
“นี่ ในกระบี่ซ่อนของเจ้ายังเหลือแสงดาราอีกเท่าไร”
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก
เผยฝานใช้มือข้างหนึ่งกดระหว่างคิ้ว นางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดเชิงตรึกตรอง “ไม่มาก แต่พอใช้”
หนิงอี้ที่ไม่ได้ครุ่นคิดถี่ถ้วนว่าคำพูดเด็กสาวหมายความว่าอย่างไร เขาคำนวณบางอย่างเงียบๆ จากนั้นลุกขึ้น เด็กสาวประคองพาเดินไปทางเงามืดของถ้ำ
…………………………