เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 136 จวบจนนิรันดร์
ตอนที่ 136 จวบจนนิรันดร์
ไข่มุกเหนือศีรษะสาดแสงอ่อนลงมา
สายฝนพันหมื่นสายเหมือนกิ่งต้นหลิ่วลอยไปตามสายลม
ที่นี่มีกระดูกแตกหักกองเต็มพื้น ก้อนสีเงินใสสะอาด น้ำฝนตกลงในนั้น กระจายเป็นคลื่นเบาๆ
สองคนถือร่มเดินมาช้าๆ เหยียบกระดูก เหยียบผ่านมุกใสและตำลึงเงินของทางโลก
เสียงของเด็กหนุ่มไม่รีบไม่ร้อน พูดแจ้วไม่หยุด
“ประตูโบราณทองสัมฤทธิ์ของสุสานภูเขาแดงแปะยันต์ไว้เยอะ ข้าเห็นแล้ว ส่วนใหญ่เป็นยันต์ผนึกมาร สยบวิญญาณและชำระล้าง ยันต์พวกนี้ปกติใช้กำราบปัญหา สยบหายนะร้าย ไม่ว่าจะเป็นแดนบูรพาหรือแดนประจิมต้าสุย ก็มีแรงปรารถนานี้เช่นกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หนิงอี้ชำเลืองตามองสวีชิงเยี่ยน “เจ้าน่าจะเดาได้เหมือนกัน ความเชื่อของแดนบูรพากับประจิมใต้ฟ้ายิ่งใหญ่เพียงใด มรดกสืบทอดกันมาล้วนอาศัยการสรรเสริญ ประตูพุทธของเขาวิญญาณ สำนักเต๋าแห่งแดนประจิม ล้วนท่องคัมภีร์เป็นวิชาการบำเพ็ญที่ต้องฝึก คนที่มีพลังบำเพ็ญ ทุกคำพูดจะได้รับการเสริมพลัง”
“ไม่ว่าจะไม้เท้าหรือแส้จามรี หลังได้เสริมแรงปรารถนาจะยกระดับขึ้น…” เอ่ยถึงตรงนี้ หนิงอี้ชะงักไป ก่อนพูดอย่างจริงจัง “และแรงปรารถนาก็แบกรับเรื่องที่ใหญ่เกินไป ต้องให้เจ้าของมีพลังบำเพ็ญสูงมากำราบ หากเกิดข้อผิดพลาด มีโอกาสสูงที่จะสร้างหายนะให้ชาวโลก แดนเปลี่ยวร้างในประวัติศาสตร์ต้าสุย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นไม่น้อย ดังนั้นอาวุธเทพของยอดฝีมือสองแดนจึงเก็บรักษาไว้อย่างดี ของเขาวิญญาณไม่แน่ใจ แต่ของสำนักเต๋าจะเก็บไว้ในหอสามวิสุทธิ์เหมือนกัน หากมีแรงปรารถนาระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ส่งเสริม เช่นนั้นก็จะไม่ให้ไหลออกไปข้างนอกได้ ถูกคนนอกใช้ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดครั้งก่อนที่กระบี่เซียนปรากฏ ทั้งสำนักเต๋าถึงเคลื่อนพล”
สวีชิงเยี่ยนเหมือนเข้าใจและไม่เข้าใจ นางพูดด้วยความสงสัย “กระบี่เซียนนั่นแกร่งมากรึ”
หนิงอี้พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
สวีชิงเยี่ยนถามด้วยความแปลกใจ “แกร่งกว่าในมือเจ้าอีกหรือ”
หนิงอี้หลุดขำ “พินิจเหมันต์เทียบกับทัณฑ์ล้ำเลิศไม่ได้ วัดกันที่ระดับ พินิจเหมันต์ได้คุณชายเจ้าหรุยสร้างขึ้น ผ่านการชะล้างด้วยเลือดสงครามเผ่าปีศาจ ตามหลักบอกว่าเป็นอาวุธเทพสิบอันดับแรกในต้าสุยปัจจุบันได้ มองไปทั้งโบราณจนถึงตอนนี้ เกรงว่าคงมีกระบี่ที่เหนือกว่าพินิจเหมันต์อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้อยู่ในมือข้า ยังแสดงอานุภาพที่แท้จริงไม่ได้”
“หากอยู่ในมือคุณชายเจ้าหรุย ก็คงจะประชันกับกระบี่ทัณฑ์เลิศล้ำที่หายไปข้างนอกนั่นของมหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ได้” หนิงอี้พูดปลง “พินิจเหมันต์ไม่มีแรงปรารถนาเสริมพลัง นี่เป็นเพียงกระบี่ธรรมดา นอกจากแหลมคมแล้วไม่มีอะไรอีก กระบี่ทัณฑ์ล้ำเลิศนั้นผ่านมานานมาก มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์คงจะใส่เลือดหัวใจลงไปในนั้น…บอกกับเจ้าอย่างนี้แล้วกัน กระบี่ทุกเล่มล้วนเหมือนคน มีจิตวิญญาณมีกระดูกและมีร่างกาย พินิจเหมันต์เทียบกับกระบี่ทัณฑ์ล้ำเลิศแล้วไม่ด้อยกว่าสักอย่าง ขาดเพียงอย่างเดียวคือแกนกระบี่นั่น”
“แกนกระบี่ทัณฑ์ล้ำเลิศหนักมาก แต่แกนกระบี่ของพินิจเหมันต์เบามาก สองสิ่งเทียบกัน เหมือนเขาไท่ซานกับขนห่าน” หนิงอี้พึมพำ “แกนกระบี่นี้ไม่ได้สร้างจากตัวกระบี่ แต่เจ้าของมอบให้ เอาไปได้ เก็บไว้ก็ได้…พูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนพยักหน้า
เขาพลันพูดขึ้น
นางพลันเอ่ยขึ้น “มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์นั่งลืมสำเร็จจริงๆ เปิดภพที่สองแล้ว”
คำพูดนี้ไม่ใช่คำถาม
หนิงอี้ที่ถือร่มเดินไป มองเพียงใบหน้าด้านข้างของสวีชิงเยี่ยนตั้งตัวกลับมาไม่ทันเล็กน้อย
หากคำพูดนี้ไม่ใช่คำถาม…
หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยน พลันนึกถึงความหมายของประโยคเมื่อครู่
เขามองตามไป
สวีชิงเยี่ยนยื่นนิ้วมือหนึ่ง ชี้กลุ่มแสงที่ลอยกลางอากาศไกลๆ
กลุ่มแสงนั้นลอยขึ้นลง ลอยอยู่บนฟ้าตำหนักใหญ่สูง คนธรรมดาเข้าใกล้ไม่ได้ ไม่อาจแตะต้องได้ ต่อให้เป็นคัมภีร์แสวงมังกรของหนิงอี้อนุมานก็ยังไม่อาจหาเส้นทางที่ถูกต้องได้
ส่วนลึกของสุสานแห่งนี้ มุกใสมากมายเปล่งแสงพร้อมกัน และกลุ่มแสงนั้นอยู่สูงสุดบนฟ้า ในระยะสามจั้งโดยรอบเหมือนแดนไร้ธุลี เงียบสงบ
สวีชิงเยี่ยนสังเกตเห็นว่าหนิงอี้จับโครงร่มแน่น มีเพียงตอนที่เขาตึงเครียดมากถึงจะเป็นเช่นนี้
ในแสงอ่อนบนฟ้านั้น…ห่อหุ้มสิ่งลักษณะเรียวยาวไว้
นั่นคือกระบี่ยาว
ตัวกระบี่เปล่งแสงสีเขียวมรกต แฝงไอหนาว รูปทรงเก่าแก่และธรรมดา
ตัวกระบี่เชื่อมกับด้ามกระบี่อย่างเป็นธรรมชาติ สันกระบี่ที่ใกล้กับด้ามกระบี่ใช้อัญมณีเจ็ดเม็ดฝังออกมาเป็นภาพเจ็ดดาวเหนือ ตารางกระบี่ฉาบทอง ถูกกาลเวลาชุบด้วยสีขาวหิมะชั้นหนึ่ง บางลงจากปลายด้ามกระบี่ไปจนปลายกระบี่ หัวกระบี่เรียบแบน ออกเป็นสามมุม
กระบี่เซียนเจ็ดดาราสำนักเต๋า
ก็คือกระบี่โบราณนั้นที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิงถือในมือบนภาพฝาผนังนั้น
กระบี่ทัณฑ์ล้ำเลิศ…
เป็นกระบี่ทัณฑ์ล้ำเลิศจริงๆ!
หนิงอี้ลมหายใจกระชั้นขึ้นมา เหงื่อซึมออกหน้าผาก การก้าวแข็งไปเล็กน้อย
เพราะที่ราบกระดูกกำลังร้องเรียกเขาไม่หยุด ให้เข้าใกล้กระบี่เซียนนั้น
แม้จะแตะต้องไม่ได้ แต่ขอแค่เข้าใกล้พอ…ความกระหายในที่ราบกระดูกเหมือนกำลังบอกหนิงอี้ว่า ‘แกนกระบี่’ ในกระบี่เซียนเล่มนั้น มันเอาไปได้!
สิ่งที่ทำให้หนิงอี้ตึงเครียดและไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่กระบี่เซียนโบราณสำนักเต๋าเล่มนี้…ใต้แสงอ่อนที่ห่อหุ้มตัวกระบี่ยังมีแท่นบวงสรวงใหญ่ตั้งอยู่ บนแท่นบวงสรวงนั้นแปะยันต์เต็มไปหมด ขยับเองแม้ไร้สายลม เหมือนขังอาวุธโบราณอีกชิ้นไว้
อาวุธโบราณนั้นยังมองไม่เห็น หนิงอี้รู้สึกเสียดายนิดๆ ไม่รู้ว่าแท่นบวงสรวงนั้นขังอาวุธใดไว้ แต่กระบี่เจ็ดดาราทัณฑ์ล้ำเลิศอยู่ข้างบน มันยอมอยู่ข้างล่าง น่าจะเป็นอาวุธเทพของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณกระมัง
เล่าลือว่าปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณใช้ดาบยาว มีชื่อว่าราชสีห์ขาว ตัวดาบแฝงแรงปรารถนาเท่าฟ้า มหาปราชญ์ยอดปีศาจตนนี้เหมือนจะชำนาญวิชาสั่งสมแรงปรารถนา ตอนปรากฏ ก็มีผู้ติดตามกลุ่มใหญ่ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ต่อมาปราชญ์ปฐมสิ้นชีพ กาลเวลาผ่านไป ผู้ติดตามพวกนี้ก็เงียบหายไป
มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะแก่ตายในภูเขาแดงแห่งนี้ หนิงอี้เดินมาตลอดทาง ผ่านกระดูกมากมาย ไม่มีร่องรอยการสังหาร คนพวกนี้ยินดีติดตามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ ย่อมยินดีถวายชีวิตเพื่อเจ้าของภูเขาแดง…นึกย้อนกลับไป ผนังนอกสุสานแห่งนี้เหมือนจะแปะยันต์เต็มไปหมด
หรือว่าจะผนึกกลิ่นอายของสุสานไม่ให้คนนอกรับรู้ได้กัน
หนิงอี้ขมวดคิ้ว รู้สึกมีเหตุผล…ต้าสุยยึดครองภูเขาแดงมาเกือบสองพันปี ไม่เคยพบความลับนี้ ยันต์พวกนี้น่าจะแสดงผลได้ดีอย่างยิ่ง
หนิงอี้หุบใบร่มพินิจเหมันต์ หมุนคมกระบี่ สายตาจับจ้องกระบี่เซียนทัณฑ์ล้ำเลิศบนฟ้า ห้านิ้วมือในแขนเสื้อทำปางมืออย่างรวดเร็ว ท่องมนตร์ลับคัมภีร์แสวงมังกร เอ่ยทีละคำจะอนุมานความลับสวรรค์เสี้ยวหนึ่ง ครู่ต่อมาเขาคาดการณ์ได้เป็นเส้นทางเล็กๆ เพียงแต่ลางสังหรณ์บอกตนว่าอย่าบุ่มบ่ามเข้าไป
หลังคาดการณ์เส้นทางที่ถูกต้องแล้ว หนิงอี้โล่งอก
แสงอ่อนนั้นลอยอยู่เหนือศีรษะ ภายในเป็นกระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศ ด้วยประสบการณ์ของหนิงอี้ กระบี่เซียนโบราณที่ลอยอยู่นั้น หากเป็นกระบี่ประจำตัวของผู้สูงศักดิ์สวรรค์เทพผู้ขจัดความทุกข์จริงๆ เช่นนั้นแรงปรารถนาในนั้นจะต้องเอ่อล้น ดึงออกมาตามใจนิดเดียวก็มีกำลังสังหารสูงจนน่าตกใจ
ลางสังหรณ์ของหนิงอี้บอกตนว่าก่อนที่จะเข้าไปดึงกระบี่เซียนโบราณนั้น เขายังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก
หันไปมองเส้นทางขามา ในทางเดินยาวมืดมิด ไม่มีการตอบกลับใดๆ ยอดปีศาจกิเลนนั่นจะถูกขังในค่ายกลลวงตาจริงๆ หรือ เจียงหลิงต้องใช้เวลาอีกเท่าไรถึงจะตามมาทัน
ทุกอย่างยังไม่อาจรู้ได้
หลังสำแดงคัมภีร์แสวงมังกรหลายครั้ง เหยียบก้าวยันต์แปดทิศ ก่อนหน้านี้ใช้กระบวนท่าสังหารสู้กับเจียงหลิน หากเปลี่ยนคนคงถูกสูบแห้งไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ จิตใจของหนิงอี้ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่กลับคึกคัก ได้สติยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ตามข้ามา”
หนิงอี้หรี่ตาลงเหมือนได้กลิ่นแปลกๆ นัยน์ตาฉายประกายดีใจขึ้น
สวีชิงเยี่ยนตามหลังหนิงอี้ สองคนเดินหน้าไปไม่หยุด ข้ามศพยอดปีศาจไปตลอดทาง ยอดปีศาจพวกนี้กลายร่างสำเร็จแล้ว ตายไปก็มีรูปลักษณ์เหมือนคน สุสานนี้น่าจะตั้งอยู่ในกลางแดนไร้ธุลี ซากศพเกลื่อนพื้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่หนิงอี้กับสวีชิงเยี่ยนเหยียบผ่านไปก็แตกหัก กระจายพลิ้วไหวไปบนพื้นสุสาน
สวีชิงเยี่ยนเคยได้ยินว่า บำเพ็ญปีศาจฝึกแก่นปีศาจ ไข่มุก ผู้บำเพ็ญปีศาจที่มีน้อยยิ่งฝึกไข่มุกตะวัน แต่ผู้บำเพ็ญปีศาจประเภทนี้จะกลายเป็นเป้าหมายการล่าของทั้งใต้ฟ้าต้าสุย พลังในไข่มุกตะวันทำให้เผ่ามนุษย์เพิ่มพลังบำเพ็ญได้
เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญปีศาจกินคน เผ่ามนุษย์ใต้ฟ้าต้าสุย หากเลือกถูก กินไปแล้วก็จะกระตุ้นพลังบำเพ็ญ ทะลวงไปอีกขั้นได้
สองใต้ฟ้าต่างมีสัมพันธ์กินกันและกัน หากจะยกระดับพลัง ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์กินไข่มุกตะวันคร้านได้ เผ่ามนุษย์จับปีศาจ ผู้บำเพ็ญปีศาจกินคน วนเวียนซ้ำไปมาไม่รู้จบ
ดังนั้นความขัดแย้งของสองเผ่าจึงไม่อาจคลี่คลายลงได้ตลอดกาล
ขณะเดินไปนั้น สวีชิงเยี่ยนพบว่าในตันเถียนของผู้บำเพ็ญปีศาจไม่มีไข่มุกปีศาจที่ว่า
หนิงอี้เดาว่าเด็กสาวข้างหลังกำลังคิดอะไร “ไข่มุกของผู้บำเพ็ญปีศาจ หากไม่ได้ถูกพลังภายนอกโจมตีก็จะแตกในกาลเวลาได้ยากมาก ยิ่งพลังบำเพ็ญสูงก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น…”
กลิ่นอายที่หนิงอี้ได้กลิ่นก็คือกลิ่นอายของไข่มุกตะวันคร้าน!
นอกตำหนัก เขาก็เห็นไข่มุกตะวันคร้านลอยอยู่รอบๆ สุสาน เข้ามาที่นี่ยังเห็นศพไร้ไข่มุกมากขนาดนี้…หนิงอี้ก็เข้าใจแล้ว
สองคนเดินมาหน้าศิลาหินหนึ่ง
รอบศิลาหิน อิฐแดงบนพื้นตำหนักแตก ไข่มุกตะวันคร้านฝังอยู่ในดินเหนียวหลังอิฐแดงแตก แต่ละเม็ดกลมอิ่มเอิบ ถูกวางไว้ที่นี่
หนิงอี้ปลงเล็กน้อย
เขาย่อตัวลง แหวกดินเหนียวออกอย่างตั้งใจ ก็เจอกับไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจหลายเม็ด
เขากำลังขาดแคลนทรัพยากรทะลวงพลังอยู่พอดี ขาดไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจมาก ไข่มุกครรภ์พวกนี้ เป็นเหมือนส่งถ่านให้เขากลางหิมะ
หนิงอี้พ่นลมหายใจ เงยหน้าขึ้น
ศิลานั่นแกะสลักอักษรแถวหนึ่ง
‘ข้าเคยยินดีติดตามท่าน พันปี หมื่นปี จวบจนนิรันดร์’