เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 152 เหนือทะเลหมอก ยืมโลหิตหยดหนึ่ง
ตอนที่ 152 เหนือทะเลหมอก ยืมโลหิตหยดหนึ่ง
ผนังหินภูเขาแดงลาดชันใต้เท้า หินแตกกลิ้งลงไปกลางพายุ
สวีชิงเยี่ยนหลับตาลงอย่างยากลำบาก สายลมรอบตัวพัดเส้นผมนางปลิวไสวไปข้างหลัง
หนิงอี้ยืนหลังเด็กสาว มีสีหน้าจริงจัง อาภรณ์ดังพึ่บพั่บ พร้อมจะกางร่มกระดาษมันทุกเมื่อ กอดเด็กสาวข้างหน้ากระโดดลงภูเขาแดง
สัตว์ปีศาจที่ไต่หน้าผาขึ้นมาพลันหยุดความคลุ้มคลั่ง หันไปมองข้างล่าง
หนิงอี้ที่มองอยู่ไกลๆ ลมหายใจกระชั้นขึ้น
สวีชิงเยี่ยนรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย หินผาไกลออกไป เสียงคำรามของสัตว์ปีศาจพวกนั้นตอนไต่ผาพลันหายไป ทั้งโลกเงียบสงบ
ภายใต้การขับเคลื่อนของความอยากรู้อยากเห็นในใจ นางเปิดซอกตาเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นภาพที่น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ทั้งแผ่นดินภูเขาแดง พื้นดินนูนขึ้น ถูกความยิ่งใหญ่บางอย่างทลาย ดินแตก หินกลิ้ง ตัวภูเขาที่ไม่ถือว่าสูงใหญ่ถล่มทลายลง
แผ่นดินสะเทือน มีเสียงคำรามสิงโตดังขึ้นจากใต้ดิน
“โดด!”
เสียงแน่วแน่และเย็นยะเยือกดังมาจากข้างหลัง
สวีชิงเยี่ยนพลันหน้าซีดไปสามส่วน หนิงอี้ไม่ลังเลอีก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ย่อตัวลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งกอดเอวเด็กสาว เมื่อเขาเอ่ยขึ้น หินใต้เท้าก็พังลงตอนที่เหยียบ
หน้าผาขาดภูเขาแดง สองร่างชายหญิงตกลงมา
เจอกับหินที่ลอยขึ้นมานับไม่ถ้วน พืชไม้และขนนกปลิว
เหมือนนกกำพร้าสองตัวตกหน้าผา สองมือสวีชิงเยี่ยนจับชายเสื้อไว้ด้วยความลนลาน แขนและเอวของนางมีความอบอุ่นแล่นเข้ามา หนิงอี้มีแววตาแน่วแน่ ตอนที่ตกลงมา เขาเอามือข้างหนึ่งกางร่มกระดาษมัน พายุถาโถมพัดใส่ใบร่ม แสงสว่างที่ราบกระดูกสว่างออกไป
กางพินิจเหมันต์
กระแสลมตีขึ้นดันสองคนไว้
หนิงอี้กอดสวีชิงเยี่ยน สองคนถูกลมพัดจนลอยไปทางทะเลเมฆบนฟ้า
ในเวลาที่ช้าและหยุดนิ่ง สองคนมองไปข้างล่าง น้ำทะเลมากมายทลายแผ่นดิน สุสานก้นทะเลที่พุ่งทะลวงดินขึ้นมาเผยมุมหนึ่งของตำหนัก
ตำหนักนั้นไม่ได้ลอยขึ้นมาเอง…แต่มีคนใช้พลังมหาศาลยกมันขึ้นมา!
กระดูกและเลือดของสัตว์ปีศาจ ตอนนั้นที่ตำหนักลอยขึ้นมาจากพื้นก็เริ่มสั่นไหว ขานรับพลังเรียกหาไร้รูปในสายเลือด หลุดลอกออก ก่อนจะลอยไปทางร่างเงานั้นใต้ตำหนัก
บุรุษกำยำที่ยกสองแขนแบกทั้งตำหนักยิ่งใหญ่ เหมือนจุดดำเล็กลอยขึ้นมาช้าๆ
เขาเงยหน้าขึ้น ตรงศีรษะเป็นเงามืดมหึมาที่สะท้อนมาจากใต้ก้นตำหนัก หลังจากฝ่าผนึกน้ำทะเล มุกใสทุกเม็ดแบ่งแยกชัดเจน ใสแวววาว ล้อมรอบร่างกำยำที่ดูเล็กจ้อยแต่กำยำสูงใหญ่
เขาปล่อยสองแขน สองมือวางลงอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งตัวเขากลับพุ่งขึ้นไป ตรงจุดสัมผัสใต้เท้ากับอากาศ เกิดเสียงระเบิดเสียดสีรุนแรงดังขึ้น พลังไร้รูปแผ่กระจายออกมา
เหมือนลูกธนูหนักแต่แฝงด้วยพลังหมื่นชั่งของค้อนหนัก บุรุษสูงใหญ่เส้นผมพาดบ่า ส่วนศีรษะพุ่งชนใต้สุสานก้นทะเลแตก สุสานยักษ์ที่เสียแรงยกแขนของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณพุ่งออกมาจากพื้นดินแล้วก็หยุดเล็กน้อย ยังคงมีแนวโน้มลอยขึ้น แต่ก็ช้าลงเรื่อยๆ
ทหารม้าเหล็กอักษรทมิฬกรมปราบปีศาจที่ยืนอยู่บนเนินเขามองภาพที่น่าตื่นตกใจนี้เงียบๆ
สององค์ชายต้าสุยที่ยืนตรงปากทางขาดภูเขาแดง อาภรณ์โบกสะบัด นัยน์ตามีความทะมึนทึบสิบส่วน
เด็กหนุ่มที่กางร่มกระดาษมันกอดเอวบาง ถือร่มไถลลงไป กลั้นลมหายใจไว้
อากาศบนตำหนักแตกเป็นรูแคบยาว พายุมากมายถาโถมออกมา ร่างเงากำยำที่พุ่งชนโครงสร้างในตำหนักมากมาย เร็วจนยากจะจินตนาการได้ ใต้ร่างลากเป็นเศษเงาเป็นพรวน คำรามเสียงดังพร้อมกับพุ่งขึ้นเมฆนภา ทะเลหมอกกว้างใหญ่ สัตว์ปีศาจมากมาย ที่เกาะบนหินผา ที่กางสองปีกบินและที่วิ่งบนที่ราบกลางเส้นทางหุบเขาแคบ…หลังจากเสียงคำรามนี้ดังขึ้นเมฆนภา ก็หลั่งไหลไปทางเงามืดลอยฟ้าของตำหนักนั้นกันด้วยความเร็วบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณพุ่งขึ้นไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เมฆหมอกข้างกายเขาฉีกขาด พายุคลั่งส่งเสียงคำราม
……
เจียงหลินที่ยืนเหม่อบนทะเลหมอกยังคงอยู่ในท่าก้มหน้ามอง รู้สึกว่าตนเหมือนจะเกิดภาพลวงตาขึ้น
ตนมองตำหนักนั้นถูกคนยกขึ้นมาจากก้นทะเลทะลวงแผ่นดิน ลอยขึ้นมาด้วยความเร็วค่อนข้างช้า จากนั้นตำหนักแตกเป็นรู แทบเป็นพริบตาเดียวนั้น ทะเลหมอกพลันถูกทะลวง
ตรงหน้าตนจากที่เงียบสงบยิ่งก็มีร่างเงาหนึ่งเพิ่มมา
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเส้นผมยาวหุ้มด้วยละอองน้ำและเมฆหมอก บนตัวยังมีหยดน้ำวนเวียนหลายหยด วนไปมา เหมือนดาราสวรรค์ไปตามวงโคจรดาว ชนกัน เกิดเสียงแตกกังวานต่อเนื่อง
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณที่คืนชีพกลับมา มองผู้เฒ่าเมืองธารน้ำที่คึกคักมีชีวิตชีวาตรงหน้าตน
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำที่ถูกพายุพัดชุดคลุมลอยขึ้นพูดปลงเสียงเบา “ขอแสดงความยินดีกับปราชญ์ปฐมด้วย”
“อีกเดี๋ยวต้าสุยจะส่งคนมาแล้ว” ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเอ่ยราบเรียบ “นี่เป็นหายนะที่ข้าเลี่ยงไม่ได้ ผ่านไปได้ก็รอด ผ่านไปไม่ได้ก็ตาย”
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำถามเสียงเบา “อยากให้ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจออกมือหรือไม่”
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณส่ายหน้า
เสียงเขามีความเฉยชาเสี้ยวหนึ่ง ไม่มีอารมณ์ของโลกมนุษย์อยู่ในนั้นเลย ปฏิเสธ ‘เจตนาดี’ ของผู้เฒ่าเมืองธารน้ำ
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเอ่ยนิ่งๆ “แม้ข้าจะเป็นปีศาจ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ สำเร็จเป็นมหาปราชญ์ ตำแหน่ง ความทุกข์ยากและโชควาสนา ล้วนเป็นสิ่งที่นางมอบให้…ข้ารู้ว่าคนพวกนั้นใต้ฟ้าเผ่าปีศาจคิดอะไร หากพวกเจ้าคิดจะจับคนใหญ่คนโตของต้าสุยบางคน เช่นนั้นพวกเจ้าก็ลองดูได้”
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำยิ้ม “จะตัดขาดความสัมพันธ์กับผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิงท่านนั้น หายนะครั้งนี้จะต้องใช้ราชสีห์ขาว”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ บุรุษสูงใหญ่ก็เอ่ยอย่างเย็นชา พูดประโยคแรก
“เจ้าเอาดาบไป”
ประโยคที่สองที่เขาพูดคือ
“ข้าต้องการโลหิตบริสุทธิ์ของเจ้าหยดเดียว”
คำพูดนี้ตรงไปตรงมา ไม่มีความหมายจะหารือใดๆ ละอองน้ำเปียกปอนบนตัวปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณระเหยขึ้น เจียงหลินมองมหาปราชญ์โบราณท่านนี้ด้วยความระมัดระวัง พบว่าตัวของปราชญ์ปฐมมีจิตสังหารจะแผ่ออกมา…บุรุษคนนี้ภายนอกดูไม่สะทกสะท้าน แต่พร้อมออกมือทุกเมื่อ และการเอ่ยคำพูดนี้ ไม่ได้ขอร้องหรือหารือ แต่เป็นการขอที่เรียบนิ่งจนเย็นชา
“ข้าเสียพลังไปมากเกินไป ศัตรูคนนั้นที่จะมาถึง เกรงว่าคงรับมือได้ยากมาก”
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณพูดสั้นได้ใจความ “โลหิตบริสุทธิ์หยดเดียว ก็จะมีโอกาสชนะในศึกนี้ขึ้นมาเล็กน้อย”
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา
เขายื่นแขนมาข้างหนึ่งช้าๆ เหมือนคีบดอกไม้กดตรงระหว่างคิ้วตัวเองเบาๆ หลังปล่อยมือ ระหว่างคิ้วมีสีแดงลอยขึ้นมา หลังจากคีบโลหิตบริสุทธิ์ เขางอนิ้วเล็กน้อย กดโลหิตบริสุทธิ์ชีวิตตนไว้ตรงปลายนิ้วกลางกับข้อนิ้วโป้ง ดีดโลหิตหยดนี้ออกไป ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณคว้าไว้อย่างไม่เกรงใจ หลอมรวมในทันใด
หมอกรอบตัวแผ่กระจาย หมอกร้อนอบอวล
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำถามเสียงเบา “ได้โลหิตบริสุทธิ์หยดนี้ไปแล้ว เจ้ามีโอกาสชนะเพิ่มมาเท่าไร”
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณกลางเมฆหมอกกางสองแขนช้าๆ เสพโลหิตบริสุทธิ์ของผู้เฒ่าเมืองธารน้ำ เขาหลับใหลมานานมาก ไม่ชินกับร่างกายหน่อยๆ แล้ว ตนจะทำศึกใหญ่…และตอนนี้อาบโลหิตบริสุทธิ์ของยอดปีศาจขอบเขตนิพพาน สายเลือดเขาฟื้นกลับมา พลังคุ้นเคยอัดแน่นไปทั่วร่างกาย
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำถามคำถามนั้นแล้วก็เกิดการสั่นไหวเบาๆ มาจากกลางเมฆหมอก
เสียงเฉยชาของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณดังแว่วมา
“ครึ่งส่วน”
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำที่รออยู่บนทะเลหมอกชั่วครู่สั้นๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังคาดเดากลิ่นอายพลังของคู่ต่อสู้ไม่ได้ ได้ยินคำตอบของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณก็เงียบไปชั่วขณะ
ขอบเขตนิพพานต้าสุยคนใดจะออกมือกันแน่
หากผู้เฒ่าเมืองธารน้ำไม่จ่ายอายุขัยก็จะไม่อาจคาดการณ์ได้ ไม่เห็นแม้แต่มุมความลับสวรรค์ เขาขมวดคิ้วก่อนถามอีกครั้ง “เจ้ามีโอกาสชนะทั้งหมดกี่ส่วน”
เสียงของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณดังมาจากเมฆหมอกอีกครั้ง
“ครึ่งส่วน”
บางทีอาจเพราะเป็นหนี้บุญคุณผู้เฒ่าเมืองธารน้ำ ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณจึงตอบสองคำถามนี้ เสียงเขาไม่มีความสิ้นหวังเลย…แต่เจียงหลินได้ยินแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังมาก
มีโอกาสชนะทั้งหมดครึ่งส่วนรึ
ด้วยโชควาสนาของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ หลังจากได้โลหิตบริสุทธิ์หยดนั้นของผู้เฒ่าเมืองธารน้ำยังมีโอกาสชนะเพียงครึ่งส่วนหรือ หากไม่มีโลหิตบริสุทธิ์นั่นเลยล่ะ จะไม่มีโอกาสชนะเลย…นี่เป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังเพียงใดกัน
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำพลันส่องความลับสวรรค์เสี้ยวหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงเงียบ
ผู้เฒ่าพูดด้วยความขมขื่น พูดงึมงำ “มีครึ่งส่วน…จริงรึ”
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณตอบอืมเบาๆ “คนนั้นแก่แล้ว”
ตอนผู้เฒ่าเมืองธารน้ำเอ่ยประโยคนี้ ตัวก็เริ่มเกิดระลอกคลื่น เจียงหลินรู้สึกได้ว่ามีพลังไร้รูปกระชากตน ทะเลหมอกหมุนตลบ เสียงผู้เฒ่ามีความเลื่อนลอยเสี้ยวหนึ่ง
ถึงช่วงเวลาที่ต้องไปแล้ว ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำรู้สึกถึงอันตรายเสี้ยวหนึ่ง เขาใช้วิญญาณห่อหุ้มเจียงหลิน ประสานมือคารวะปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเล็กน้อย ก่อนพูดจากใจจริง
“ขอให้เจ้าโชคดี”
ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณตอบอืมเบาๆ
เขาเสียราชสีห์ขาว แต่ได้โลหิตบริสุทธิ์ของผู้เฒ่าเมืองธารน้ำมาหยดหนึ่ง
ตอนนี้หลอมรวมโลหิตบริสุทธิ์นั่นแล้ว ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณกลับสู่ขอบเขตนิพพานอีกครั้ง ในดวงตาเขาสะท้อนประกายไฟลุกโชนสีเหลืองทอง เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า
ทะเลหมอกหมุนม้วน
แนวโน้มที่จะลอยขึ้นช้าลงเรื่อยๆ จนหยุดลง จากนั้นตำหนักที่ตกลงพื้นดินช้าๆ มีสัตว์ปีศาจมากมายวิ่งเข้ามา ใช้ร่างเลือดเนื้อแบกไว้ ปีกยกชายคาตำหนัก พลังปีศาจพุ่งออกมา เลือดเนื้อระเบิดกันไม่ขาดสาย เบ่งบานเป็นดอกบัวสีเลือดบนแผ่นดินใหญ่
เสียงดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
มีร่างเงากำยำกระโดดลงมาจากทะเลหมอก เหมือนลูกธนู พลังยิ่งใหญ่
เขาโค้งตัวพุ่งเข้าไปในตำหนัก ชั่วอึดใจเดียว ตำหนักทะลวงเป็นเส้นตรง ทุกสิ่งที่ขวางทางถูกชนแตกกระจาย ภาพรวมยังคงอยู่ แต่พันธนาการร้อยปีพันปีมานี้ถูกชนแหลกเป็นผุยผง
หินแตกจำนวนมากถูกพลังปีศาจเกาะตัว ลอยอยู่กลางอากาศกระจัดกระจาย
บุรุษกำยำคนนั้นหยัดกายชึ้นช้าๆ
สัตว์ปีศาจที่ทยอยมากันไม่ขาดสายหลั่งไหลไปยังยอดเขาสูงตระหง่านเพียงลูกเดียว ร่างระเบิดไม่หยุด จะอาบทั้งยอดเขาเป็นสีแดงฉาน
บนยอดเขา มีร่างเงาสูงเตี้ยต่างกันสามร่าง
ชายหญิงซ้ายขวา คนหนึ่งสวมชุดคลุมหยาบสีคราม อีกคนสวมเสื้อใหญ่สีขาว มองแค่การแต่งตัวก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นเทพเซียนที่ใด…แต่ตรงข้อมือบุรุษสวมลูกประคำที่แกะสลักมนตร์ซับซ้อน เส้นผมของสตรีถูกปักด้วยปิ่นปักผมของศาสตร์สำนักเต๋า มองออกไม่ยากเลยว่าสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นฝ่ายพุทธ อีกคนมาจากสำนักเต๋า
สองร่างเงาชายหญิงยืนบนยอดเขา ไม่พูดสักคำ สีหน้าเรียบนิ่ง สัตว์ปีศาจมากมายตรงถ้ำภูเขาขาดไม่อาจเข้าใกล้สององค์ชายในหน้าผาขาดได้ เข้ามาใกล้ในระยะครึ่งลี้ก็จะถูกพลังไร้รูปบดทำลาย
ข้างหลังสองคนเป็นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าโอนอ่อน บนตัวยังสวมเกราะอ่อนเฉพาะของกรมปราบปีศาจ ตรงเอวห้อยดาบโบราณที่ยาวสั้นไม่เท่ากันสามเล่ม
“ว้าว…น่าตกใจชะมัดเลย”
ทูตผู้ถือคำสั่งหนุ่มแซ่ซ่งเก็บสองมือที่ล้วงตรงเอว เอามาซ้อนกันหนุนหลังศีรษะ ทำท่ามองทอดไกล ทำเสียงจิ๊ๆ ปลงอนิจจัง “ข้าอยู่แดนอุดรมานานขนาดนี้ เหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นปราชญ์ปีศาจที่ยังมีชีวิตนะ”