เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 164 ลงทัณฑ์แทนสวรรค์
ตอนที่ 164 ลงทัณฑ์แทนสวรรค์
หนิงอี้กลับในจวนมาห้าวันแล้ว
นานกว่าการสลบที่ใช้ความเป็นเทพเกินขีดจำกัดครั้งก่อนมาก
อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงยิ่งกว่าความเจ็บปวดจากการใช้ความเป็นเทพเกินขนาดครั้งก่อน เหมือนสายน้ำกระทบหิน หนิงอี้ลืมตาขึ้นช้าๆ การมองเห็นมืดสลัว ตนเหมือนยังเพ่งมองร่มกระดาษมันที่โคลงเคลงจะล้มลงกลางสายลมหลังกางออก เสียงดังเจี๊ยวจ๊าว เหมือนมีเสียงคำรามด้วยความโกรธกึกก้องซ้ำไปมาข้างหูตน…
“ซี้ด…”
หนิงอี้อยากจะลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนค้อนฟาดเข้ามา เขาหลับตาลง ละทิ้งความคิดนี้ สิบนิ้วสองมือที่กำไว้แน่นคลายออกอีกครั้ง
เขากล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้ช้าๆ
ครู่ต่อมาถึงสบายขึ้น
เงียบสงบ
ลืมตาขึ้น จวนคุ้นตา เตียงและผ้าห่มที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่น
ตรงเอวมีแรงรัดเบาๆ หนิงอี้ก้มหน้าลง พูดพึมพำด้วยความลำบากนิดๆ “ยัยเด็กนี่…”
เขาไม่ได้อยู่ภูเขาแดง…เขาหรี่ตาลง พยายามนึกถึงภาพก่อนหมดสติ ภาพทุกอย่างหยุดอยู่ที่ปราชญ์ปฐมคำราม สิงโตคำรามแทบจะกระเทือนทะเลสาบจิตเขาแตก ดีที่เคียงกระบี่ออกมือ และยังมีกระบี่บินสามเล่มกำทะเลวิญญาณไว้ ไม่อย่างนั้นตนคงเป็นศพไปแล้ว
หนิงอี้พูดขอบคุณในใจ
ท่านเคียงกระบี่ที่กลายเป็นรูปปั้นดินเหนียวเหมือนรับรู้ได้ ยิ้มให้ตน แม้แต่กระบี่บินใต้ร่างยังส่งเสียงชิ้งๆ
กลับมาแล้วหรือ
หนิงอี้พลันรู้สึกไม่แน่ใจนิดๆ
“เจ้าตื่นแล้วรึ”
เด็กสาวที่นอนพาดเตียงหลับลึก ตอนนี้ตกใจตื่น หนิงอี้เห็นใบหน้ายิ้มที่ดูอ่อนล้า เด็กนี่ไม่รู้อดนอนมากี่คืนเพราะเขา ทุกข์ใจไปเท่าไร…
…….
เด็กเผยฝานต้มโจ๊กบำรุงมาถ้วยหนึ่ง
แม้ว่าหนิงอี้จะมีแรงลุกขึ้นนั่ง และยังเดินเองได้ นางก็ยังยืนกรานจะป้อนเขาทีละคำ และได้ถือโอกาสฟังหนิงอี้เล่าเรื่องที่ประสบมาในภูเขาแดง
ตอนที่ต้มโจ๊ก
ได้สนทนาชั่วครู่ เด็กสาวได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังกลับมาคร่าวๆ
หนิงอี้รู้ว่าบุรุษหนุ่มแซ่ซ่งช่วยตนกลับมา ก็ได้แต่เงียบ เรื่องราวในโลกมักจะเต็มไปด้วยความน่าตกใจและเหลือเชื่อ…เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินนามที่สุดยอดนี้มาก่อน เซียนรุ่นสองแห่งต้าสุย ได้ยินว่าไปแดนอุดรเพียงลำพัง ไม่นึกเลยว่าตนจะได้นั่งรถตามเซียนรุ่นสองกลับเมืองหลวง
ซ่งอีเหรินให้ขวดตนมาเป็นกองใหญ่ ล้วนเป็นของบำรุง ไม่นับว่าเป็นทรัพยากรทะลวงพลัง แต่ดีที่มีของพวกนี้ หนิงอี้ถึงได้ตื่นมาเร็วมาก การใช้พลังเกินขีดจำกัดครั้งนี้ ความจริงทำร้ายร่างกายมาก จะฝากเป็นภัยแฝงร้ายแรงได้ง่ายมาก หนิงอี้เป็นคนแข็งแรง นอกจากของบำรุงพวกนี้แล้ว ครึ่งหนึ่งคือพึ่งโชค และอีกครึ่งคือที่ราบกระดูก
เด็กสาวถือโจ๊กป้อนทีละคำอย่างรู้ใจ
หนิงอี้เล่าเรื่องภูเขาแดงช้าๆ
ตั้งแต่ออกจากโรงเตี๊ยม ซุ่มโจมตีกับนกกระจอกเงิน จนมาน้ำค้างหานเยวียออกมือ หนีเข้าภูเขาแดง สุสานใต้ดิน…ตัวเอกของเรื่องนี้ ตั้งแต่แรกถูกลิขิตไว้ว่าไม่ใช่คนเดียว เหมือนจะมีมือแห่งดวงชะตาไร้รูปดึงเด็กหนุ่มเด็กสาวที่สวรรค์สรรค์สร้างขึ้นสองคนนี้เข้าด้วยกัน
ดังนั้นถึงมีหนีเอาชีวิตรอด
แต่ตอนที่หนิงอี้พูดเรื่องตอนนี้ ในสีหน้าเขาไม่มีความอาลัยอาวรณ์หรือปลงอนิจจังเลย เขาเล่าเรื่องช้าและมองจากสภาพจริง เหมือนบุคคลที่สามกำลังวางหมากอย่างสงบนิ่ง
เขาไม่มีใจจะปิดบังเด็กสาว แต่ก็ข้ามจุดที่ไม่สำคัญไปบ้าง อย่างเช่นคำถามพวกนั้นที่สวีชิงเยี่ยนถามเขาในภูเขาแดง และอย่างเช่นคำตอบของเขา…แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ฟังคร่าวๆ และรู้สึกได้ว่าในเรื่องนี้เกิดอะไรขึ้นมากมายจริงๆ
เล่าเรื่องจบ เด็กสาวเข้าสู่ห้วงความคิดที่ยาวนาน
หนิงอี้พิงเตียง เขาพลันขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยถาม “สวีชิงเยี่ยนล่ะ”
เผยฝานพูดเสียงเบา “เข้าวังแล้ว หลายวันมาแล้ว”
หนิงอี้ก้มหน้าลงไม่พูด
เผยฝานเอ่ยต่อ “นางอยากขอบคุณเจ้ามาตลอด”
หนิงอี้ส่ายหน้า “ไม่มีอะไรน่าขอบคุณหรอก กลับกัน ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณนาง หากไม่มีแม่นางสวี ข้าคงตายในภูเขาแดงแล้ว…นี่เป็นความสัมพันธ์ที่อยู่ร่วมกัน นางตายข้าตาย นางรอดข้ารอด”
หนิงอี้พลันนึกถึงภาพหนึ่ง
เด็กสาวคนนั้นกางสองแขนรับลมที่อารามรู้กรรม เหมือนลูกนกอิสระ
หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้วก่อนพูดอย่างจริงจัง “ข้าควรจะไปพบนางหน่อย”
“ก็ใช่ แม่นางสวีจ่ายไปอย่างมาก” เผยฝานถือถ้วยกระเบื้อง นางพูดอย่างจริงจัง “ได้ยินว่าในวังเงียบเหงามาก นางอาจจะเจอปัญหาได้”
หนิงอี้จะพูดแต่ก็เงียบไป
เด็กสาวเข้าใจความคิดเขา
“เจ้าจะไปตอนนี้รึ”
“อืม”
“ช่วงที่เจ้าหลับอยู่ ข้างนอกอาจจะไม่ค่อยสงบเท่าไร ได้ยินว่ามีคนรอเจ้าออกจากจวนอยู่ตลอด” เผยฝานขมวดคิ้วขึ้น “คนแซ่ซ่งนั่นไม่แนะนำให้เจ้าออกไปข้างนอก”
หนิงอี้ยิ้ม “อะไรกัน ที่นี่คือเมืองหลวง พวกเขายังกล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้งอีกหรือ”
เผยฝานเอ่ยเสียงเบา “อย่าลืมเรื่องที่ตรอกฝนพรำ”
“แค่นี้ไม่ต้องกังวลหรอก…” หนิงอี้เงียบไปชั่วขณะ “ตำหนักวังไม่ใช่ตรอกฝนพรำ พวกเขาไม่กล้าลงมือหรอก”
ตอนที่เผยฝานบอกว่าสวีชิงเยี่ยนอาจจะเจอปัญหาในวัง…หนิงอี้ก็สัมผัสใบไม้ขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งของตนอย่างไม่รู้ตัว ตามหลักแล้ว ใบไม้ขลุ่ยกระดูกนี้ ถึงจะเชื่อมจิตใจไม่ได้ แต่ก็เป็นสะพาน ตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย
สวีชิงเยี่ยนอาจจะเจอกับปัญหาจริงๆ
หนิงอี้ดันตัวลุกขึ้น เด็กสาวช่วยเขาสวมอาภรณ์ หนิงอี้คลึงศีรษะเด็กสาว ก่อนพูดเสียงเบา “ถ้าไม่วางใจจริงๆ เจ้าไปกับข้าได้นะ”
เผยฝานพ่นลมหายใจ ก่อนพูดเบาๆ “ครั้งนี้ไม่ต้องหรอก…”
หนิงอี้ถอนหายใจ เขามองพินิจเหมันต์ที่ตั้งตรงมุม ใบร่มกระดาษมันแตก เปลี่ยนใบร่มใหม่แล้ว ค่ายกลกับผนึกยังเสริมความแกร่งขึ้น
“เตรียมให้เจ้าพร้อมแล้ว”
เผยฝานเอ่ยนิ่งๆ “รู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องออกจวน”
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก เขาจับคอเสื้อสองข้าง ผลักประตูต้อง พายุพัดเข้ามา เขาก้าวเร็วๆ ผ่านลานบ้าน ผลักประตูของจวน
ร่างเงาสูงใหญ่หลายคนรออยู่นอกประตู หญิงผู้จับเชือกบังเหียนหมุนตัวม้ามา ครั้งนี้ไม่สวมเกราะแดง แต่สวมชุดคลุมยาวสีแดง พูดด้วยรอยยิ้ม
“ทหารม้าเหล็กอักษรทมิฬ กรมปราบปีศาจ”
หนิงอี้อึ้งไปเล็กน้อย
เผยฝานพูดซ้ำอีกครั้ง “รู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องออกจวน…”
นางพูดอย่างจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้ว่าคนแซ่ซ่งนั่นเป็นห่วงอะไร เมื่อวานก็ส่งคนมานั่งเฝ้า เหตุใดเจ้าถึงได้เป็นที่โปรดปรานเช่นนี้กัน ออกไปข้างนอกยังมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง คุ้มกันให้ หรือว่าจะรักเจ้าเข้าแล้ว”
จูซามองหนิงอี้ด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเบา “คุณชายติดธุระอยู่นิดหน่อย หากคุณชายหนิงอี้ฟื้นแล้วอยากออกไปเดินเล่น เราก็จะไปด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด”
หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว พูดพึมพำ “พวกเจ้ากลัวข้าก่อเรื่องรึ”
จูซาพูดอย่างจริงจัง “แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น”
หนิงอี้รู้สึกขำนิด และก็จนปัญญาหน่อย เขาเหมือนจะเข้าใจแล้ว…ถ้าวัดกันที่ความสามารถในการหาเรื่องใส่ตัว ตนเหมือนจะเป็นที่สุด ไม่มีหนึ่งใน ติดที่กฎของเมืองหลวง สององค์ชายลงมือไม่ได้จริงๆ ตนหน้าไม่อายได้ แต่พวกเขาทำไม่ได้
ดังนั้นทหารม้าเหล็กอักษรทมิฬพวกนี้ ภายนอกดูคุ้มกันตน เป็นการแสดงอำนาจอย่างหนึ่ง แต่ความจริงเป็นการควบคุมดูแลอย่างเป็นมิตร
ซ่งอีเหรินช่วยชีวิตตนไว้ ถือว่าคิดแทนตน จัดการให้เช่นนี้ ไม่มีผิดพลาดเลย
หนิงอี้พลิกตัวขึ้นม้า เขาพูดเสียงเบา “ฝากขอบคุณคนแซ่ซ่งให้ข้าด้วย”
“คนที่ให้คุณชายออกมือช่วยได้มีไม่มากจริงๆ” แม้คิ้วและดวงตาของจูซาจะมีความเย็นยะเยือก แต่ก็ยิ้มได้อ่อนโยนมาก นางพูดอย่างชัดเจน “รอคุณชายหนิงอี้พบเขาแล้วค่อยขอบคุณเองเถอะ”
หนิงอี้ชะงักงัน ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพูดจริงจัง “แม่นางจูซา ต่อไปนี้…อาจจะสร้างปัญหาให้พวกเจ้าได้”
จูซานิ่งอึ้งไป นางไม่เข้าใจว่าหนิงอี้หมายถึงอะไร
กลุ่มทหารม้าอักษรทมิฬออกจากจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ไม่ได้มุ่งหน้าไปนอกเมืองหรือที่ใด แต่ตรงไปในทิศทางหนึ่ง
จูซาสังเกตเห็นว่าหนิงอี้ออกจากจวนขุนนางรองท่องกระบี่แล้วไม่ได้ไปเดินเล่น แต่เป้าหมายของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้ก็คือตำหนักวัง…นักดาบหญิงขี่ม้าท่านนี้ ทะเลสาบจิตไม่ค่อยสงบนิ่ง นางมองหนิงอี้ด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
หนิงอี้ขี่หลังม้า เข้าใกล้วังมากขึ้นเท่าไร ระยะห่างระหว่างใบไม้ขลุ่ยกระดูกสองชิ้นก็ยิ่งใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ…และเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สงบ ขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งที่ให้สวีชิงเยี่ยน สัมผัสที่เกิดขึ้นถูกตัดขาดกลางอากาศ
หนิงอี้เคยสร้างสะพานกับสวีชิงเยี่ยน
ตอนนี้สะพานยังอยู่ แต่เหลือแค่เปลือกนอก
“แม่นางแซ่สวีคนนั้นเป็นสหายของข้าเอง” หนิงอี้เห็นความงุนงงของจูซา เขาขี่หลังม้า พูดอย่างจริงจัง “นางเข้าวังแล้ว ข้าควรจะไปเยี่ยมนางหน่อย”
จูซาพยักหน้า “ก็จริง”
นางเคยพบสวีชิงเยี่ยน และรู้ว่าหนิงอี้กับสวีชิงเยี่ยนไม่ได้พบกัน นางเองก็เสียดายเช่นกัน
“ข้าอยากเข้าวัง ใช้ฉายาขุนนางรองท่องกระบี่ของข้าเข้าวังสักครั้ง ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หนิงอี้พูดเสียงเบา “ข้าแค่อยากดูว่าสหายของข้าสบายดีหรือไม่ หากนางสบายดี เช่นนั้นก็ดี”
แววตาหนิงอี้พลันมืดลง เขาจ้องไปทางวังไกลๆ วังใหญ่มาก บางแห่งวางการเฝ้าระวังไว้แน่นหนา ห้ามเข้าไป แต่จุดที่ที่ราบกระดูกสัมผัสได้ในจุดที่อยู่ของสวีชิงเยี่ยนคือที่พักของนางสนมและนางกำนัล ไม่ได้ป้องกันมากขนาดนั้น
“หากมีใครลงมือลงเท้าให้แม่นางสวีลำบาก…” หนิงอี้พูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “ก็ขอให้แม่นางจูซาอย่าขวางข้าลงทัณฑ์แทนสวรรค์”