เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 167 แบบอย่างของข้าคือสวีจั้ง
ตอนที่ 167 แบบอย่างของข้าคือสวีจั้ง
จากความวุ่นวายในวังก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเงียบ
การจัดการทุกเรื่องมีความเรียบร้อยและมีลำดับขั้นตอน เหมือนวางแผนการไว้ล่วงหน้าแล้ว ลากคน เข้าเครื่องทรมาน ได้บทสรุป สมาชิกกรมผู้คุมกฎชำนาญขั้นตอนเหล่านี้มาก
ราวสองสามชั่วยามต่อมาก็ได้ผลลัพธ์
“จิ้งไป๋ทำผิดมหันต์ กัดลิ้นสังหารตนเองแล้ว”
“นางรู้ว่าตนล่วงเกินใคร ไม่มีทางรอดแล้ว แต่นางยอมกัดลิ้น ไม่ยอมพูดว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง”
บทสรุปนี้ไม่เหนือความคาดหมาย
….
สวนห้องบูรพาเงียบลง
ศาลาแดงในวัง
ศาลาแดงตั้งอยู่บนสระน้ำ แสงจันทร์ปูพรม แสงสว่างใสแจ๋ว
นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของสองคน
ซ่งอีเหรินพิงด้านหนึ่งของราวกั้นศาลาแดง ชำเลืองตามองหนิงอี้ จากนั้นมองไปตรงห้องของสวนห้องบูรพา เหมือนคิดอะไรบางอย่าง “อาการบาดเจ็บของแม่นางสวีเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีขึ้นมากแล้ว” หนิงอี้พ่นลมหายใจขุ่น นี่คือเหตุผลที่เขาเหนื่อยล้า ความทุกข์จากความเป็นเทพของสวีชิงเยี่ยนกำเริบแล้ว ใบไม้ขลุ่ยกระดูกถูกจิ้งไป๋เอาไป หลังจากเขาอุ้มนางกลับห้องแล้วก็ใช้ที่ราบกระดูก ดูดความเป็นเทพออกไป
ตั้งแต่ภูเขาแดงมา ความเป็นเทพในกายสวีชิงเยี่ยนกำเนิดเร็วขึ้นมาก นี่คือเหตุผลที่ความเจ็บปวดจากความเป็นเทพมาถึง
นี่ทำให้หนิงอี้ละอายใจอย่างมาก…เขาทำได้จำกัด ให้ใบไม้ขลุ่ยกระดูกกับสวีชิงเยี่ยนมากกว่าครึ่ง ความจริงหนิงอี้ไม่กังวลเลยว่าจะเกิดผลลัพธ์อย่างไร ในวังแทบจะไม่มีผู้บำเพ็ญ มีระบบเข้มงวด คนใหญ่คนโตพวกนั้นเห็นสมบัติล้ำค่าตนชินตา ใบไม้มากกว่าครึ่งนี้ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความจริงมีเพียงสวีชิงเยี่ยนที่ใช้ได้ นำความเป็นเทพส่งผ่านสะพานมาถึงที่ราบกระดูกของหนิงอี้ คนอื่นเอาไปก็ไม่มีประโยชน์
หนิงอี้ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
……
ซ่งอีเหรินหรี่ตาลง มองหนิงอี้ที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าชัดเจน
“อะไรกัน ไม่ดีใจรึ”
ซ่งอีเหรินพูดเสียงเบา “คนอย่างจิ้งไป๋ เจ้าคิดว่าตายแล้วจะทำให้นางสบายหรือ”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ
“กรมผู้คุมกฎลงโทษนางอย่างหนัก ทรมานมาหนึ่งชั่วยาม นางก็หาข้ออ้างยอมรับผิด จากนั้นกัดลิ้นตัวเองขาดอย่างแน่วแน่ กรมผู้คุมกฎใช้วิชาลับมากมายก็ยังยื้อชีวิตนางไว้ไม่ได้ ได้ยินว่าตอนนางตาย มันทรมานมาก”
ซ่งอีเหรินพูดด้วยความจนปัญญา “แม้นี่จะเป็นการพ้นทุกข์ แต่ก็ถือว่าได้รับผลกรรมตามสมควรแล้ว”
หนิงอี้ส่ายหน้า
จิ้งไป๋เป็นหญิงชั่วช้า ตายก็ตายไป แต่ในวังนี้มีจิ้งไป๋ได้ก็มีคนที่สองได้ คนสำคัญไม่ใช่ตัวหมากในมือคนใหญ่คนโตพวกนั้น แต่เป็นเจตนารมณ์ของคนคุมกระดานหมากพวกนั้น
ซ่งอีเหรินเห็นความกังวลของหนิงอี้ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น
“ในวังมีอยู่สี่ท่านที่เป็นใหญ่ ข้าได้รับเชิญให้เข้าวังมาดื่มชากับพระสนมท่านหนึ่งพอดี….” ‘เซียนรุ่นสอง’ ท่านนี้มีสีหน้าจำใจนิดๆ “เรื่องสีหน้าข้าตอนนี้ ไว้ว่างๆ ค่อยคุยกัน ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร”
“การเข้าวังเป็นเรื่องที่มีความหมายไม่ธรรมดา”
ซ่งอีเหรินพิงราวกั้น เลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยสีหน้าปลงอนิจจังนิดๆ “ชาวบ้านธรรมดา หากบุตรสาวตนมีโอกาสได้เข้าวังเมืองหลวง ก็ถือว่าเป็นปลาหลีฮื้อโดดเข้าประตูมังกร แต่ต้าสุยหกร้อยปีมานี้ ความจริงหลังวังเป็นเพียงการจัดวางอย่างหนึ่งเท่านั้น…พระสนมทั้งสี่ท่านนั้นให้กำเนิดบุตรสี่คน สามมังกรหนึ่งหงส์ ช่วงระยะห่างที่มากที่สุดในนั้นก็เกือบจะหกสิบปี ชาวบ้านธรรมดาใครจะไปอยู่ถึง”
“ฝ่าบาทเป็นคนที่มีความคิดกว้างไกล หญิงมากมายในวังก็เหมือนแจกันดอกไม้ที่จัดวางไว้ งดงามกว่านี้ก็เป็นเพียงของไร้ประโยชน์” ซ่งอีเหรินชำเลืองตามองหนิงอี้ ก่อนพูดเย้าหยอก “แน่นอน งดงามอย่างแม่นางสวีเป็นข้อยกเว้น ทั้งใต้ฟ้าต้าสุยน่าจะมีแค่คนเดียว”
หนิงอี้เอาสองมือกดหัวเข่า บีบตามจิตใต้สำนึก
เข้าวังหมายถึงอะไร…ทุกคนรู้ดี
ซ่งอีเหรินเห็นการกระทำเล็กๆ ของหนิงอี้
เขายิ้มตาหยี “เจ้าไม่อยากให้แม่นางสวีเข้าวังรึ”
หนิงอี้ไม่รู้จะตอบอย่างไร
เขาถอนหายใจเบา “ข้ากับแม่นางสวีไม่ใช่คนโลกเดียวกัน ข้าหวังว่านางจะมีชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง ไม่ถูกใครรังแก”
ซ่งอีเหริยทำเสียงจิ๊ๆ “นกในกรงขององค์ชายสาม ไปที่ใดก็มีชีวิตที่ดี ตามเจ้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นรึ ถ้าเจ้าบอกว่าใช่ ข้าก็จะทูลกับฝ่าบาท ให้นางกลับจวนไปกับเจ้า”
หนิงอี้งุนงงเล็กน้อย
เขามองซ่งอีเหริน อึ้งไปก่อน จากนั้นพูดด้วยความงุนงง “เจ้า…หมายความว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาทชื่นชมนางมาก แต่ไม่ได้ชื่นชมแบบที่พวกเจ้าคิด”
ซ่งอีเหรินม่านตาแคบลง พูดงึมงำ “พระสนมท่านนั้น ในช่วงถ้วยน้ำชา ได้เล่าเรื่องความทุกข์กับข้ามากมาย อย่างเช่น…ฝ่าบาทไม่เคยมาที่นี่เลย ดังนั้นหลังวังจึงเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ ต่างแก่งแย่งชิงกัน วุ่นวายเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก ใครก็ทำอะไรใครไม่ได้ ก็เพราะว่าฝ่าบาทปล่อยไม่สนใจ ปล่อยให้เบ่งบาน ปล่อยให้โรยรา ท่านพ่อท่านแม่ข้าตอนได้รับแต่งตั้งก็เคยมาเมืองหลวงครั้งหนึ่ง คนพวกนั้นในตอนนั้นบ้างกลายเป็นกระดูกไปแล้ว”
หนิงอี้ไม่เข้าใจนิดๆ
“ฝ่าบาทอยู่มาได้หกร้อยปี แต่คนในวังนี้ล่ะ”
“คนที่อายุยืนก็อยู่ได้ร้อยกว่าปี คนอายุสั้นหน่อยก็อยู่ได้หกสิบปี” น้ำเสียงซ่งอีเหรินไม่มีความรู้สึก “ในเมืองหลวง นางกำนัลที่เข้าวังมีกฎเหล็กข้อหนึ่ง ห้ามฝึกบำเพ็ญ อายุขัยของพวกนางจะเท่าไรกัน ต่อให้มีวิชาคงใบหน้า ใบหน้าไม่แก่ชรา แต่สำหรับฝ่าบาทก็เป็นเพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น พวกนางไม่มีทางติดตามฝ่าบาทไปชั่วชีวิตได้ หลังให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง จะต่อสู้ก็ดี จะแก่งแย่งชิงก็ดี เป็นเพียงเวลาหลายสิบปีเท่านั้น ฝ่าบาททำเป็นมองไม่เห็น มองว่าเป็นการเล่นของเด็ก”
“คุณชายหยวนฉุนติดตามฝ่าบาทมาสี่ร้อยกว่าปี ก็ถึงขีดจำกัดใหญ่แล้ว ไห่กงกงผ่านอะไรมามากมาย สองร้อยกว่าปี ถือว่าได้เห็นดอกไม้บานดอกไม้โรยราในวัง เห็นความตกต่ำและรุ่งโรจน์ของกระดูกขาว”
“นั่งตำแหน่งพระสนมได้ เป็นเจ้าของหนึ่งตำหนัก หลายร้อยปีมานี้ ไม่รู้นานเท่าไร ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาดหลักแหลม บางคนรอจนใบหน้าแก่ชราก็ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่จากฝ่าบาท…พวกนางไม่คับแค้นใจ แค้นแค่ว่าตนไม่อาจมีชีวิตนิรันดร์”
ซ่งอีเหรินเลิกคิ้วขึ้น พูด “พวกนางฝึกบำเพ็ญไม่ได้ พวกนางได้แต่แก่ตาย”
หนิงอี้ก็ยังไม่เข้าใจนิดๆ
เขาพูดด้วยอาการเหม่อ “เช่นนั้นเหตุใดฝ่าบาทถึงให้สวีชิงเยี่ยน…”
“บางอย่างก็มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่รู้” ซ่งอีเหรินเงียบไปชั่วครู่ “มีอย่างหนึ่งที่เจ้าวางใจได้ จิ้งไป๋ตายแล้ว จะไม่มีจิ้งไป๋คนที่สอง ข้าลงโทษได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ในบางความหมาย ก็คาดการณ์เจตนารมณ์ของฝ่าบาทได้แล้ว”
“เพื่อรักษาความสงบในวังแห่งนี้ ท่าทีของฝ่าบาท…เหมือนจะหาอาจารย์ท่านหนึ่งให้กับแม่นางสวี” ซ่งอีเหรินขมวดคิ้ว พลันรู้สึกปลงอนิจจังหน่อยๆ “ตอนที่ฝ่าบาทว่างก็จะฝึกบำเพ็ญในวังตลอด เขาไม่ได้มีท่าทีอยากจะพบแม่นางสวี แต่ก็ได้เอ่ยกับบิดาข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ดังนั้น ช่วงก่อนหน้านี้ เขาวิญญาณได้ส่งคนใหญ่คนโตท่านหนึ่งเดินทางมาแล้ว”
หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เขามองห้อง เกิดความซับซ้อนหลากหลายในใจ
“ความจริงเบื้องหลังจิ้งไป๋เป็นใคร…ทุกคนรู้แก่ใจดี เพียงแต่นางตายแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเตือน” ซ่งอีเหรินพิงรั้วกั้น บิดเอวขี้เกียจ พูดขึ้น “ตอนนี้เจ้าคิดว่าสวีชิงเยี่ยนอยู่ในวัง เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีล่ะ เจตนารมณ์ของฝ่าบาทปกป้องนางได้ แม้ในบางความหมาย นางยังเป็นนกในกรง แต่เปลี่ยนกรงแล้ว ไม่ใช่กรงเล็ก แต่เป็นโลกที่ตะวันจันทราสับเปลี่ยน นางได้เห็นตะวันขึ้น เห็นแสงสว่าง กระแสน้ำขึ้นลงผลัดเปลี่ยน ดวงดาราทั้งกลางวันและกลางคืน”
หนิงอี้เงียบลง
“นี่เป็นเรื่องดี”
ผ่านไปนาน เขาก็พูดอย่างจริงจัง
เขามองไปในห้อง ผ่านไประยะหนึ่ง สายลมของสวนห้องบูรพาไม่ส่งเสียงดัง พัดผ่านศาลาแดง ตบแก้มเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน
หนิงอี้ยิ้ม พูดซ้ำอีกครั้ง “เป็นเรื่องดีจริงๆ”
ภาระหนักอึ้งในใจวางลง
หนิงอี้มองบุรุษหนุ่มที่พิงราวกั้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เรื่องที่ภูเขาแดง และครั้งนี้…”
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องขอบคุณเลย ไม่ต้องพิธีรีตอง” ซ่งอีเหรินโบกมือ ก่อนเอ่ยราบเรียบ “ก็แค่ถือโอกาสช่วยเท่านั้น ข้ารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับสององค์ชายแปลกมาก ข้าเองก็ไม่ถูกชะตาพวกเขาเท่าไร ถ้าจะให้เป็นมิตรกัน ข้าชอบเห็นพวกเขาเสียหน้าแต่ทำอะไรข้าไม่ได้มากกว่า”
หนิงอี้เงียบลง
ตั้งแต่กลับมาจากภูเขาแดงอย่างราบรื่น และยังมีเข้าวังครั้งนี้ ดูเหมือนไม่มีคลื่นลมอะไร แต่ความจริงเบื้องหลังมีบุรุษหนุ่มแซ่ซ่งช่วยอยู่
บุรุษหนุ่มอ่อนโยนที่พิงราวกั้นยิ้มแป้น ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวเลย เขาเป็นเพียงบุรุษที่คล้ายสตรี ยิ้มสบายไร้กังวล ทายาทผู้มีอำนาจที่เกิดมาก็มีเบื้องหลังเท่าฟ้าคนนี้ กลับชอบเป็นดอกไม้งามที่อยู่เงียบๆ รึ
หนิงอี้มองซ่งอีเหรินพลางถามอย่างจริงจัง “เหตุใดถึงช่วยข้า”
ซ่งอีเหรินแบมือด้วยความจนปัญญา “ช่วยคนต้องมีเหตุผลด้วยหรือ”
หนิงอี้เงียบไปชั่วขณะก่อนถามอย่างจริงจังอีกครั้ง “แล้วไม่ต้องมีรึ”
ต้องมี ไม่ต้องมี ต้องมี ไม่ต้องมี…นี่เป็นคำถามไม่มีที่สิ้นสุด ดูแค่ว่าอีกฝ่ายยินดีจะตอบหรือไม่
ซ่งอีเหรินคลึงระหว่างคิ้ว เขาปวดหัวนิดๆ มองไปทางจูซาที่พิงประตูสวนห้องบูรพา กอดอก กอดดาบงีบหลับ
จูซาหลับลึกมาก
ซ่งอีเหรินวาดยันต์แผ่นหนึ่งมาจากในแขนเสื้อ
หนิงอี้เพ่งมอง นั่นเป็นยันต์กั้นเสียง เสียงทั้งศาลาแดงถูกยันต์แยกออก
ซ่งอีเหรินพูดเสียงเบา “ข้าช่วยเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าก็อาจจะช่วยข้าสักครั้งเช่นกัน”
ที่แท้ก็กำลังรอตอนนี้
ไม่รู้เพราะเหตุใดหนิงอี้ถึงสบายใจขึ้นมาก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ดี”
ซ่งอีเหรินกลัดกลุ้มเล็กน้อย เกาศีรษะ “เจ้าไม่อยากฟังหน่อยรึ”
หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “ขอแค่ข้าทำได้”
“เจ้าเองก็ตรงไปตรงมาเหมือนกันนะ…” ซ่งอีเหรินพูดปลง เหมือนเกรงใจหน่อยๆ “ความจริงแล้วตอนที่ข้าช่วยเจ้า ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น เพียงแค่เห็นว่ากระบี่ของเจ้าคือพินิจเหมันต์”
“บังเอิญมากที่แบบอย่างที่เป็นเป้าหมายให้ข้าต่อสู้มาทั้งชีวิต ไม่ใช่ซ่งเชวี่ยและก็ไม่ใช่แม่ข้า”
ซ่งอีเหรินกระแอมไอแล้วพูดอย่างจริงจัง “แต่เป็นสวีจั้งแห่งเขาสู่ซาน”