เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 171 ฆราวาสเขาเสียวซาน
ตอนที่ 171 ฆราวาสเขาเสียวซาน
หนิงอี้ออกจากสวนห้องบูรพา
สวีชิงเยี่ยนยืนเหม่อในศาลาแดง กำลังย่อยคำพูดนั้นของหนิงอี้
ฟ้าสางแล้ว
สวนห้องบูรพาเงียบลง
รถม้าแล่นออกจากเขาวิญญาณแดนบูรพาคันหนึ่ง เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยมาถึงเมืองหลวง ประตูใหญ่เมืองหลวงเปิดออก สาวกเขาวิญญาณล้อมรอบรถม้าเต็มไปหมด สาวกพวกนี้ล้อมรอบรถม้า หลังมาถึงเมืองหลวงก็ไม่เบียดเสียดอีก
‘คนใหญ่คนโต’ ท่านนั้นในรถม้ายื่นแขนมาข้างหนึ่ง โบกเบาๆ เรียกสาวกคนหนึ่งมาพูดผ่านม่านรถ ดังนั้นคนที่มาส่งรถม้าจึงมีไม่มากอีก
ในเมืองหลวง สำนักเต๋ากับเขาวิญญาณมีที่พักชั่วคราวอยู่ สำนักเต๋าเป็น ‘หอยอดวิสุทธิ์’ ฝ่ายพุทธเป็น ‘วัดปลามังกร’ สาวกพวกนั้นที่มารวมกันกลับไปรับใช้ในวัดปลามังกรภายใต้การนำของทูตเมืองหลวง
รถม้าเข้าวังอย่างราบรื่น องครักษ์เกราะทองเปิดปลายหอกที่ไขว้กันไว้ออกและแสดงความเคารพกับรถม้า
ฝ่าบาทมีรับสั่งไว้ก่อนแล้วว่าไต้ซือฝ่ายพุทธที่มาไกลจากเขาวิญญาณท่านนี้ จะปฏิบัติอย่างเอ้อระเหยไม่ได้
ไม่นานนัก รถม้านั้นก็หยุดตรงปากประตูสวนห้องบูรพาอย่างมั่นคง
สาวกเขาวิญญาณสองคนลงม้ามาเปิดประตูไม้สวนห้องบูรพาด้วยความเคารพ
เด็กสาวที่นั่งเหม่อในศาลาแดงมองม่านรถม้าเปิดออก
บุรุษสวมชุดคลุมขาวคนหนึ่งลงมาจากรถม้า
…..
“ส่งที่นี่ก็พอ ที่เหลือก็ไม่ต้องทำอะไรมาก”
เสียงอ่อนโยนและมีพลังสามส่วน ผู้ได้ยินจะเหมือนอาบสายลมใบไม้ผลิ
บุรุษชุดคลุมขาวปฏิเสธสาวกที่จะถอดชุดคลุมให้ตน เขามองสาวกเขาวิญญาณสองคน สองมือประจิม แสดงความเคารพเล็กน้อย จากนั้นยื่นมือข้างหนึ่ง เคาะประตูไม้สวนห้องบูรพาที่เปิดออกแล้วเบาๆ เชิงขอโทษ
บุรุษชุดคลุมขาวเท้าเปล่า ท่าทีสงบนิ่งและเรียบร้อย ในชุดคลุมมีกลิ่นอายเก่าแก่ เหมือนผ่านการซักมาเป็นร้อยปี แต่ใบหน้าเขากลับหนุ่มมาก ดูเหมือนบุรุษที่นิ่งจนน่ากลัว ใบหน้ายังมีความเป็นผู้คงแก่เรียนสามส่วน มีกลิ่นอายของตำรา
บุรุษชุดคลุมขาวเดินมาถึงสวนห้องบูรพา ประตูไม้สองข้างปิดลงอย่างเป็นธรรมชาติ สายลมใบไม้ผลิในสวนพัดผ่าน ปลาหลีฮื้อในทะเลสาบโดดขึ้น นี่เป็นภาพใบไม้ผลิบานน้ำแข็งละลาย หากเป็นคน เช่นนั้นคนนี้จะต้องมียอดพลังวิเศษ หรือไม่ก็มีแรงปรารถนายิ่งใหญ่
บุรุษชุดคลุมขาวที่ประนมสองมือ ตรงข้อมือผูกลูกประคำพวงหนึ่งเดินมาหน้าสวีชิงเยี่ยน คิ้วและดวงตาเขาอ่อนโยน ถามอย่างจริงจัง
“เจ้ายินดีติดตามข้าฝึกบำเพ็ญหรือไม่”
เดินทางไกลมาจากเขาวิญญาณ เหนื่อยล้า ฟันฝ่าขวากหนามมามากมาย แต่ในแววตาบุรุษชุดคลุมขาวกลับไม่เห็นความเหนื่อยล้าเลย ส่วนลึกในดวงตาเขา เป็นสีดำลุกโชนเท่ากัน ไม่มีการดูถูกมองจากเบื้องบน
เด็กสาวทึ่มทื่อไร้ความรู้ ไม่รู้เลยว่าคำพูดนี้ของบุรุษชุดคลุมขาวเป็นโชควาสนายิ่งใหญ่
นางนั่งเหม่อในศาลาแดง มองบุรุษชุดคลุมขาว จากนั้นถาม “ติดตามไต้ซือฝึกบำเพ็ญ จะได้เรียนอะไรบ้าง”
“จากเป็นสู่ตาย จากตายสู่กำเนิด” บุรุษชุดคลุมขาวยิ้มอบอุ่น “ชีวิตทุกคนเป็นเช่นนี้ ต้องดูว่าเจ้าอยากเรียนอะไร”
สวีชิงเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่
นางพูดอย่างจริงจัง “ข้าอยากเรียนทุกอย่าง”
บุรุษชุดคลุมขาวก้มหน้าลง พูด “เช่นนั้นเพื่ออะไร”
เด็กสาวที่นั่งในศาลาแดง ข้างหลังเป็นปลาหลีฮื้อโดดออกทะเลสาบเข้าประตูมังกร ไม่รู้เลยว่าภาพยิ่งใหญ่ทะเลสาบสวนห้องบูรพาข้างหลังได้สะท้อนภาพดวงตะวันขึ้นฟ้า
เด็กสาวส่ายหน้า “ไม่ใช่เพื่ออะไร…ข้าแค่อยากใช้ชีวิต”
บุรุษชุดคลุมขาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ยากนิดหน่อย แต่ข้าจะสอนเจ้าใช้ชีวิต”
สวีชิงเยี่ยนพลันตื่นตัวขึ้นมา นางมองชุดของบุรุษชุดคลุมขาว มั่นใจว่าเป็นกาสาวะของฝ่ายพุทธ ก่อนจะมองศีรษะของบุรุษ พบว่าไม่ได้หัวโล้น จึงงุนงงนิดๆ
นางนึกถึงกรรไกรเหล็กนั่นที่จิ้งไป๋เคยถือ
“เป็นฆราวาส ไม่ต้องปลงผม” บุรุษชุดคลุมขาวจนปัญญานิดๆ พูดเสียงเบา “ข้าเกิดที่แดนบูรพา อยู่กับเขาอยู่กับน้ำ ใต้ติดลั่วสุ่ย เหนือติดเขาเสียวซาน เข้าเขาวิญญาณ พวกเขาเรียกข้าว่าฆราวาสเขาเสียวซาน หากเจ้ายินดีติดตามข้าฝึกบำเพ็ญ เช่นนั้นก็เรียกว่าข้าอาจารย์ได้”
สวีชิงเยี่ยนงุนงง นางถาม “ท่านฆราวาสฝึกบำเพ็ญจนถึงตอนนี้กี่ปีแล้ว”
“ร้อยเจ็ดปีแล้ว” บุรุษที่ใบหน้ายังหนุ่มไม่ลังเลเลย เขาจำได้ทุกปี ทุกเดือนและทุกวันที่ตนฝึกบำเพ็ญ ตั้งแต่ที่ก้าวเข้าธุลีแดง เขาทำอะไรมากมาย สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในนั้นคือจำว่าตนอยู่มากี่ปีแล้ว
ร้อยเจ็ดปีหรือ
สวีชิงเยี่ยนมองบุรุษชุดคลุมขาวด้วยความสับสน
“ทุกสรรพสิ่งล้วนเริ่มเรียนจากง่ายเสมอ พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะสอนพื้นฐานกับเจ้า”
“อย่างเช่น” สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก “มารยาทในวังรึ”
“มารยาทในวังหรือ” ฆราวาสเขาเสี่ยวซานไม่เข้าใจนิดๆ เขาเลิกคิ้วขึ้น “เรียนเรื่องนี้ไปมีประโยชน์อะไร”
สวีชิงเยี่ยนรู้สึกขำนิดๆ นางกะพริบตา “เช่นนั้นท่านจะสอนอะไรข้า”
“การเขียนพู่กัน การเล่นหมาก ขิมโบราณ วิชาแพทย์และกลอน…” ฆราวาสเขาเสียวซานวนลูกประคำด้วยมือเดียว หาที่นั่งลงข้างศาลาแดง เขาพิงราวกั้นศาลาแดง ถอนหายใจอย่างสบายใจ การเดินทางจากเขาวิญญาณเหนื่อยจริงๆ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้นั่งตามสบาย
มีอะไรให้พักพิง เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกสบายจริงๆ
“เรื่องพวกนี้ ดูไม่เกี่ยวกับแสงดารา แต่ความจริงเกี่ยวกับแสงดารา ทุกชีวิตอยู่ใต้ดารา อาบแสงดารา ทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้าก็อาบแสงดาราเช่นกัน ไม่มีใครสูงกว่า ที่นี่คือโลกมนุษย์ หากทิ้งเรื่องพวกนี้ไป ใฝ่หาการบำเพ็ญแสงดาราอย่างเดียว ผู้บำเพ็ญก็จะขาดกลิ่นอายของมนุษย์ไปเสี้ยวหนึ่ง”
ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้ม “ดังนั้นฝึกบำเพ็ญในโลกมนุษย์ก็ต้องเรียนการเป็นคนก่อน”
“ฝึกบำเพ็ญในโลกมนุษย์ต้องเรียนการเป็นคนก่อน…” สวีชิงเยี่ยนพูดพึมพำซ้ำ นางพูดด้วยความฉงน “หรือการฝึกบำเพ็ญไม่ใช่การหลุดจากคอขวด ค่อยๆ กลายเป็นเทพเจ้ากัน”
ฆราวาสเขาเสียวซานส่ายหน้า
เขาพูดอย่างอ่อนโยนและแน่วแน่
“พวกเราเกิดมาเป็นคน”
คำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง เข้าใจยากนิดๆ
ฆราวาสเขาเสียวซานรู้ว่าตอนนี้สวีชิงเยี่ยนยังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ช้าก็เร็วเด็กสาวคนนี้จะเข้าใจเอง
เขาพิงศาลาแดง รู้สึกว่ากำลังวังชาของตนฟื้นกลับมาเล็กน้อย แต่ก็ยังเหนื่อยอยู่
ดังนั้นเขาจึงหยิบยกแนวความคิดที่พลิกแพลงออกมา
“วันนี้ไม่ต้องรีบ เจ้าคุยกับข้าก่อนได้…คุยได้ทุกอย่าง สิ่งที่เจ้าสงสัย ไม่เข้าใจและประสบมา”
ฆราวาสเขาเสียวซานชำเลืองตามองเด็กสาวทีหนึ่ง เขาเห็นเชือกแดงนั้นผูกตรงคอเด็กสาว จึงพูดเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ทุกคนมีความลับ เจ้าไม่พูด ข้าก็จะไม่ถามอะไรมาก”
ฆราวาสเขาเสียวซานเปลี่ยนเป็นท่าทางสบายๆ พิงศาลาแดง เป่าสายลมยามเช้า
เรื่องที่เขาชอบทำมากที่สุด…คือการคุยกับคนอื่น ตอนที่ฝึกบำเพ็ญในเขาวิญญาณก็เป็นเช่นนี้ หากหินภูเขา พืชหญ้า ทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณหรือศิษย์เขาวิญญาณสงสัย ก็จะมาหาคำตอบจากเขา
คิดไม่ถึงเลยว่า
สวีชิงเยี่ยนส่ายหน้า “ไม่มีอะไรจะคุย ข้าไม่มีอะไรไม่เข้าใจหรือสงสัย เริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้เลยเถอะ”