เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 173 ไม่มีความลับในเมืองหลวง
ตอนที่ 173 ไม่มีความลับในเมืองหลวง
เสิ่นหลิงสูดลมหายใจเข้า เขานั่งหน้าโต๊ะ ใช้สองมือกางม้วนคดี เริ่มอ่านอย่างจริงจัง
“ประวัติการเลื่อนขั้นของกงซุนเยวี่ยแปลกมาก เขามาเมืองหลวงก็เริ่มรับคดีเล็กใหญ่ เข้ากรมผู้คุมกฎก่อน จากนั้นเป็นผู้ช่วยทูตผู้ถือคำสั่ง ไม่ถึงสองปีก็ข้ามไปสองขั้น กรมผู้คุมกฎปฏิรูป เขากลายเป็นทูตผู้ถือคำสั่ง อำนาจในมือค่อนข้างมาก ความลับมากมายในเมืองหลวงเปิดออกให้เขา” กู้เชียนยืนข้างเสิ่นหลิง เขาพูดสิ่งที่เขารวบรวมมาตลอดในช่วงนี้
“ตอนนี้ไม่รู้เบื้องหลังของกงซุนเยวี่ย เขาเปลี่ยนคนใหม่ไปเรื่อยๆ น่าจะไม่อยากให้ข้อมูลการตรวจสอบของเขารั่วไหลออกไปมาก…เรื่องที่เขาจะตรวจสอบเป็นงานใหญ่ คนเดียวทำสำเร็จได้ยาก นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องการผู้ช่วย”
เสิ่นหลิงกวาดม้วนคดี ในนี้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหนิงอี้ที่บันทึกได้ทั้งหมดไว้
“กงซุนเยวี่ยอยู่ฝ่ายใด”
“เหมือนจะเป็นในวัง และก็เหมือนจะไม่ใช่” กู้เชียนลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูด “ทำงานในวังไม่ต้องระวังขนาดนี้ ตรวจสอบได้อย่างเอิกเกริก ทั้งเร็วและสะดวก”
เสิ่นหลิงอ่านม้วนคดีจบ
เขาก็เข้าใจว่า ‘คาดไม่ถึง’ ที่กู้เชียนบอกหมายความว่าอย่างไร
สิ่งที่บันทึกในม้วนคดีนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ ล้วนเป็นกิจวัตรประจำวัน เหมือนใช้อักษรเขียนรวมชีวิตหลังหนิงอี้มาเมืองหลวงมากกว่า
“เจ้าเผยข้อมูลออกไปแล้วรึ” เสิ่นหลิงมีสีหน้าเคร่งขรึม ถามอย่างจริงจัง “ทางกรมผู้คุมกฎไม่สงสัยหรือ”
กู้เชียนส่ายหน้า “ผู้ช่วยของทูตผู้ถือคำสั่งกรมผู้คุมกฎถือเป็นตำแหน่งที่ไม่เลว แต่ผู้ช่วยของกงซุนเยวี่ยเป็นข้อยกเว้น ยิ่งอยู่เงียบมากเท่าไรก็ยิ่งดี งานที่ข้าทำปกติจะจัดการม้วนคดีกับตรวจสอบ รวบรวมและสรุป ทำงานหน้าโต๊ะตลอด เป็นงานใช้สมอง พอจะนับว่าเป็นงานกึ่งใช้แรงได้ หากเขาสงสัยข้า ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้คัดลอกม้วนคดี…ตอนนี้นึกดูแล้ว เขาเหมือนจะชื่นชมข้ามากด้วยซ้ำ”
“ไร้สาระ” เสิ่นหลิงมองค้อน เอามือข้างหนึ่งกดม้วนคดี ก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าทำงานกรมข่าวกรองมาสิบเอ็ดปี ข้ากดเจ้าไว้ตลอด ไม่อย่างนั้นเจ้าคงทะยานขึ้นไปนานแล้ว เจ้าเป็นคนที่ข้าให้ความสำคัญ ตอนนี้โยนให้คนแซ่กงซุนนั่น เขาจะไม่ชมเจ้าได้อย่างไร”
กู้เชียนเกาศีรษะด้วยความเก้อเขิน เขายิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ความดีบริสุทธิ์ ในตัวมีกลิ่นสะอาดและอบอุ่น ทำให้คนชอบได้ง่ายมากจริงๆ
เสิ่นหลิงนั่งจมลงลึกไปในเก้าอี้
“หากเจ้าไม่เผยข้อมูลออกไป…ในเมืองหลวงจะมีใครที่สนใจหนิงอี้ขนาดนี้อีก”
เขาเงียบอยู่นาน จากนั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ
“กู้เชียน ข้าถามคำถามเจ้าอย่างหนึ่ง”
กู้เชียนเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นดังตึก
ในความคิดเสิ่นหลิงเป็นตอนที่เขาล้มลุกคลุกคลานในเมืองหลวง เดินทีละก้าวจนมาเป็นเจ้ากรมน้อยกรมข่าวกรองในตอนนี้ และถูกคนเตือนเรื่องหนึ่งมาตลอด
“ไม่มีความลับในเมืองหลวง”
นี่เป็นข้อสงสัยที่สุดในความคิดเขา ไม่มีความลับในเมืองหลวง เจตนาเดิมของคำพูดนี้คือการสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ทุกคนต่างแหงนหน้ามองจักรพรรดิต้าสุย
ไม่มีสิ่งใดไม่รู้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้
แต่ว่า…หากไม่มีสิ่งใดไม่รู้จริงๆ จะมีกรมข่าวกรองไว้เพื่ออะไร หากไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้จริงๆ จะมีกรมผู้คุมกฎไว้เพื่ออะไร
กู้เชียนยืนในสายลมใบไม้ผลิ เขารู้สึกว่าคำถามนี้ของเสิ่นหลิงตามสายลมใบไม้ผลิเข้าไปในกระดูก
เสิ่นหลิงที่เอาสองมือกดกับกรามนั่งลึกลงในเก้าอี้ จ้องบุรุษหนุ่มที่ยืนริมหน้าต่างพลางพูดทีละคำ “แต่ว่า กู้เชียน เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะรู้ทุกอย่างจริงๆ หรือ”
…..
การวาดยันต์นั้นที่ซ่งอีเหรินต้องการใช้เวลาไม่มาก
หลังเตรียมพร้อมเสร็จ ยังเหลือเวลาอีกสองวันจากเจ็ดวัน หนิงอี้แจ้งกับนักพรตชุดคลุมหยาบสำนักเต๋าตอนโพล้เพล้ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เด็กสาวจูซากับ ‘เจ้าทุกข์’ ก็มาเยี่ยมเยือน
“ค่ายกลมารดาบุตรจากหลังเขาสู่ซาน” หนิงอี้ชงชาเสร็จก็ส่งยันต์ให้ซ่งอีเหริน ก่อนจะพูดขึ้น “สามารถข้ามจำกัดมิติ ฝ่าปราการได้ แต่ใช้นานไม่ได้ ยิ่งเป็นผนึกที่แกร่งมากเท่าไร การใช้ยันต์ก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น แต่เจ้าใช้แค่ครั้งเดียวเลยไม่มีปัญหาอะไร”
ซ่งอีเหรินรับยันต์มาก่อนพูดด้วยความตกใจเล็กน้อย “ยันต์เล็กๆ แค่นี้ก็พาข้าข้ามทั้งแดนทักษิณได้รึ”
“มันต่างกับยันต์หยกเคลื่อนย้ายพวกนั้น ยันต์นี้ใช้ต่อกรกับยอดค่ายกลของจวนขานฟ้าโดยเฉพาะ รอเจ้าไปแดนทักษิณ หาโอกาสเหมาะๆ ส่งแสงดาราเข้าไป ปลุกยันต์ เจ้าก็จะพาแม่นางจูซาแล้วก็องค์หญิงต้าสุยนั่นไปยังที่ที่บีบยันต์หยกแตกได้ ต่อให้มีคนเพิ่มไปอีกหน่อยก็ไม่มีปัญหา”
หนิงอี้มองซ่งอีเหรินพลางพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ค่ายกลของสามกรมมีช่องโหว่ ด้วยปัญหาทรัพยากรเลยซ่อมแซมไม่ได้ ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นโอกาสเหมาะ เจ้าจะช้าไม่ได้ ดึงเส้นผมเดียวจะลามไปทั้งตัวได้ ถ้าถูกจับกลับมา พวกเขาซ่อมแซมค่ายกล…เกรงว่าคงยากแล้ว”
ซ่งอีเหรินเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
“ก่อนหน้านี้ข้าไปที่ตำหนักกรสุทธิ์ นัดแนะกับหลี่ไป๋เถาง่ายๆ แล้ว” เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาเป่าทีหนึ่ง “หลังออกจากแดนทักษิณ จะไม่มีใครโผล่หน้ามาอีก ข้าจะฝึกบำเพ็ญที่เขาพิศุทธิ์นิรันดร์ ไม่ไปที่ใดทั้งนั้น นางจะไปตามหนุ่มน้อยของนาง ไม่ขายข้า ขอแค่ไม่มีใครพบ ข้ากับนางออกจากแดนทักษิณจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ใครบ้างจะรออยู่ในป่าเขาเช่นนั้น”
ซ่งอีเหรินพูดถึงตรงนี้ก็มองค้อน “ส่วนข้างนอกจะคิดอย่างไร ข้ากับหลี่ไป๋เถาหนีตามคนรักหรืออย่างไร ข้าได้เป็นแพะแทนหนุ่มน้อยนั่นแล้ว รอจากนี้ดูว่าเป็นเทพเซียนที่ใดกัน”
หนิงอี้ยิ้ม “ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน คนที่ทำให้องค์หญิงต้าสุยคิดถึงใจจะขาดได้เป็นเทพเซียนที่ใดกัน และยังรักจนโงหัวไม่ขึ้นอีก”
ซ่งอีเหรินยิ้มก่อนโบกมือ “ช่างเรื่องนี้เถอะ มาเอายันต์ก็พอ….”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองเผยฝานข้างหลังหนิงอี้ แล้วพูดอย่างมีความหมาย “รบกวนทั้งสองท่านด้วย”
หนิงอี้ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธ
“มีอยู่หลายเรื่อง ระดับความสำคัญไม่เท่ากัน พูดไปก็ยาว”
ซ่งอีเหรินดื่มชาอึกหนึ่ง พลันมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“ข้าหาคนที่จับตามองเจ้าพบแล้ว เจ้ากรมน้อยเสิ่นหลิงของกรมข่าวกรองต้าสุย ผู้ใต้บัญชาเขามีทูตผู้ถือคำสั่งสี่คน มีกำลังสามสิบคน”
หนิงอี้เอ่ยนาม ‘เสิ่นหลิง’
“กรมข่าวกรอง…ในเมืองหลวงต้าสุย ถึงขนาดที่กรมข่าวกรองมาตรวจสอบแล้วรึ” เด็กสาวที่นั่งข้างหนิงอี้ เอาสองมือถือถ้วยชาพูดด้วยความฉงนใจเล็กน้อย “กรมปราบปีศาจไม่สอดมือ ตามหลักแล้ว น่าจะเป็นกรมผู้คุมกฎรับผิดชอบเรื่องนี้สิ”
“ใช่”
ซ่งอีเหรินมองเผยฝานด้วยความชื่นชม เขาพูดเสียงเบาและจริงจัง “นี่ถือว่าเป็นการตรวจสอบประจำ สามกรมในเมืองหลวงมีอำนาจตรวจสอบประชากรต้าสุยที่ต้องสงสัยทุกคน เมืองหลวงเปิดกว้างต่อทุกคน ให้อภัยได้ทุกคน ขอแค่ไม่ทำผิดกฎต้าสุย บุญคุณความแค้นส่วนตัวหรือคลื่นลมฝนยุทธภาพ จะไม่ห้ามเจ้าเข้าเมืองหลวง หลายปีมานี้ คนมากเรื่องในยุทธภพต่างก็มาขอให้เมืองหลวงคุ้มครอง ความจริงแล้ว ขอแค่ผ่านการตรวจสอบจากสามกรม กฎต้าสุยก็จะปกป้องพวกเขา”
หนิงอี้พูดนิ่งๆ “พวกเขาเข้าเมืองหลวงได้ช่วงหนึ่งแล้ว”
“สามเดือนก่อน กรมผู้คุมกฎปิดคดีหนึ่งได้” ซ่งอีเหรินเล่าเรื่องราวทั้งหมด “คุณชายเฉินอี้ถือโอกาสช่วยเจ้าด้วย คนที่ได้ตามเจ้าลัทธิเข้าเมืองหลวง คนที่ได้อยู่จวนเจ้าลัทธิ แน่นอนว่าไม่ถูกตรวจสอบ”
“ตอนนี้คดีนี้ถูกขุดมาอีกครั้ง องค์ชายรองเหมือนอยากจะตรวจสอบความจริงของจวนเขาคราม แต่กรมผู้คุมกฎปิดคดีแล้ว ดังนั้นถึงได้ใช้กรมข่าวกรอง” ซ่งอีเหรินพูดด้วยความจนปัญญานิดๆ “นี่ไม่ถือว่าข้ามหน้าข้ามตา สามกรมมีฐานะเท่าเทียมกัน หลี่ไป๋จิงจะตรวจสอบ กรมผู้คุมกฎก็ทำอะไรไม่ได้”
เผยฝานก้มหน้าลงเงียบๆ
“ความจริงนี่ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ยากเลย”
ซ่งอีเหรินเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าพูดกับแดนบูรพาแล้ว เรื่องที่แดนบูรพาขุดคดีขึ้นมาอีกครั้งจะเงียบลงอย่างรวดเร็ว กรมข่าวกรองจะไม่มีอำนาจเข้ามาตรวจสอบอีก…แต่เรื่องที่องค์ชายรองขุดคดีขึ้นมาอีกครั้งสะเทือนไปถึงในวัง ตอนนี้ต้องดูว่าเรื่องนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร ไม่ใช่แดนบูรพา แต่เป็นในวัง”
หนิงอี้ขยับไปข้างหลังเงียบๆ แผ่นหลังชิดกับต้นครามหมื่นปีของสวีจั้งบนผนังหินจวน ใบหน้าขยับไปตามสายลม
“สี่สำนักศึกษาอยู่ในเมืองหลวง อยู่ใต้เท้าบุตรสวรรค์”
“จวนขานฟ้าเป็นผู้นำสี่สำนักศึกษา การลอบโจมตีครั้งนั้นที่จวนเขาคราม บอกว่าใหญ่ก็ไม่ บอกว่าเล็กก็ไม่ กลัวก็แต่จะทำให้บางคนเกิดความสนใจขึ้น” ซ่งอีเหรินมองหนิงอี้ “พระสนมแห่งตำหนักกรสุทธิ์บอกข้าว่าคดีนี้ ตอนนี้มีปัญหาเดียว”
“ในวังไม่สนใจว่าคนนั้นที่ทำร้ายคุณชายครามเป็นใคร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้จะทวงความยุติธรรมให้คุณชายคราม…พวกเขาสนใจว่าใครกันที่หลุดรอดไปจากไข่มุกเชื่อมฟ้าของเมืองหลวงได้”
ภายในจวนขุนนางรองท่องกระบี่เงียบลงไปชั่วขณะ
หนิงอี้พูดทีละคำ “ไม่มีความลับในเมืองหลวง”
“ใช่”
ซ่งอีเหรินพูดซ้ำอีกครั้ง “ไม่มีความลับในเมืองหลวง แต่จวนเขาครามเป็นข้อยกเว้น”
ซ่งอีเหรินที่นั่งบนเก้าอี้กลองเอวเลียนแบบท่าทางของหนิงอี้ พิงไปข้างหลัง จูซานั่งหลังเขาอยู่ตลอด ซ่งอีเหรินพิงกับความนุ่มนิ่มอย่างสบายใจ ถอนหายใจสบาย
ดังนั้นคนแซ่ซ่งที่โดนฟาดหลังศีรษะบวมเป็นลูกเกาลัดจึงเหยียดหลังตรงไปข้างหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งเรียบร้อย
เขามองหนิงอี้ “ไม่ต้องขอบคุณข้า…ข้าให้ความลับของจวนเขาครามไม่ใช่ความลับอีกต่อไป”
หนิงอี้กับเด็กสาวงุนงงนิดๆ
ซ่งอีเหรินกระแอมไอทีหนึ่งก่อนจะยื่นมือมาข้างหนึ่ง เคาะโต๊ะเบาๆ “ราวๆ…พรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืน กรมข่าวกรองจะเลิกตรวจสอบเจ้า ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีอำนาจแล้ว ในวังได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ แดนบูรพาก็เลือกวางมือ”
“มีแต่คนบอกว่าไม่มีความลับในเมืองหลวง นี่ก็เพื่อสรรเสริญว่าฝ่าบาทต้าสุยทรงรู้ทุกอย่าง ปัญหาคือ มีใครรู้ทุกอย่างจริงบ้าง คนนั้นคือฝ่าบาทจริงหรือ เปลี่ยนคำถามดู…ใครบ้างไม่มีความลับ”
ซ่งอีเหรินมองหนิงอี้กับเด็กสาวพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามี นางมี ข้าก็มีเช่นกัน”