เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 174 หุบเขานิรันดร์
ตอนที่ 174 หุบเขานิรันดร์
“เรื่องที่สอง หุบเขานิรันดร์จะเปิดแล้ว”
ภายในจวน ซ่งอีเหรินถือถ้วยชา ตอนที่เขาพูดถึงหุบเขานิรันดร์ก็มีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย นัยน์ตามีความจริงจังสามส่วน ก่อนจะพูดอย่างเสียดายนิดๆ “หากไม่ใช่เพราะเวลาเร่งด่วนเกินไป ความจริงข้าก็อยากไปหุบเขานิรันดร์เช่นกัน”
ภายในเมืองหลวงมีเขตต้องห้ามอยู่ อย่างเช่นส่วนลึกตำหนักจักรพรรดิ อย่างเช่นแดนลับที่ไม่เปิดง่ายๆ บางอย่าง พูดไปก็ลี้ลับ แดนลับพวกนี้ความจริงคล้ายๆ กับเขตต้องห้ามของเขาศักดิ์สิทธิ์ บ้างไม่เปิดให้คนนอกเพราะความอันตราย บ้างเพราะล้ำค่าเกินไป เวลาส่วนใหญ่จึงอยู่ในการบำรุงรักษา
“หุบเขานิรันดร์เป็นแดนลับที่เปิดน้อยที่สุดในเมืองหลวง แม่น้ำวายุแดงมีผู้มีอิทธิพลเฝ้า เป็นรากฐานก่อตั้งอาณาจักรร้อยปีพันปีมานี้ของต้าสุย มีดวงชะตาไหลเวียน ฝังรากลึก เปิดให้รุ่นเยาว์น้อยมาก หากมีพลังบำเพ็ญมากพอก็จะเข้าออกหุบเขานิรันดร์ได้ตามใจ”
หุบเขานิรันดร์คืออะไร
เป็นเขาลูกหนึ่ง เป็นเขาสูงมาก ถูกค่ายกลปกคลุม มีหมอกตลอดปี คนนอกเข้าไปไม่ได้ อยู่นอกเมืองหลวงแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตไข่มุกเชื่อมฟ้า ติดกับเมืองหลวงเหมือนกับเขาลั่วเจีย มีกฎเกณฑ์ต้าสุยที่เข้มงวดที่สุดวนเวียนไม่ขาดสาย
“ราชาสวรรค์ซ่งไม่เคยพาเจ้าไปรึ” หนิงอี้พูดด้วยความแปลกใจ
“ไม่” ซ่งอีเหรินส่ายหน้า
“ได้ยินว่าในหุบเขานิรันดร์มีโชควาสนา โชคลิขิต ดวงชะตา ของที่คนมากมายต้องการ…แต่กฎของต้าสุยก็เป็นเช่นนี้ ค่ายกลที่ปกคลุมหุบเขานิรันดร์ไม่ถือว่าเท่าไร แต่คนนั้นที่เฝ้าหุบเขานิรันดร์มีพลังบำเพ็ญแข็งแกร่งยิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเท่าไร ค่อนข้างลึกลับเลย อย่างน้อยก็เป็นราชันดาราที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดัง กระทั่งเป็นวัตถุโบราณเกือบครึ่งก้าวนิพพาน…ท่านพ่อท่านแม่ข้าเข้าไปได้แน่ แต่พาข้าไปไม่ได้”
ซ่งอีเหรินพูดด้วยความจนปัญญานิดๆ “เมื่อหุบเขานิรันดร์เปิด เจ้าน่าจะรู้ว่าหมายถึงอะไร”
หนิงอี้กำหมัดเงียบๆ “อัจฉริยะเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นจะออกมารึ”
“ใช่” ซ่งอีเหรินพูดอย่างจริงจัง “กายวิญญาณอมตะแห่งเขาศิลาเต่า เมถุนแห่งเขาล่องโอฬาร เซียนกระบี่น้อยแห่งเขาเชียง อัจฉริยะพวกนั้นแห่งเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา ได้ยินว่ารวมตัวกันมา อีกไม่นานจะถึงเมืองหลวง นอกจากพวกเขา เล่าลือว่าแดนประจิมยังมีศิษย์น่าภูมิใจของตำหนักทะเลสาบกระบี่ ได้รับขนานนามว่าไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ด…ไม่ว่าอย่างไร เจ้าต้องระวังให้มากขึ้น ตำแหน่งอันดับหนึ่งรายนามดาราไม่ใช่จะนั่งกันได้ง่ายๆ”
หนิงอี้พยักหน้าก่อนพูดนิ่งๆ “อืม”
เขานิ่งไปก่อนพูดด้วยความสงสัย “ในหุบเขานิรันดร์มีอะไร เงียบเหงาในเมืองหลวงครึ่งปีกว่า หุบเขานิรันดร์ยังไม่เปิด พวกเขาก็จะมาแล้วรึ หรือเพราะงานราชวงศ์ใหญ่”
“นับว่าใช่” ซ่งอีเหรินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายหยวนฉุนอยู่หอบัว ทำนายดวงชะตาต้าสุย กุมมังกรจับกิเลน การจัดงานราชวงศ์ใหญ่ทุกครั้งมีเวลาไม่แน่นอน ไม่มีกฎตายตัว แต่มีอย่างหนึ่งมั่นใจได้ งานราชวงศ์ใหญ่เริ่มขึ้นก็หมายความว่าดวงชะตาของต้าสุยเราจะพุ่งขึ้นสูงสุด หลายปีมานี้ ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ต่างได้ข่าวว่างานราชวงศ์ใหญ่จะเริ่มขึ้นแล้ว”
“ตอนนี้หุบเขานิรันดร์เปิดก่อนก็ถือว่าเป็นลางบอกเหตุอย่างหนึ่ง” ซ่งอีเหรินเอ่ยขึ้น “ทุกคนทยอยกันเข้ามา ก็อยู่ในเหตุผลและความรู้สึก เกรงว่านอกจากเซียนจุติลั่วฉางเซิงแล้ว ยังไม่มีใครมีคุณสมบัติดูถูกโชควาสนาในหุบเขานิรันดร์ได้กระมัง”
หนิงอี้ยิ้มก่อนพูดเสียงเบา “มันก็ไม่แน่”
แม้เขาจะยังไม่รู้ว่าในหุบเขานิรันดร์มีอะไร แต่ยัยเด็กนั่นดูถูกแน่ๆ…
ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้ยัยเด็กนั่นจะสนใจขึ้นมา นางถามอย่างจริงจัง “หุบเขานิรันดร์มีอะไรหรือ”
ซ่งอีเหรินก้มหน้าลง พูดช้าๆ “นี่ไม่ใช่ความลับอะไร เมื่อก่อนข้าก็เคยถามท่านพ่อท่านแม่ ทั้งหุบเขานิรันดร์ไม่ใช่แค่ภูเขา แต่ส่วนที่เปิดให้รุ่นเยาว์มีแค่นั้น”
“หุบเขานิรันดร์เป็นภูเขาที่สูงมาก บนเขามีศิลาหินอยู่มากมาย ในทุกศิลาหินจะซ่อน ‘เจตนารมณ์’ ไว้” ซ่งอีเหรินพลันนั่งตัวตรง วางดาบยาวสั้นสามเล่มไว้บนโต๊ะ มือข้างหนึ่งกดตรงกลางฝักดาบ นั่งเรียบร้อย พูดอย่างจริงจังและเคร่งขรึม “ปกติแล้ว ยอดฝีมือขอบเขตนิพพานหลังทะลวงพลังจะถูกเชิญไปหุบเขานิรันดร์ อีกทั้งยังฝากเจตนารมณ์บำเพ็ญของตนไว้ในศิลาใหม่ในหุบเขานิรันดร์ ศิลาหินจำนวนมากบนหุบเขานิรันดร์ก็ผ่านลมฝนชะล้างจนมาถึงตอนนี้”
“ข้าได้ยินซ่งเชวี่ยบอกว่ามีราชันดาราระดับสูงบางคนถูกเชิญเข้าไปในหุบเขานิรันดร์ อย่างเช่นราชันดาราพันกรที่มีความสามารถสัมผัสถึงระดับสูงสุด ก็เข้าหุบเขานิรันดร์ได้ ฝากศิลาหินสร้างความผาสุกให้ชนรุ่นหลัง ผู้อาวุโสซูมู่เจอแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ก่อนนิพพานก็มีสิทธิ์ได้เข้าหุบเขานิรันดร์ และยังมีจูโฮ่วแห่งจวนขานฟ้า ความจริงราชันดาราใต้ฟ้าต้าสุยตอนนี้บอกว่าเยอะก็ไม่ บอกว่าน้อยก็ไม่ การจะเข้าหุบเขานิรันดร์ไม่ใช่แค่ต้องมีพลังบำเพ็ญสุดยอด แต่ในอกต้องมี ‘พลังที่ยิ่งใหญ่’”
“พลังที่ยิ่งใหญ่รึ” หนิงอี้งุนงงเล็กน้อย
“ใต้ฟ้าต้าสุยมีสิ่งอัศจรรย์ทุกอย่าง หุบเขานิรันดร์ฝากไว้ให้ชนรุ่นหลังตระหนักรู้ ยืมดวงชะตา ด้วยพลังบำเพ็ญของคุณชายน้ำค้างหานเยวียแห่งแดนบูรพาต้องมีสิทธิ์ได้เข้าหุบเขานิรันดร์แน่นอน แต่หากเขาฝากศิลาหิน สลักวิชาชั่วร้ายวิถีมาร จะไม่เป็นการทำลายดวงชะตาอาณาจักรต้าสุยหรือ”
ซ่งอีเหรินยิ้มก่อนพูดเสียงเบา “วิถีมารนอกรีตยากจะไต่ขึ้นโถงแห่งความยิ่งใหญ่ จากสถานการณ์ราชวงศ์ปัจจุบัน ถึงจะยอมให้เขาเป็นราชาขุนเขาแดนบูรพาได้ แต่ไม่ยอมให้เขามาเมืองหลวง เข้าหุบเขานิรันดร์สร้างชื่อเสียงเป็นร้อยปีแน่”
หนิงอี้ยิ้มเช่นกัน
“ไม่ใช่แค่ฝากศิลาไม่ได้ แม้แต่ก้าวเข้าหุบเขานิรันดร์ยังไม่ได้” ซ่งอีเหรินใช้นิ้วมือเคาะฝักดาบช้าๆ “ตามหลักแล้ว เขาไม่วางศิลาก็ได้รับอนุญาตเข้าไปได้ ไปศึกษาเล็กๆ น้อยๆ”
“หานเยวียก็เคยร้องขอมาแล้ว แต่ถูกปฏิเสธ” ซ่งอีเหรินหรี่ตาลง พูดงึมงำ “หานเยวียกลับมาจากโลกเทาก็รวบแดนบูรพาด้วยกลอุบายเด็ดขาด เขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพามากมายไม่กล้าต่อต้าน ช่วงที่เขากำลังฮึกเหิมเร่าร้อนนั้นก็ได้ยืนอยู่ใต้โลกสว่างจ้ามองเห็นอะไรชัดเจนแล้ว หานเยวียที่ยืนอยู่จุดสูงสุดถือโคมไฟมาเยือนคนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ ภายใต้กฎเหล็กต้าสุย ได้ทำการเดิมพันกับคนเฝ้าหุบเขา หากชนะ ก็จะฝ่าฝืนกฎให้เขาเข้าหุบเขานิรันดร์ได้ ดูว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ไม่ฝากศิลา”
“จากนั้นล่ะ” หนิงอี้มีสีหน้าแปลกใจเสี้ยวหนึ่ง
“จากนั้นหานเยวียก็แพ้ แพ้อย่างหมดรูป แพ้แบบไม่มีคำจะกล่าวได้ ได้ยินว่าหลอดแก้วแทบจะถูกคนเฝ้าหุบเขาทุบแตก” ซ่งอีเหรินหัวเราะ เขายิ้มตาหยี “เจ้าน่าจะรู้ว่าหานเยวียเป็นปีศาจ ไม่มีทางเดิมพันกับคนที่แกร่งกว่าตนขั้นหนึ่งอย่างชัดเจนแน่นอน”
หนิงอี้พยักหน้า เขาได้สัมผัสในจุดนี้มาอย่างลึกซึ้งแล้ว
หานเยวียเป็นสัตว์ประหลาดอาวุโส ยินดีเดิมพันกับคนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ นั่นหมายความว่าในสายตาเขา สองคนอยู่ระดับเดียวกัน มีกำลังรบราชันดาราสูงสุดเหมือนกัน อีกทั้งเขายังมีโอกาสชนะค่อนข้างมาก…คิดๆ ดูแล้ว สังหารปีศาจกลับจากโลกเทา กวาดล้างแดนบูรพา จะต้องมีพลังบำเพ็ญราชันดาราถึงจุดสูงสุดแน่นอน ใครจะไปคิดว่าตนจะแพ้ให้กับคนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ยับเยินเช่นนี้
“น้ำในเมืองหลวงลึกไม่อาจคาดเดา” หนิงอี้พูดพึมพำ เขานึกถึงสีหน้าหานเยวียตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมชานเมือง เห็นๆ ว่าเป็นอันดับหนึ่งแดนบูรพา แต่ก็ยังระมัดระวังเช่นนั้น ที่แท้ก็เคยเสียเปรียบหนักในหุบเขานิรันดร์ จำไปจนวันตาย รู้ว่าที่นี่มียอดฝีมือที่แท้จริงซ่อนอยู่ ไม่กล้าอวดดีเกินไป
“ใช่”
บุรุษอ่อนโยนตรงข้ามโต๊ะพูดด้วยรอยยิ้ม “กลับมาเข้าประเด็นกันดีกว่า แม้แต่หานเยวียยังต้องการโชควาสนาในหุบเขานิรันดร์ เจ้าคิดดูว่าจะเป็นโชควาสนายิ่งใหญ่เพียงใด”
หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“ไม่ว่าจะนักกระบี่หรือนักดาบ ฝึกอาวุธใดก็หาศิลาที่ผู้อาวุโสตนฝากไว้ได้ ในศิลาหินพวกนั้นแฝง ‘เจตนารมณ์’ ไว้ มีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญอย่างมาก” ซ่งอีเหรินเอ่ยนิ่งๆ “ขอบเขตที่หนึ่งของนักกระบี่เท่ากับขอบเขตแรกของพลังบำเพ็ญช่วงหลัง ขอบเขตที่สามของนักกระบี่เท่ากับขอบเขตที่เก้า หากเดินสายนักกระบี่ที่บริสุทธิ์ที่สุด กำลังรบจะน่ากลัวยิ่ง แต่ก็ยากจะพัฒนาไปได้เช่นกัน”
หนิงอี้สบตากับเด็กสาว ต่างเห็นความคิดกันและกัน
เห็นได้ชัดว่าเส้นทางนักกระบี่กับเส้นทางนักดาบ เส้นทางแห่งท่วงทำนองที่บริสุทธิ์พวกนั้น ทุกก้าวจะยากยิ่ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้มาไม่มีอะไรเทียบได้ นี่เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญใต้ฟ้าต้าสุยยอมรับ
“ศิลาหินในหุบเขานิรันดร์ เจตนารมณ์ที่แฝงอยู่ทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งหลายพันปีหลายหมื่นปีมานี้ของต้าสุยส่งต่อมา เป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุด”
“หากใส่จิตใจลงไปในนั้น ดึงแก่นสำคัญออกมา นักกระบี่โบราณพวกนั้น บางคนถึงขั้นไปถึงนักกระบี่ขอบเขตที่สิบ ตระหนักรู้ในพลังบำเพ็ญวิถีกระบี่ ได้ประโยชน์อย่างมาก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซ่งอีเหรินชะงักไป ก่อนจะมองหนิงอี้ “หนิงอี้ ข้ารู้ว่าเจ้าผูกชะตากับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวและเคียงกระบี่ท่านนั้น มองไปในสองพันปี เคียงกระบี่ก็เป็นนักกระบี่ที่แกร่งที่สุด เขาได้ฝากเจตจำนงกระบี่ไว้ให้เจ้าหรือไม่”
หนิงอี้จนปัญญานิดๆ พูดด้วยความเสียดาย “เปล่า…ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ได้ฝากมรดกปราณกระบี่ไว้ให้สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเลย”
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ” นัยน์ตาซ่งอีเหรินฉายประกายเสียดายเช่นกัน “หากเคียงกระบี่ฝากเจตจำนงกระบี่ให้เจ้า ขอบเขตปราณกระบี่ของเจ้าจะสูงขึ้นไปอีกขั้น”
“นี่เป็นเหตุผลที่อัจฉริยะเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นมาเมืองหลวง”
“เมื่อหุบเขานิรันดร์เปิด ลมและฝนจะถาโถมเข้ามา” ซ่งอีเหรินพูดปลงเสียงเบา “ถึงบอกว่าหุบเขานิรันดร์จะเปิด แต่ได้ยินว่าคนเฝ้าตรงตีนเขามีนิสัยแปลกๆ จะเข้าหุบเขานิรันดร์ไม่ง่ายขนาดนั้น…แน่นอน สำหรับเจ้า ข้าและบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นแล้ว การเข้าหุบเขานิรันดร์เป็นเพียงเรื่องเล็ก ทุกครั้งที่หุบเขานิรันดร์เปิด กฎจะต่างออกไป เพียงแต่ครั้งนี้ ข้ารอไม่ไหว”
หนิงอี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “เจ้าจะไปแล้วรึ”
“นี่ก็สายแล้ว” ซ่งอีเหรินลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามตัว ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีข้าจะออกจากเมืองหลวงในอีกสองวัน ไปแดนทักษิณ เอาดาบฟันคนน่ารำคาญกับเรื่องกวนใจพวกนั้นให้ขาดเป็นสองส่วนในดาบเดียว ไม่มีเรื่องให้พะวงใจถึงจะไร้ความปรารถนาได้”
หนิงอี้ก็ยืนขึ้นเช่นกัน มองซ่งอีเหรินนำดาบยาวสั้นสามเล่มห้อยไว้ตรงเอวตามเดิม
“ให้ข้าไปส่งเจ้าหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก เมืองหลวงทางสั้น แดนทักษิณทางยาว แม่น้ำภูเขาห่างไกล ไม่ช้าก็เร็วต้องได้พบกันอีก” ซ่งอีเหรินเลิกคิ้วขึ้น พูดพลางหัวเราะเสียงดัง “หนิงอี้ กรมข่าวกรองยังไม่เลิกจับตามอง ช่วงนี้ก็อยู่ในจวนไปก่อนเถอะ”
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูดอย่างจริงจัง “อืม”
“ข้าจะรอข่าวดีในเมืองหลวงไปถึงเขาพิศุทธิ์นิรันดร์” ซ่งอีเหรินตบบ่าหนิงอี้ พูดยิ้มๆ “ผู้บำเพ็ญอายุยืนนาน เจ้ากับข้าถูกลิขิตไว้ว่าต้องเดินไปยังที่ที่สูงมาก ถึงตอนนั้นจะมองทิวทัศน์บนเขาด้วยกัน”
จูซาข้างซ่งอีเหรินหน้าเปลี่ยนสีไป คนนอกไม่เข้าใจ แต่นางรู้แก่ใจดี สำหรับคุณชายของตน คำพูดนี้เป็นคำยกย่องสูงส่งเพียงใด
นี่คือความมั่นใจว่าเด็กหนุ่มนามหนิงอี้คนนี้จะเดินไปถึงก้าวนั้นที่เป็นปลายทางหรือ