เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 176 เราคือดวงตาของฝ่าบาท
ตอนที่ 176 เราคือดวงตาของฝ่าบาท
คุณชายครามยืนอยู่ริมน้ำพุร้อนตามังกร เขามองส่งผู้คุมกฎชุดคลุมแดงออกจากจวนของตน
ช่วงที่ประตูใหญ่จะปิดลง มีมือข้างหนึ่งกดด้านหนึ่งของประตูไม้เบาๆ
ดังนั้นประตูใหญ่ของจวนจึงเกิดเป็นเส้นตรงสายหนึ่ง
“ได้ยินชื่อเสียงของสี่สำนักศึกษาเมืองหลวงมานาน ไร้วาสนาได้พบมาตลอด ได้ยินว่าจวนขานฟ้าเป็นผู้นำสี่สำนักศึกษา เหตุใด…ถึงทรุดโทรมเช่นนี้”
คนที่ผลักประตูใหญ่จวนเขาครามเป็นบุรุษสวมชุดคลุมยาวลายเต่า เขาสวมหน้ากากดุร้ายสีขาวเงิน มองเห็นใบหน้าแท้จริงไม่ชัด
ชุดคลุมยาวถูกสายลมเบาพัด อาภรณ์แกว่งไกว
“ข้ามาจากแดนบูรพา…” บุรุษสวมหน้ากากเงินยิ้ม “ภูเขาศิลาเต่า หลิงสวิน”
คุณชายครามหรี่ตาลง วางมือที่ชั้นวางกระบี่ไม้ข้างกายอีกครั้ง
ผู้มามีเจตนาไม่ดี ผู้มีเจตนาดีไม่มา
“ข้าปิดด่านบำเพ็ญที่เขาศิลาเต่ามานานมาก กระดูกจะขึ้นสนิมแล้ว กว่าจะออกจากเขามาไม่ใช่ง่ายๆ มาเมืองหลวงพร้อมกับสัตว์ประหลาดสามคนนั่น คุยกันว่าจะหาที่ขยับแข้งขยับขาสักหน่อย ไม่ต้องกังวล…ที่นี่มีข้าคนเดียว”
หลิงสวินแสยะปากยิ้ม “หุบเขานิรันดร์จะเปิดแล้ว เลยถือโอกาสมาเมืองหลวงด้วย อยากมาทำความรู้จักโดยเฉพาะ ว่าคุณชายใหญ่สำนักศึกษาที่ว่าจะคู่ควรกับนามนี้หรือไม่”
คุณชายครามมีใบหน้าไร้ความรู้สึก มือข้างหนึ่งกดลง ทั้งชั้นวางกระบี่พลันแตกกระจาย เศษไม้กระเด็น กระบี่ยาวสามเล่มที่แขวนบนชั้นวางกระบี่เข้ามาในมือเขา
กระบี่ยาวฝักดำนั้นที่ชักมาก่อนหน้านี้ เขาใช้อีกมือกดตรงหัวกระบี่ลงกับพื้น
ปราณกระบี่พุ่งออกมา
คุณชายครามปักกระบี่ยาวสามเล่มลงพื้นทีละเล่ม ฝักกระบี่ลงดินครึ่งหนึ่งเหมือนจุดธูป ปราณกระบี่แผ่กระจายเหมือนควัน ตรงกับตำแหน่งสี่ทิศพอดี
เพื่อเลี่ยงไม่ให้ทำลายข้าวของอื่นในจวน ปราณกระบี่พวกนี้ห่อหุ้มสองคน ขีดวงกลมจำกัดไว้ในระยะสามจั้ง
เขาเอ่ยอย่างเฉยชา “เข้ามา!”
ชุดคลุมยาวลายเต่าของหลิงสวินถูกปราณกระบี่พัดกระพือไปข้างหลัง ฝ่าเท้าเขามั่นคงแน่นิ่ง ดวงตาใต้หน้ากากจากมืดเป็นสว่างขึ้น
“ดี ดีมาก”
…….
“เจ้าว่าอะไรนะ”
เสิ่นหลิงลุกขึ้น สองมือวางบนโต๊ะ กดพลังของตนไม่ให้หลั่งไหลออกมา ไม่อย่างนั้นโต๊ะนี้คงพังลงทันที แต่กระดาษ ม้วนเอกสารรอบข้างก็ยังถูกพลังไร้รูปพัดกระจาย
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงยืนอยู่หน้าเสิ่นหลิง หนึ่งในนั้นหยิบกระดาษแดงขึ้นมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ยังเว้นระยะห่างที่เหมาะสม มั่นใจได้ว่าเสิ่นหลิงเห็นอักษรในกระดาษ และยังมั่นใจได้ว่าเสิ่นหลิงจะไม่โกรธมากเกินไปจนทำสิ่งที่เขาต้องเสียใจภายหลัง
“คดีจวนเขาครามจบลงแล้ว” ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก “รอยนิ้วมือของคุณชายคราม นี่เป็นรอยนิ้วมือของเจ้าทุกข์ ไม่ว่าบทสรุปเป็นอย่างไรก็ผ่านไปแล้ว”
“เจี่ยนอี ปรมาจารย์ค่ายกลของจวนขานฟ้าเองรึ เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรกัน” เสิ่นหลิงเงยหน้าขึ้น สบตาผู้คุมกฎชุดคลุมแดงอย่างแข็งกร้าว เขาพูดเสียงดัง “เอาคดีต้องโทษประหารไปแล้วมาเป็นแพะรับบาปในคดีจวนเขาครามรึ นี่คือความยุติธรรมของกฎหมายต้าสุยหรือ”
ภายในห้องเงียบลง
“พวกเราปฏิบัติตามกฎหมาย” ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเอ่ยต่อ “อีกอย่าง…ท่านเสิ่นหลิง ความยุติธรรมที่ต้องการเกรงว่าคงไม่ใช่ความยุติธรรมที่แท้จริงกระมัง”
เสิ่นหลิงหรี่ตาลง เอ่ยทีละคำ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“กรมผู้คุมกฎตรวจสอบท่านเสิ่นหลิงแล้ว ถิ่นกำเนิดของท่านเสิ่นหลิง และยังมีการตรวจสอบเกินอำนาจในครั้งนี้ มีข้อสงสัยมากมาย พวกเราสงสัยเป้าหมายแท้จริงของท่านเสิ่นหลิง” ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเอ่ยนิ่งๆ “หวังว่าเราจะได้พบกันอีก”
“พวกเจ้ากำลังขู่ข้ารึ” เสิ่นหลิงยิ้ม จู่ๆ ก็ระงับโทสะลง แต่รู้สึกไร้สาระนิดๆ เสียงเบาสบาย เอ่ยช้ายิ่ง “พวกเจ้าหยิบยกเอกสารทั้งหมดออกมา พวกเจ้าไปหาท่านอวิ๋นสวินที่อยู่เหนือข้า ไปยกเอกสารของข้ามาจากเจ้ากรมใหญ่กรมข่าวกรอง แกะมาทีละคำ ลงโทษข้าตามกฎต้าสุย ถ้าหาเจอแม้แต่นิดเดียว ข้าจะถวายหัวข้าให้ด้วยสองมือ!”
คำพูดนี้ตอนแรกพูดช้ามาก ต่อมาก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ตะโกนเสียงดังอีกครั้ง
จวนกรมข่าวกรองอิสระแห่งนี้ หลังผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเข้ามาก็แปะยันต์กั้นเสียง ดังนั้นเสียงโมโหนี้จึงไม่ดังออกไป
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น “เราจะทำ”
“แต่หากพวกเจ้าตรวจไม่เจอล่ะ” เสิ่นหลิงพลันเอาหน้าเข้าไปใกล้ เขาจ้องผู้คุมกฎชุดคลุมแดงพลางพูดอย่างเหี้ยมโหด “สามกรมมีฐานะเท่าเทียมกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังขู่ใคร ข้าสร้างความดีให้กับต้าสุยมาหลายปี มากพอจะออกจากเมืองหลวงไปเป็นเจ้ากรมใหญ่ของสาขารองกรมข่าวกรองแล้ว รู้หรือไม่”
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงถอนหายใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำหน้าจนปัญญา กรมผู้คุมกฎไม่มีรูให้เข้า ข้าราชการส่วนใหญ่ในเมืองหลวงมีความผิดบ้างมากบ้างน้อย แต่เสิ่นหลิงเป็นข้อยกเว้นจริงๆ
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงพูดเสียงเบา “เบื้องบนไม่อยากให้ท่านสอดมือกับเรื่องนี้ กระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว คุณความดีในคดีนี้จะยกให้กับท่าน เป็นการช่วยให้ท่านได้เลื่อนขั้นหลังจากนี้”
“ยกคุณความดีคดีนี้ให้กับข้ารึ” เสิ่นหลิงพลันหัวเราะ เขามองผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “นี่เป็นคดีถูกใส่ความ เจี่ยนอีตายไปแล้วยังถูกพวกเจ้าลากออกมาใส่ความแอบปรับแก้ค่ายกล เป็นแพะรับบาปของจวนเขาคราม หากวันใดคดีพลิกคำตัดสิน ความผิดจะตกอยู่ที่ใคร พวกเจ้าชอบถ่ายเบาถ่ายหนักเรี่ยราดบนถนน และยังชอบคว่ำชามอุจจาระใส่หัวคนอื่นอีกหรือ เจ้าคิดว่านี่เป็นบุญคุณรึ”
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเงียบ
เขาดึงกระดาษแดงกลับ ก่อนพูดตรงไปตรงมา
“ท่านจะตรวจสอบขุนนางรองท่องกระบี่หนิงอี้ ในวังอยากให้ท่านหยุดมือเท่านี้”
คำพูดนี้ทำให้เสิ่นหลิงเงียบลง
เขาย่อยความหมายแฝงเล็กน้อยในคำพูด ความจริงเขาไม่ได้จะตรวจสอบหนิงอี้ แต่เป็นเด็กสาวข้างกายหนิงอี้ เด็กสาวแซ่เผยคนนั้น
เมื่อหลายปีก่อน ค่ำคืนโลหิตเมืองหลวง ตระกูลเผยทุกคนตายในคืนนั้น ไม่มีทางมีใครรอดไปได้ แต่ว่า…ทุกอย่างมีข้อยกเว้น เกิดเด็กสาวที่ชื่อเผยฝานคนนั้นเป็นข้อยกเว้นล่ะ
เสิ่นหลิงรับทำคดีจนมาถึงตอนนี้ด้วยตัวเอง สิ่งที่ตรวจเจอมีจำกัด เรื่องในตอนนั้นถูกปิดผนึกแล้ว เกี่ยวกับตระกูลเผย เกี่ยวกับการหมั้นหมายนั้นขององค์ชายสามในคำเล่าลือ ส่วนใหญ่เป็นข่าวลือตามท้องถนน ยิ่งกระจายยิ่งจางลง นับวันยิ่งเลื่อนลอยว่างเปล่า หาความจริงไม่ได้
เขาไม่มีหลักฐาน แต่เขาคิดว่าไม่ช้าก็เร็วตนจะต้องเจอหลักฐาน
เสิ่นหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูดอย่างจริงจัง “เรื่องนี้เป็นคำสั่งขององค์ชายรอง ข้าไม่ได้ตรวจสอบหนิงอี้…ข้าอยากตรวจสอบเด็กสาวนั่นข้างกายเขา”
นามขององค์ชายรองไม่ได้ทำให้ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงตกใจ
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงพูดราบเรียบ “องค์ชายรองไปแล้ว เรื่องมากมายในเมืองหลวงไม่ใช่สิ่งที่ควรอยากรู้อยากเห็น ท่านเสิ่นหลิงอย่าอยากรู้เลยจะดีกว่า รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี ท่านน่าจะเข้าใจมากกว่าพวกเรา หนิงอี้ก็ดี เด็กสาวแซ่เผยนั่นก็ดี จากนี้ท่านเสิ่นหลิงอย่าสอดมืออีก”
เสิ่นหลิงเงียบ เขานั่งกลับไปบนเก้าอี้ มองผู้คุมกฎชุดคลุมแดงที่มีใบหน้าไร้ความรู้สึกหลายคนนั้นผ่านโต๊ะ
เหมือนอยู่คนละโลก
“รบกวนท่านเรียกนักสืบพวกนั้นของกรมข่าวกรองกลับด้วย” ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงนำกระดาษเหลืองราชการออกมาจากอกเสื้อ ก้มตัวลง “เอกสารของเรื่องนี้จะมีกรมผู้คุมกฎส่งไป”
เสิ่นหลิงไม่ได้ถือพู่กัน และไม่ได้เขียนชื่อบนกระดาษเหลือง
“เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนารมณ์ของผู้มีอำนาจมากมายกำลังประชันกัน ได้ยินว่าผู้สูงส่งแซ่ซ่งคนหนึ่งมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่มาก สนทนากับพระสนมแดนทักษิณในตำหนักกรสุทธิ์ จากนั้นก็มีการประกาศคดีลึกลับจวนเขาคราม”
เสิ่นหลิงนั่งบนเก้าอี้ เขาเอ่ยมาทีละประโยคอย่างเฉยชาและเนิบนาบ
“ไม่ว่าจะเจี่ยนอีหรือเจี่ยนเอ้อ ขอแค่พระสนมแห่งตำหนักกรสุทธิ์ยินดีก็จะหาเจี่ยนซานได้ เจี่ยนซื่อกระทั่งเจี่ยนอีไป่ได้ แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว”
“คดีลึกลับจวนเขาคราม ประเด็นสำคัญไม่ขึ้นอยู่กับว่าใครไขคดีนั้น แต่ขึ้นอยู่ที่เราสงสัยในตัวเด็กสาวแซ่เผยจริงๆ เราต้องตรวจสอบความผิดของนาง แต่กลับว่างเปล่า สุดท้ายก็หาปรมาจารย์ค่ายกลนั้นพบ แต่ก็ยังไม่เจอความผิดของเด็กสาวแซ่เผย”
หลังเงียบไปชั่วขณะ
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงไม่มีสีหน้าโอนอ่อนอีก แต่เย็นยะเยือก
“เสิ่นหลิง…การพบปะของท่านเหล่านั้นในวังไม่อาจตรวจสอบได้”
คำพูดนี้มีกลิ่นอายข่มขู่ปะปนอยู่ ชัดเจนมากที่สุด การพบกันของท่านแซ่ซ่งกับพระสนมตำหนักกรสุทธิ์ เจ้าเสิ่นหลิงมีสิทธิ์อะไรไปสอดรู้
“ช่างเถอะ พวกเจ้าตรวจสอบได้เต็มที่เลย ดูสิจะรู้ว่าข้ารู้ข่าวพวกนี้มาจากที่ใดหรือไม่”
“กรมข่าวกรอง เจ้ากรมน้อย”
“ในวัง นอกวัง ต้นหญ้า สายลม ล้วนมีดวงตาของกรมข่าวกรองพวกเรา”
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเสิ่นหลิง ท่านจะพูดอะไรกันแน่”
“ไม่มีความลับในเมืองหลวง”
เสิ่นหลิงมองดวงตาของผู้คุมกฎชุดคลุมแดง เขาเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นช้าๆ
“หลายปีมานี้เกิดคดีใส่ความเท่าไร ข้าราชการต้าสุยโกงกินเท่าไรที่พ้นโทษจากกรมผู้คุมกฎ คดีสำนักศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ มีคนถูกส่งเข้าคุกไปเท่าไร และมีกี่คนที่มาฟ้องร้องที่เมืองหลวง ร้องไห้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกรมผู้คุมกฎกีดกันไว้ข้างนอก”
“ฝ่าบาทรู้ทุกอย่างจริงๆ หรือ ฝ่าบาทไม่รู้อะไรเลย!”
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงจุกอก ตอนนี้เขาไม่รู้จะตอบคำถามซึ่งหน้าอย่างไร ได้แต่ตอบกลับอย่างเย็นชา “ทุกอย่างที่เราทำล้วนปฏิบัติตามกฎหมายต้าสุย”
“กฎหมายต้าสุยดี เอาแต่พูดกฎหมายต้าสุย เจ้ารู้ว่ากฎหมายต้าสุยคืออะไรหรือไม่”
เสิ่นหลิงจ้องผู้คุมกฎชุดคลุมแดง “ไม่มีความลับในเมืองหลวง นี่เป็นเรื่องตลก! พวกเจ้าทำเป็นไม่เห็น ทำเป็นไม่ได้ยิน ฝ่าบาทตัวคนเดียว เขาจะรู้ได้อย่างไร เหตุใดฝ่าบาทถึงรู้ทุกอย่างล่ะ ก็เพราะมีพวกเราอยู่ พวกเราคือดวงตาของเขา พวกเรามองโลกนี้ มองทุกชีวิตแทนฝ่าบาท!”