เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 184 เดิมพันกระบี่ใต้หุบเขานิรันดร์
ตอนที่ 184 เดิมพันกระบี่ใต้หุบเขานิรันดร์
สายลมหนาวพัดเข้ามา หญ้าน้ำค้างพัดไหว หนิงอี้ที่ถือร่มกระดาษมันยืนอยู่ตรงตีนหุบเขานิรันดร์
สายฝนเด้งบนใบร่ม
หลังตกลงมาอีกครั้ง หยดน้ำฝนกระเซ็นเล็กน้อย สายฝนที่รวมตัวกันไหลไปบนใบร่มกระดาษมัน ถูกสายลมพัดเป็นเส้นยาวเล็ก เหมือนสายไข่มุกยาวของผ้าม่าน
หนิงอี้มองเด็กหนุ่มชุดคลุมดำที่แบกกระบี่ยาวข้างหลัง เขาจำได้ว่านี่คือเซียนกระบี่น้อยหวังอี้แห่งเขาเชียงแดนบูรพาที่มี ‘ชื่อเสียงโด่งดัง’
“รอใครรึ”
หมอกหมุนม้วน หวังอี้อยู่ห่างไปช่วงหนึ่งจึงมองเห็นใบหน้านั้นใต้ร่มไม่ค่อยชัด แต่กลับได้ยินเสียงอีกฝ่ายชัดเจน
ชายหนุ่มชุดคลุมดำมองไปที่ร่มกระดาษมันนั้น เขาหรี่ตาลง จ้องร่มกระดาษมันที่มีระดับไม่ธรรมดานั้น โดยเฉพาะสีขาวหิมะในโครงร่ม ต้าสุยมีอาวุธกระบี่มากมาย แต่ที่เรียกได้ว่ากระบี่ดีนั้นมีน้อยมาก กระบี่มีนามยิ่งน้อยไปใหญ่ กระบี่ที่อัจฉริยะวิถีกระบี่ในรุ่นปัจจุบันถูกใจเป็นดุจขนหงส์เขากิเลน และพินิจเหมันต์ในมือหนิงอี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้ารอใคร”
หวังอี้มองหนิงอี้ น้ำเสียงเขาไม่เป็นมิตรเลย แดนบูรพามีดอกบัวดำ หลังจากองค์ชายรองกลับจากภูเขาแดงก็ได้เตือนคนหนุ่มสาวในดอกบัวสีดำ ให้ระวังอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้
หมอกหุบเขานิรันดร์แผ่กระจาย อัจฉริยะทุกแห่งหนศึกษาศิลามาสิบวันแล้ว
เมืองหลวงคึกคักกันใหญ่ คุณชายใหญ่จากสี่สำนักศึกษาเข้าหุบเขานิรันดร์ แขกแดนบูรพาทุกคนรวมถึงกองกำลังจากทุกทิศ การเข้าและออกหุบเขานิรันดร์ทุกครั้งจะก่อคลื่นมรสุมขึ้น
หวังอี้ไม่เชื่อเลยว่าหนิงอี้ที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่ตรงปลายช่องลมเมืองหลวงจะไม่รู้การกระทบกระทั่งระหว่างตนกับหลิ่วสืออี
เขากอดกระบี่รอที่หุบเขานิรันดร์ รอหลิ่วสืออีออกจากภูเขามาสู้ศึกใหญ่กับตน แล้วค่อยไปท้าสู้กับท่านหญิงใหญ่อ้อยอิ่งที่สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
ภายในใจหวังอี้ คนบ้าชุดคลุมขาวหลิ่วสืออีนั่น จะว่าแข็งแกร่งก็แข็งแกร่ง แต่ยังไม่แกร่งเท่าท่านหญิงพิณ ในสี่สำนักศึกษา เดิมทีมีสองคนที่ควรค่าให้เขาหวาดกลัว คนหนึ่งคือคุณชายครามเหลียนชิงตัวแทนจากจวนขานฟ้า อีกคนคืออ้อยอิ่งแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
ก่อนที่เขาจะออกจากภูเขา ในสี่สำนักศึกษามีจวนขานฟ้าเป็นผู้นำมาตลอด สำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขาทั่วไป ตามหลังมาติดๆ จากนั้นก็เป็นสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่อยู่สันโดษ แทบจะไม่โผล่มาแก่งแย่งชิงกับปุถุชนเลย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพารู้อยู่ก่อนแล้วว่าสำนักศึกษาอาจจะเกิดศึกขึ้น หากท่านหญิงใหญ่รุ่นเยาว์ของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก้าวออกมาไม่ทัน เช่นนั้นสำนักศึกษานี้ก็อาจจะถูกคลื่นจมหายไปในยุคนี้ได้
ดังนั้นที่อ้อยอิ่งอยู่อย่างเงียบเชียบจะต้องเพื่อปกปิดศักยภาพแท้จริงของนางแน่ และจะเผยออกมาในช่วงเวลาสำคัญ
ตอนนี้บทสรุปการต่อสู้ของสำนักศึกษาเกินความคาดหมาย ฐานะของคุณชายครามกับท่านหญิงพิณเกิดการสับเปลี่ยนบทกัน สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเริ่มก้าวออกมาทางโลก เอาทรัพยากรและชื่อเสียงที่ควรเป็นของตน ท่านหญิงพิณเองก็มาหุบเขานิรันดร์
…….
หนิงอี้ที่ถือร่มกระดาษมันขมวดคิ้วขึ้น
ด้วยความที่ใบร่มสีดำบดบัง หวังอี้จึงไม่เห็นการกระทำเล็กๆ นี้ของหนิงอี้
หนิงอี้ไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น
ความจริงคือหนิงอี้ไม่รู้จริงๆ
สิบวันมานี้ เขาปิดด่านบำเพ็ญอยู่ในลานบ้านมาตลอด
เขาไม่สืบว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น
หรือพูดได้ว่าเขาไม่สนใจเลยว่าข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้น
หมอกหุบเขานิรันดร์กระจาย พายุฝนถาโถม หนิงอี้มีปัญหากับตัวหลายอย่าง เขาไม่อยากพัวพันเข้าไปในนั้นคนแรก ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยง
หนิงอี้กับเด็กสาวตระหนัก ‘กระบี่ซ่อน’ ด้วยกัน เจตนาเดิมของหนิงอี้ไม่ใช่การรอนานขนาดนี้
แต่ครั้งแรกที่จิตใจเขาตกอยู่ในห้วงทำนองกระบี่ซ่อนของท่านเผยหมิน…คอขวดวิถีกระบี่หนึ่งชั้นฟ้าก็เกิดการสั่นคลอน อีกทั้งยังถูกทะลวงไปได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นถึงมีวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่…จนกระทั่งถึงวันที่สิบในตอนนี้
ปราณกระบี่ขั้นสอง!
การหายใจของหนิงอี้มีสัมผัสจังหวะที่เบาสบาย
หวังอี้หรี่ตาลง เขาสังเกตเห็นว่าร่มกระดาษมันในมือหนิงอี้ สายฝนที่ไหลลงมาพวกนั้นไม่ควรไปตามกฎเกณฑ์เช่นนี้ แต่กลับแปลกประหลาดเหมือนตัวอสรพิษเล็กที่กระเด็นออกไป แกว่งเหมือนหางมังกร หลังออกจากใบร่มก็ยังวนเวียนรอบตัวหนิงอี้จนกระทั่งตกลงพื้น
นี่คือการสอดคล้องกันของพลังอย่างหนึ่ง และเป็นการใช้ขอบเขตปราณกระบี่
ในแขนเสื้อหวังอี้มีปราณกระบี่ขยับไปมา เขารู้สึกได้ถึงปราณกระบี่ที่ซ่อนในลมหายใจหนิงอี้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่านี่เป็นแค่ความดีใจหลังจากหนิงอี้เพิ่งทะลวงพลังและอยากจะเล่นกระแสพลัง ‘กระบี่ซ่อน’ ตลอดเวลาเท่านั้น
วิชาคุมกระบี่ดรรชนีสังหารสอดคล้องกับจังหวะลมหายใจ หนิงอี้ในตอนนี้เพียงแค่รู้พื้นฐาน ยังไม่ตระหนักแก่นสำคัญ หากเปลี่ยนเป็นท่านเผยหมิน หนึ่งลมหายใจเข้าออกจะซ่อนปราณกระบี่ไว้ ไม่ต้องคุมนิ้วมืออย่างแท้จริง ใช้แค่ความคิด หนึ่งลมหายใจ ก็คุมทุกสิ่งในโลกให้เป็น ‘กระบี่บิน’ ไปทะลวงศัตรูของตนได้
ระหว่างก้าวเดินโคลงเคลงไปมา เมื่อใดที่หยุดเดิน ทุกลมหายใจจะตระหนักจังหวะของปราณกระบี่
สายลมใต้หุบเขานิรันดร์พัดเข้ามา หยุดลงเล็กน้อย
หนิงอี้พูดทำลายความเงียบระหว่างสองคน
“เจ้ารอต่อไปเถอะ”
หนิงอี้ถือร่มกระดาษมันเบนสายตามองทั้งหุบเขานิรันดร์เป็นครั้งแรก หมอกปกคลุมตัวภูเขา สายฝนดุจโซ่ โหมกระหน่ำลงมาขังทั้งหุบเขานิรันดร์ ที่นี่มีกลิ่นอายพลังน่าเกรงขามและเก่าแก่ หมอกรวมเป็นปราการธรรมชาติ กันคนภายนอกเข้ามา มีเพียงประตูที่มีเพลิงดาราลุกโชนเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหมอก
ตรงนั้นคือทางเข้าเดียวหรือ
หนิงอี้ละสายตากลับมา ครั้งนี้มองเด็กหนุ่มชุดคลุมดำที่กอดกระบี่ยืนขวางหน้าประตูเพลิงดาราลุกโชนนั้น
“หลบหน่อย”
หวังอี้ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย เขาดูเหมือนกำลังขำ และเหมือนกำลัง…หัวเราะเยาะ
หนิงอี้ถอนหายใจอยู่ข้างใน
“ได้ยินว่าเจ้าล่วงเกินองค์ชายรองที่ภูเขาแดง” หวังอี้เอ่ยอย่างเฉยเมย “ในดอกบัวแดนบูรพา เจ้ามีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนักเลย มีแต่คนอยากฆ่าเจ้าทั้งนั้น”
หนิงอี้เงียบไปเล็กน้อยก่อนพูดอย่างจริงจัง “ใครอยากฆ่าข้าก็ไปต่อแถวจากวังไปถึงรอนอกเมืองหลวงได้”
“แล้ว?” หวังอี้เลิกคิ้วขึ้น เขาเอามือวางบนกระบี่
“แล้ว…เจ้าเป็นคนที่เท่าไรล่ะ” หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว เขาเห็นเซียนกระบี่น้อยเขาเชียงคนนี้ดูเกรงใจกว่าเดิม กระทั่งเรียกได้ว่า ‘มีสัมมาคารวะ’ ดูท่าอีกฝ่ายคงไม่ได้เมินเฉยต่อความเกรงใจของตน เขาไม่ได้กลัวหวังอี้ เพียงแค่ไม่อยากมีปัญหาในช่วงเวลาสำคัญตอนนี้เท่านั้น
เกิดเสียงดังพรึ่บ
ร่มกระดาษมันหุบลง หนิงอี้กดปลายร่มพินิจเหมันต์ลงกับพื้น สายฝนตกกระทบไหล่เขาแตกเป็นละอองน้ำเล็ก เริ่มเคลื่อนไหวไปตามจังหวะระหว่างลมหายใจเบาๆ
“ข้าสนใจกระบี่นั่นในมือเจ้ามาก เรามาเดิมพันกันหน่อยดีหรือไม่”
หวังอี้มองหนิงอี้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น “ได้ยินว่าเจ้าได้โชควาสนามาในสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เช่นนั้นเราก็เลียนแบบเคียงกระบี่เมื่อสองพันปีก่อนได้ มาเดิมพันกระบี่กัน ตอนที่ยอดนักกระบี่ท่านนั้นยังหนุ่มก็เดิมพันด้วยอาวุธ ใช้ปราณกระบี่สู้กัน ทั้งตัดสินแพ้ชนะ และยังตัดสินความเป็นตาย ถึงเมืองหลวงจะห้ามต่อสู้เป็นตาย แต่หากเจ้าสนใจ ข้าก็เล่นกับเจ้าได้”
หนิงอี้ตอบอย่างเฉยเมย “ไม่สน”
“กลัวตายรึ” หวังอี้หัวเราะเยาะ “กระบี่ข้างหลังข้ามีชื่อว่า ‘ปราณนิรันดร์’ เจ้าน่าจะเคยได้ยินนามของมัน”
หนิงอี้เคยได้ยินนามของกระบี่ยาวนี้จริงๆ ก่อนเซียนจุติลั่วฉางเซิงแห่งเขาเชียงกำเนิด ความจริงเขาเชียงยังเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่อย่างเงียบเชียบ ตอนนั้นยังไม่ได้บุกเบิกภูเขาเล็กที่มีชื่อว่า ‘ที่พำนักเทพ’ แต่สิ่งที่สร้างความตื่นตกใจแก่ชาวโลกก็คือกระบี่ยาวสี่เล่มจากบรรพจารย์ของเขาเชียงในตอนนั้น ลอยอยู่เหนือภูเขาสี่ลูกของเขาเชียง มีเพียงขอบเขตราชันดาราเท่านั้นถึงจะได้มาครอบครอง
กระบี่เรียวยาวนั้นข้างหลังเด็กหนุ่มชุดคลุมดำ กระบี่ยาวสีดำที่แทบจะสูงเท่าหวังอี้ก็คือ ‘ปราณนิรันดร์’
นัยน์ตาหนิงอี้ทอประกายแปลกใจเล็กน้อย กระบี่ยาวนั้นไม่แผ่ปราณกระบี่ออกมาแม้แต่น้อย เป็นกระบี่ดีที่สุดแห่งยุคจริงๆ ไม่ผิดต่อชื่อเสียงเลื่องลือ เขาเชียงยอมสละเลือดให้หวังอี้แบกปราณนิรันดร์ออกมาได้ เกรงว่าคงจะเป็นที่อิจฉาของใครหลายคน ดูแล้วคงจะวางใจศิษย์อายุน้อยคนนี้มาก
แต่ว่าก็จริงอยู่ เขาเชียงมีลั่วฉางเซิงที่เป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์ได้อย่างไม่ต้องละอายใจ ผู้โดดเด่นหลังจากนี้ ขอแค่ไม่ฝ่าฝืนกฎ ใครจะกล้าสู้ประกายคม
รุ่นก่อน เพราะมีครึ่งเทพฝูเหยา เขาลั่วเจียจึงเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของต้าสุยอย่างสมคำร่ำลือ
แต่เพราะมีลั่วฉางเซิง คนใหญ่คนโตหลายคนจึงคิดว่า…
เขาเชียงแดนบูรพาจะกลายเป็นเขาลั่วเจียที่สอง กระทั่งเมื่อพลังบำเพ็ญของลั่วฉางเซิงเพิ่มขึ้น ก็มีคนคิดว่าพรสวรรค์ของเซียนจุติท่านนี้จะเหนือกว่ากระบี่เทพมรรคสามคนในตอนนั้น ไม่เกินร้อยปี เขาเชียงจะกดขี่อยู่เหนือเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของต้าสุย
รอเวลาแค่ลั่วฉางเซิงเป็นอันดับหนึ่งเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา กระทั่งเป็นอันดับหนึ่งของเขาศักดิ์สิทธิ์ต้าสุยเท่านั้น
หวังอี้จะเอาปราณนิรันดร์มาเดิมพันกับพินิจเหมันต์ของตนหรือ
หนิงอี้มีใบหน้าราบเรียบ ดูเหมือนสงบนิ่ง
ตัวไม่ขยับเลย แต่กลับมีความคิดแล่นอยู่ส่วนลึกในใจเขา
หากอยู่ในเวลาที่เหมาะสม บางทีเขาอาจจะเดิมพันกับเซียนกระบี่น้อยคนนี้จริงๆ เขามีลางสังหรณ์ว่าปราณกระบี่ขั้นสองที่เขาตระหนักรู้มาจากท่านเผยหมินนั้นแข็งแกร่งมาก หากหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมพบ เช่นนั้นก็จะผ่านไปได้อย่างราบรื่น
เพียงแต่เวลานี้ ที่นี่ ยังไม่ใช่
หนิงอี้เงยหน้าขึ้น เขามองหุบเขานิรันดร์ยิ่งใหญ่กลางหมอก สิ่งที่เกิดขึ้นในใจไม่ใช่ความปลงอนิจจังที่คนธรรมดาแหงนหน้ามองภูเขาสูง แต่เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ที่นี่มีเพียงประตูเดียวหรือ
หนิงอี้มองเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวที่นั่งขัดสมาธิหันหลังให้ตนในประตูนั้น
เขาอุทานเบาๆ ก่อนจะกางร่มกระดาษมันอีกครั้ง เดินอ้อมหวังอี้ไป
เซียนกระบี่น้อยพลันมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมา
หวังอี้หมุนตัวกลับมาจ้องร่มกระดาษมันนั้น ก่อนจะพูดทีละคำด้วยใบหน้าดุร้าย
“หนิงอี้ เจ้าไม่กล้าสู้กับข้ารึ”
เมื่อเสียงตกกระทบ
หนิงอี้พลันหยุดนิ่ง