เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 186 ความลี้ลับในศิลา
ตอนที่ 186 ความลี้ลับในศิลา
จักรพรรดิทุกองค์ของต้าสุยล้วนขึ้นไปบนยอดเขาหุบเขานิรันดร์ได้ ไม่ว่าหนุ่มหรือชรา ไม่ว่าพลังบำเพ็ญสูงหรือต่ำ…
และนี่ไม่เกี่ยวกับระดับความเข้มของสายเลือดราชวงศ์
เช่นนั้นเพราะเหตุใด
หมอกจางๆ
หากยืนอยู่ใต้หุบเขานิรันดร์จริงๆ จะไม่ถูกหมอกนั้นขวาง ความจริงระดับการมองเห็นที่นี่ก็ไม่ต่ำ หมอกจางๆ วนเวียน เหมือนแดนเซียน เส้นสายหมอกผลุบๆ โผล่ๆ อบอวลอยู่ในแขนเสื้อ
หลิ่วสืออีนั่งอยู่หน้าศิลาหิน
เขาเป็นคนแรกที่มาถึงหุบเขานิรันดร์
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาหลายคนรีบมาที่นี่เป็นกลุ่มแรกหลังจากหมอกหุบเขานิรันดร์บางลง…หลังจากประตูเพลิงดาราลุกโชนนั้นปรากฏ หลิ่วสืออีก็นั่งอยู่ในประตูแล้ว
เด็กหนุ่มที่วางกระบี่ยาวสีขาวหิมะตรงหน้าตัก นั่งหน้าศิลาหินมาสิบวันสิบคืนแล้ว ก็เป็นอย่างที่เขาบอกกับอ้อยอิ่ง เขาไม่ได้แค่มองภาพในศิลา
เขากำลังรอบางคน
ไม่ใช่คนพวกนั้นที่เดินเข้ามาจากประตู
เขาใกล้จะยอมแพ้แล้ว เถ้าถ่านบนบ่าถูกพลังไร้รูปพัดลอยขึ้น เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นวงๆ เขานั่งหน้าศิลาหิน ก่อนเตรียมจะลุกขึ้นอย่างน่าเสียดาย
“ภาพนี้สวยงามมาก”
เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากกลางหมอกไกลๆ
หลิ่วสืออีตกใจเล็กน้อย ตอนที่เขาได้ยินคำพูดนี้ ไม่มีใครอยู่กลางหมอก หลังเอ่ยคำพูดนี้จบ ก็มีร่างเงาขมุกขมัวโผล่มากลางหมอก
ละอองฝนรวมบนยอดหุบเขานิรันดร์ สั่งสมจนมากขึ้น คนนั้นกางร่มกระดาษมัน เดินมาข้างหลังหลิ่วสืออี ร่มกันฝนหนักแยกสายฝนเล็กๆ ออก
หนิงอี้มองศิลาหินนั้น
บนศิลาหินไม่มีปราณกระบี่เลย และไม่มีร่องรอยในท่วงทำนองแม้แต่น้อย มีเพียงภาพแกะสลักนกกระจอกเหลืองจับแมลง นกกระจอกเหลืองสยายปีกหยุดอยู่กลางเวหา ยังอยู่ในท่าทางมองลงมาข้างล่างกำลังจะโผลงมา ตั๊กแตนผู้อ่อนแอบนพื้นยกสองแขนดุจดาบ ไม่มีความเกรงกลัวเลย
น่าสนใจ
“เจ้าไม่ได้เข้ามาจากประตูนั่นรึ”
หลิ่วสืออีที่นั่งหน้าศิลาหินเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าก็เหมือนกัน”
หนิงอี้พูดอย่างมั่นใจมาก ไม่ได้ตอบคำถามของหลิ่วสืออี…คำถามนั้นไม่จำเป็นต้องตอบ
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “หุบเขานิรันดร์ไม่ได้มีแค่เส้นทางเข้าเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
หลิ่วสืออีพลันเงยหน้าขึ้น เขาหันไปมองหนิงอี้ “เจ้าหาเจอได้อย่างไร”
“ตรงนั้นมีประตูบานหนึ่งวางอยู่หน้าภูเขาพอดี เหมือนกำลังบอกข้าว่า อยากเข้ามาก็ต้องผ่านประตูนั้น” หนิงอี้พูดอย่างจริงจังด้วยรอยยิ้ม “นี่คือกฎของคนเฝ้าหุบเขา แต่ข้าไม่ชอบทำตามกฎมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นข้าเลยอยากหาเส้นทางที่ ‘คนพวกนั้น’ เคยเดิน”
คนพวกนั้น
นั่นคือคนที่มีพลังบำเพ็ญไม่พอ สายเลือดไม่เข้มข้น หรืออายุยังเยาว์วัย แก่ชรา เหตุผลต่างๆ นานาที่ไม่ควรเข้าหุบเขานิรันดร์ แต่กลับขึ้นไปถึงยอดเขาได้
เส้นทางนี้…
ความจริงไม่ได้ยากเท่าไร
เมื่อหนิงอี้ไม่ยอมเข้าประตูบานนั้นและเดินเข้ามากลางหมอกหุบเขานิรันดร์ เขาก็เดินเข้ามาในหุบเขานิรันดร์โดยไม่รู้ตัว เหมือนไม่มีค่ายกลขัดขวางใดๆ และยังไม่มีแรงกดดันของจิตวิญญาณ
เขาไม่รู้ว่านี่นับว่าเป็นการกระจายอำนาจอย่างหนึ่งของคนเฝ้าหุบเขาหรือไม่
มานึกดูแล้ว อาจจะเป็นเพราะคนเฝ้าหุบเขาที่ไม่รู้อยู่ที่ใดนั้นควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดของหุบเขานิรันดร์ ต่อให้มีคนหลงเข้ามา หากไม่เข้าตาคนเฝ้าหุบเขาก็จะเข้ามาไม่ได้อย่างนั้นหรือ
“เจ้าโชคดีมาก หานเยวียก็เคยเดินกลางหมอกหุบเขานิรันดร์ จากนั้นก็ถูกคนเฝ้าหุบเขาทุบตี” หลิ่วสืออีมองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกับที่พูดนั้น เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวยังพิจารณามองใบหน้าหนิงอี้ คิ้วขมวดขึ้นทีละนิด ใจนึกว่าตนอาจจะเคยเจอเด็กหนุ่มที่อายุพอๆ กับตนที่ใดสักแห่ง หรืออาจจะเคยได้ยินนามของอีกฝ่ายจากที่ใด เขามักจะรู้สึกว่าคนนั้นที่ถือร่มกระดาษมันมีกลิ่นอายที่เขาคุ้นเคยอยู่
เป็นกระบี่นั่นหรือ
และไม่ใช่แค่กระบี่นั่น
ทันใดนั้น หลิ่วสืออีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
“ข้าชื่อหนิงอี้” เด็กหนุ่มถือร่มกระดาษมันย่อตัวลงช้าๆ ความอบอุ่นใต้ร่มปกคลุมทั้งสองคน ฝนแตกกระเซ็นเปาะแปะ หยดติ๋งๆ งอตัวหญ้าน้ำค้าง หนิงอี้จ้องศิลาหินนั้นพลางพูดเสียงเบา “ข้าชอบภาพนี้มาก”
เขายื่นนิ้วมือไปนิ้วหนึ่ง สัมผัสศิลาหินเย็นเยือกช้าๆ น้ำฝนตกลงบนหินศิลา ไหลลงมา ภาพวาดนกกระจอกเหลืองกับตั๊กแตนนั้นทั้งเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
“นี่เป็นแค่ภาพ”
หลิ่วสืออีนั่งหน้าหนิงอี้ สองคนเข้ามาใกล้กันมาก เขารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของหนิงอี้ เจตจำนงกระบี่ที่หวังอี้มองว่าหนาวเข้ากระดูกยิ่ง ตอนนี้กลับไม่ทิ่มแทงคน แต่กระแทกน้ำฝนใต้ร่มออก เขาใช้หางตามองหนิงอี้ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่มีปราณกระบี่ และไม่มีท่วงทำนอง…เหตุใดเจ้าถึงชอบภาพนี้”
“ข้ารู้ว่านี่เป็นแค่ภาพวาด” หนิงอี้หรี่ตาลง เขาถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ชอบภาพวาดต้องมีเหตุผลด้วยรึ”
หลิ่วสืออีชะงักงัน เหมือนจะพูดไม่ออกนิดๆ
เขาชี้ไปที่นกกระจอกเหลืองบนศิลาหิน
ถ้าบอกว่านี่เป็นเพียงศิลาหินธรรมดา เช่นนั้นภาพวาดในนั้นก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก
นกกระจอกเหลืองบินขึ้น หรือจะพูดได้ว่า…มันอยู่บนฟ้าอยู่แล้ว
จากนั้น
“อ้อยอิ่งเพิ่งลงเขามา” หลิ่วสืออีชี้นกกระจอกเหลืองนั้นก่อนพูดเสียงเบา “ก่อนนางขึ้นเขาก็เคยเห็นภาพนี้ มองเงื่อนงำไม่ออก ตอนนี้ดูแล้วท่านหญิงพิณเหมือนจะได้โชควาสนาดีในหุบเขานิรันดร์ หลังนางลงเขามาก็ไม่รีบร้อนกลับ แต่นั่งอยู่ข้างข้าพักหนึ่ง”
“นางบอกว่านางชอบภาพนี้อยู่บ้าง ข้าก็บอกกับนางเหมือนกันว่านี่เป็นแค่ภาพวาดธรรมดาจริงๆ” หลิ่วสืออียิ้ม “นางบอกข้าว่าเส้นทางของผู้บำเพ็ญคือเส้นทางที่ทวนเข็มดวงชะตา อยากจะพิสูจน์มหามรรคก็ต้องบินเหนือดารา เป็นผู้ล่าที่กุมชะตาชีวิตตัวเอง…นั่นคือนกกระจอกเหลือง”
หนิงอี้พยักหน้า
“มีเหตุผลมาก” หนิงอี้นิ่งไปก่อนจะเอ่ยต่อ “ลองดูดีๆ สิ นกกระจอกเหลืองนี่วาดได้อย่างมีจิตวิญญาณมาก ใช้ฝีมือในการวาดเยอะมาก”
หลิ่วสืออียิ้ม ไม่ปฏิเสธ “เจ้าก็เหมือนกันรึ”
“ไม่…ข้าชอบมัน” หนิงอี้ใช้มือลูบมุมของศิลาหินเบาๆ นั่นคือตั๊กแตนที่ยกแขนดาบขึ้นสูงและดูไม่เตะตานั้น
เป็นเพียงแมลงต่ำต้อย
“เจ้าจะบอกว่า…นี่ต่างหากคือวิถีของนักกระบี่รึ” หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ แววตาเคร่งขรึมเล็กน้อย ยกมุมปากขึ้นนิดๆ “เรานักกระบี่ เกิดเป็นคน ฝึกวิถีกระบี่ ไม่ใช่เพื่อเป็นเทพเจ้า แต่เพื่อสักวันชูกระบี่ในมือขึ้น บุกเดินหน้าไปอย่างกล้าหาญ ทำลายทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้ารึ”
หนิงอี้เงียบ
เขามีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย เอ่ยเนิบนาบและจริงจัง
“เจ้าพูดเหมือนมีเหตุผลมาก แต่ว่า ไม่ใช่”
หลิ่วสืออีคลึงระหว่างคิ้ว “แล้วมันลึกล้ำเพียงใด”
“นี่เป็นเพียงภาพวาด ข้ามองการทวนเข็มชะตาไม่ออก และมองวิถีของนักกระบี่ไม่ออก” คำพูดของหนิงอี้ทำให้หลิ่วสืออีเงียบลง “ข้าชอบอะไรง่ายๆ นกกระจอกเหลืองนั่นวาดมาซับซ้อนเกินไป แต่มันเรียบง่ายมาก”
“ข้าชอบความง่าย อย่างเช่นคำพูดเดียวก็แก้ไขปัญหาได้ รวมถึงกระบี่เดียวก็แก้ปัญหาได้ ดังนั้นข้าเลยชอบมัน”
หนิงอี้ยักไหล่ “ก็ง่ายๆ แค่นี้”
เสียงตกกระทบกลางหมอกและละอองฝนหุบเขานิรันดร์
หนิงอี้ปล่อยนิ้วโป้งที่ลูบตัวตั๊กแตนนั้น เขาได้ยินเสียงหัวเราะที่น่าอึดอัดยิ่ง
หลิ่วสืออีหัวเราะ
หนิงอี้อึ้งไป
หนิงอี้ไม่รู้ว่าเหตุใดหลิ่วสืออีถึงหัวะเราะ เขาจึงถาม “เจ้าหัวเราะอะไร”
หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ก่อนพูดอย่างจริงจัง “เจ้าน่าจะรู้ว่าหุบเขานิรันดร์มีโชควาสนามากมาย”
หนิงอี้ตอบ “เรื่องนี้ข้ารู้”
“เจ้าคือหนิงอี้ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าคือหลิ่วสืออี”
หนิงอี้นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า
“ข้านั่งอยู่ตีนหุบเขานิรันดร์มาสิบวันแล้ว ทำอะไรที่ง่ายมาก แค่มองศิลาหินนี่” นัยน์ตาหลิ่วสืออีเป็นประกายแปลกประหลาด เขาพูดเสียงเบา “หลายคนถามข้าว่าข้ากำลังมองอะไร พวกเขาไม่เข้าใจ เหตุใดข้าไม่ขึ้นหุบเขานิรันดร์แต่แรก ชิงโชควาสนาของข้า ใช้เวลาไปกับตรงนั้น พวกเขาคิดว่าในศิลาหินนี้มีโชควาสนายิ่งใหญ่…แต่ความจริงไม่มีเลย”
“หลิ่วสือเคยนำศิลาหินก้อนหนึ่งกลับตำหนักทะเลสาบกระบี่ ในนั้นไม่มีอะไรเลย เขาอยากพิสูจน์ว่าในศิลาหินนี้มีสิ่งที่สุดยอดอยู่ เพราะเขาเอากลับมาจากหุบเขานิรันดร์”
“เอากลับจากหุบเขานิรันดร์รึ” หนิงอี้ตกใจเล็กน้อย ศิลาหินในหุบเขานิรันดร์ห้ามนำออกไปเด็ดขาด
เขาเข้าใจได้ในทันที ก่อนจะพูดเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย “คนเฝ้าหุบเขาให้หลิ่วสือรึ”
“ใช่”
หลิ่วสืออีพยักหน้าเล็กน้อย
“เจ้าเอามันมาหุบเขานิรันดร์หรือ” หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ชี้ไปที่ศิลาหินนั้น
หลิ่วสืออีหยัดกายขึ้นช้าๆ ก่อนพยักหน้าอีกครั้ง
“ศิลาหินนั้นที่คนเฝ้าหุบเขาให้หลิ่วสือไม่มีอะไรเลย ไม่มีความหมายแท้จริงอะไรเลย” หลิ่วสืออีชะงักไป ก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่มีปราณกระบี่ ไม่มีท่วงทำนอง ไม่มีการแกะสลัก ว่างเปล่า ศิลาหินเช่นนั้นมีความหมายอะไร”
“อาจารย์ข้าอยากรู้มากว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น แต่เขาก็หาคำตอบไม่พบ เลยยกปัญหานี้มาให้ข้า” หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นข้าเลยมาที่นี่ หุบเขานิรันดร์ ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อดูศิลา แต่เพื่อหาคำตอบ”
“เหตุใดหลิ่วสือถึงคิดว่าในศิลาหินนี้ต้องมีอะไรแน่นอน เพราะคนนั้นที่ให้ศิลาหินเป็นคนเฝ้าหุบเขานิรันดร์หรือ เพราะเขาเป็นราชันดาราที่แกร่งที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุยหรือ ถึงคิดว่าศิลาหินนี่ต้องมีความลับอะไรอยู่แน่นอน”
ตอนที่หลิ่วสืออีพูดพวกนี้ ในน้ำเสียงมีสบายใจเล็กๆ เขารู้สึกแบบนี้น้อยครั้งมาก ไม่ใช่แค่สบายใจ แต่ยังมีความลำพองใจเล็กน้อย
หนิงอี้เหมือนจะเข้าใจนิดๆ แล้ว
“ตอนนี้เจ้าได้คำตอบแล้วหรือ”
“ใช่ ศิลาหินนี่ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนที่วาดศิลาหินนี่”
หนิงอี้รู้สึกขำนิดๆ “ดังนั้นเจ้าชอบศิลานี่เพราะภาพในนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าวาด”
หลิ่วสืออีไม่ตอบ
เขาพลันถีบเท้าใส่ศิลาหินล้มคว่ำ อีกทั้งยังใช้แสงดารา ถีบศิลาหินแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ไม่ ข้าวาดแค่แมลงนั่น อาจารย์ข้าชอบสิ่งที่ซับซ้อนและสวยงาม ถึงได้มีนกกระจอกเหลืองนั่น”
หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าไม่เหมือนเขา ช้าชอบความเรียบง่าย”