เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 189 ดูศิลาทั้งหุบเขานิรันดร์ในวันเดียว (1)
ตอนที่ 189 ดูศิลาทั้งหุบเขานิรันดร์ในวันเดียว (1)
เดินทั่วหุบเขานิรันดร์ในหนึ่งวัน จนกระทั่งขึ้นสู่ยอด
นี่ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่ความจริงในประวัติศาสตร์ต้าสุยก็เคยมีคนทำมาก่อน
นี่เป็นเรื่องที่เสียแรงเปล่า
หากยังไม่ทะลวงขอบเขตที่สิบ จุดดาราชะตา…ต่อให้เจตนารมณ์ของคนเฝ้าหุบเขาจะปกคลุมทั้งหุบเขานิรันดร์ ปกป้องอัจฉริยะหนุ่มที่เดินเส้นทางศิลาหุบเขานิรันดร์ทุกคน คนพวกนั้นที่ฝืนลองขึ้นสู่ยอดจะได้รับบาดเจ็บทางจิตวิญญาณแน่นอน
ซึ่งไม่เหมือนอาการบาดเจ็บทางกายปกติ
‘บาดแผลมรรค’ เช่นนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะส่งผลที่ไม่อาจแก้ไขได้ในเส้นทางบำเพ็ญในภายภาคหน้า
ไม่มีใครรู้ว่าผลกระทบนี้จะเกิดผลลัพธ์แบบใด
ผู้อาวุโสของเขาศักดิ์สิทธิ์หลายคนเตือนศิษย์ของตนว่าอย่าใช้อารมณ์ อย่าแก่งแย่งชิงชื่อเสียงจอมปลอม ไปลองขึ้นสู่ยอดบนเส้นทางศิลา หากเกิดบาดแผลมรรคที่รักษาไม่ได้จะได้ไม่คุ้มเสีย
อัจฉริยะพวกนั้นที่เคยลอยขึ้นสู่ยอดหุบเขานิรันดร์เป็นอัจฉริยะที่สุดของยุคหนึ่งจริงๆ แต่หลังบรรลุขอบเขตดาราชะตา เหมือนจะมีอาการบาดเจ็บมากมายรุมล้อม สุดท้ายก็ไม่มีจุดจบที่ดี
หุบเขานิรันดร์ หุบเขาที่หลับใหลชั่วนิรันดร์ของต้าสุย
ดังนั้นถึงได้มีคำพูดอย่างหนึ่ง
เจ้าของศิลาหินทุกก้อนจะแกะสลักท่วงทำนองมหามรรคที่ซ่อนความรู้ทั้งชีวิตของตนไว้ แต่สุดท้ายก็ยากจะไม่ให้ไปปนเปื้อนกับของของคนอื่น
อย่างเช่น…ไอมรณะ
เจ้าของศิลาหินตายไปร้อยปีพันปี ศิลามรรคที่ตนฝากไว้ในหุบเขานิรันดร์ตอนมีชีวิตได้เชื่อมต่อจิตใจเจ้าของ พายุชะล้างก็จะเกิดไอมรณะขึ้น
และที่นี่ ก็เหมือนกับสุสานอีกแห่งที่ฝังปรมาจารย์ไว้
ตระหนักรู้ศิลาหินจะปนเปื้อนไอมรณะมากน้อยต่างกัน อัจฉริยะพวกนั้นที่ขึ้นสู่ยอดหุบเขานิรันดร์และศึกษาศิลาหินทั้งหมดที่ตนฝึกฝน ไอมรณะที่วนเวียนรอบตัวจะเหมือนกับแรงกรรมในเงามืดเสียมากกว่า
ยิ่งได้มากเท่าไร จากนี้ก็ยิ่งต้องจ่ายไปมากเท่านั้น
คุณชายครามมองหุบเขานิรันดร์ที่มีเมฆหมอกปกคลุมพลางพูดเสียงเบา
“นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่ยอมเข้าหุบเขานิรันดร์”
………
หนิงอี้นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าศิลาหิน
น้ำฝนตกลงบนบ่าดังเปาะแปะ ละอองน้ำกระเซ็น
หนิงอี้มองเงาผอมแห้งและลอยล่องนั้น
“ข้าคือ…ราชันดาราฝูผิงแห่งต้าสุย!”
ร่างเงาผอมแห้งนี้เอามือข้างหนึ่งกดงอบ สายฝนไหลมารวมกัน วนเวียนรอบจุดเล็กสองคนไม่ห่าง ก่อตัวขึ้นเป็นพายุหมุนน้ำภายในระยะสามฉื่อ ซ้อนทับกันทีละชั้น เจตจำนงกระบี่พลันกระจายออกไป
หนิงอี้เคยได้ยินนามราชันดาราฝูผิง ในยุคหนึ่ง ราชันดาราท่านนี้มาจากภูเขาใหญ่แสนลี้แดนทักษิณ ไม่มีไอชั่วร้าย แม้จะมีนิสัยแปลกไปบ้าง รักสันโดษ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายเลย
นี่คือผู้บำเพ็ญพเนจรที่มีวิถีกระบี่แข็งแกร่งยิ่ง
ผู้บำเพ็ญพเนจรเป็นราชันดาราได้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย นามของฝูผิงฟังดูโอนอ่อน แต่ความจริงวิชากระบี่ดุดันมาก ราชันดาราท่านนี้ฝากเรื่องราวไว้ในคลังตำราเมืองหลวงน้อยมาก มีเพียงผลการรบที่ถือกระบี่บุกไปสังหารยอดปีศาจห้าพันปีที่แดนอุดรที่เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุด
หนิงอี้ไม่นึกเลยว่าราชันดาราฝูผิงจะฝากศิลาหินไว้ที่หุบเขานิรันดร์
เพิ่งก้าวเข้ามาในหุบเขานิรันดร์ก็เห็นศิลาหินวิถีกระบี่นี้แล้ว…ด้วยนิสัยหยิ่งผยองปกติของนักกระบี่ หากมีสิทธิ์ได้เข้ามาฝากศิลาหินของตนในหุบเขานิรันดร์ จะไม่มีทางวางไว้ตรงทางเข้าตามอำเภอใจเช่นนี้เด็ดขาด
เงาเลื่อนลอยนั้นพูดเสียงเบา “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก
นักกระบี่ผอมสูงที่มีสายฝนวนเวียน เสียงเหมือนเสียงร้องกระบี่กลางหมอก ดังผ่านสายฝนและสายฟ้า
“ข้ามาถึงหุบเขานิรันดร์ ชีวิตก็สิ้นสุดลงแล้ว ขึ้นไปที่สูงกว่านี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางวางไว้ที่นี่เด็ดขาด” ดวงจิตของราชันดาราฝูผิงมีความเศร้าเลื่อนลอยน้อยๆ เขามองหนิงอี้พลางพูดอย่างเฉยชา “คนหนุ่ม เจ้าไม่ต้องตระหนักรู้ศิลากระบี่ของข้า ศิลานี้ต่างกับศิลาหินอื่น มีแต่ไอมรณะ ขึ้นไปหุบเขานิรันดร์สูงกว่านี้จะมีท่วงทำนองของยอดฝีมือวิถีกระบี่ เจ้าบอกวิถีกระบี่ที่เฝ้าฝึกมา ข้าจะชี้ทางสว่างให้เจ้าเอง”
หนิงอี้เงียบลง
ราชันดาราฝูผิงมาหุบเขานิรันดร์ก็จะสิ้นอายุขัยแล้ว ไม่ได้มีเวลาฝากความรู้ไว้มากนัก เขาวางศิลาหินไว้ที่หุบเขานิรันดร์ ถือว่าเป็นที่พักผ่อนของตน เผาแสงดาราหมดลงที่นี่ มิน่าในคลังตำราเมืองหลวง…ถึงมีการบรรยายเกี่ยวกับราชันดาราวิถีกระบี่ท่านนี้น้อยมาก
หนิงอี้รู้เรื่องที่ศิลาหินหุบเขานิรันดร์ซ่อนไอมรณะไว้
เคียงกระบี่ก็เคยบอกตนว่าหุบเขานิรันดร์มีโชควาสนายิ่งใหญ่ แต่ก็มีหายนะอยู่คู่กัน
“วิถีของข้าคืออะไร”
หนิงอี้เคยถามตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
วิถีกระบี่ของศิษย์พี่สวีจั้ง วิถีกระบี่ของคุณชายเจ้าหรุย วิถีกระบี่ของท่านเคียงกระบี่ วิถีกระบี่ของปราชญ์กระบี่เผยหมิน นักกระบี่เหนือชั้นเหล่านี้ เส้นทางที่ทุกคนเดินล้วนต่างกัน
สามพันมหามรรค เส้นทางใดเป็นของตน
หนิงอี้ตระหนักรู้ปราณกระบี่ขั้นหนึ่งได้ คือตอนสู้กับพญายมน้อยแห่งจวนปฐพีที่ตรอกฝนพรำ ตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ได้ในระหว่างความเป็นตาย
ท่วงทำนองปราณกระบี่นั้น เขาได้มาจากการเรียนรู้กับสวีจั้งและผ่านความเป็นตายมาหลายครั้ง
ปราณกระบี่ขั้นสอง คือตอนที่ตระหนักกระบี่ซ่อนกับเด็กสาว ทะเลสาบจิตของหนิงอี้มีกระบี่บินสามเล่มแล้ว ศึกนั้นที่จวนเขาครามก็ได้เคียงกระบี่ชี้แนะด้วยตนเอง ดังนั้นขาข้างหนึ่งของเขาจึงก้าวเข้าไปในธรณีประตูของ ‘คุมกระบี่ดรรชนีสังหาร’
หลับตาลง
เส้นทางปราณกระบี่นับไม่ถ้วนปูออกไปในทะเลสาบจิตของหนิงอี้
ทั้งโลกมืดมิด มีเพียงทุกเส้นทางที่เปล่งแสงสว่างร้อนแรง
หนิงอี้พูดเสียงเบา “ข้าฝาหาเพียงวิถีของข้า”
“จากตายไปสู่กำเนิดก็ดี คุมกระบี่ดรรชนีสังหารก็ดี เส้นทางที่คนพวกนั้นเคยเดินได้แสดงกำลังแฝงเร้นมหาศาล หากเดินไป ศึกษาแค่หนึ่งในนั้นและเดินไปจนสุดทาง จะต้องเปล่งประกายแสงสว่างจ้าแน่นอน”
นี่เป็นคำถามที่ยากมาก สวีจั้งเดินไปก่อนนานมากแล้ว ตอนนั้นหนิงอี้ยังไม่เป็นนักกระบี่เลย
หากสวีจั้งยังอยู่ เขาก็คงจะบอกกับหนิงอี้ว่า ตอนนนี้ไม่จำเป็นต้องเลือกได้ ที่นี่มีเส้นทางมากมาย แต่หนิงอี้ประสบการณ์น้อยเกินไป
……
ฝนตกหนักโหมกระหน่ำ
นอกจากเสียงลมเสียงฝนในหุบเขานิรันดร์แล้ว ทุกอย่างเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงนก
เด็กหนุ่มที่นั่งหน้าศิลาหินมีสีหน้าดิ้นรนเล็กน้อย
ฝนตกหนักเป็นดินโคลน อาภรณ์เปียก
หนิงอี้หน้าซีดขาว
สามพันมหามรรค ควรเดินทางใด คำถามนี้วางไว้ตรงหน้าตนมานานแล้ว
ยังไม่ได้คำตอบ
สายฟ้าสว่างวาบ เขาพลันลืมตาขึ้น
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นมองนักกระบี่สวมชุดกันฝนและงอบที่ลอยบนศิลาหิน
ราชันดาราฝูผิงเหมือนจะนิ่งอึ้งไป
“เจ้าว่าอะไรนะ”
หนิงอี้สูดลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนลุกขึ้นกลางพายุฝน “ข้าไม่รู้ว่ากระบี่ของข้าอยู่ทิศทางใด ข้าเลยอยากดู…กระบี่ทั้งหุบเขานิรันดร์”