เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 190 ดูศิลาทั้งหุบเขานิรันดร์ในวันเดียว (2)
ตอนที่ 190 ดูศิลาทั้งหุบเขานิรันดร์ในวันเดียว (2)
ก่อนตายราชันดาราฝูผิงเข้าหุบเขานิรันดร์ วางศิลาหินไว้
ร่างจริงราชันดาราของเขาหลับใหลที่นี่ไปชั่วนิรันดร์
ศิลาหินของหุบเขานิรันดร์เชื่อมต่อกับจิตใจเจ้าของ เจ้าของตายไป ศิลาจะเกิดกลิ่นอายมรณะ
แต่ศิลาของราชันดาราฝูผิงมีระดับกลิ่นอายมรณะเข้มข้นเกินกว่าคนอื่น
นักกระบี่ผอมแห้งที่ลอยอยู่บนฟ้าศิลาหิน ในชุดคลุมเหมือนจะมีไอชั่วร้ายสีดำเวียนวน กลิ่นอายมรณะที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าวนเวียนรอบศิลาหิน ฝนตกหนักก็ชะล้างไม่ได้
ราชันดาราฝูผิงเอ่ยเสียงแหบ “เจ้าจะดูศิลาทั้งหุบเขานิรันดร์รึ”
ตอนหนิงอี้อยู่ในลานบ้านเล็กก็เคยนึกถึงคำถามนี้
หมอกหุบเขานิรันดร์สลายไป เขาจึงมาเพื่อสิ่งนี้!
เสียงของราชันดารายังคงกึกก้องในสุสาน
หนิงอี้กลับไม่ตอบคำถามอีก
เขาใช้การกระทำที่จริงแท้ที่สุดพิสูจน์การตัดสินใจของตน
ฝ่ามือหนึ่งกดกับศิลาหินราชันดาราฝูผิงเบาๆ
เกิดเสียงดัง ‘แปะ’
หน้าศิลาเย็นเยือก
เส้นสายเจตจำนงกระบี่เย็นสบายซึมผ่านฝ่ามือ ไหลเวียนในสายเลือดไปตามเส้นลมปราณ ในนั้นยังมีกลิ่นอายมรณะสีดำปะปนอยู่ด้วย
จอนผมของหนิงอี้ลอยขึ้น
เขาดูดซับเจตจำนงกระบี่สายนั้น มันมาจากสิ่งที่ราชันดาราฝูผิงสั่งสมมาทั้งชีวิต ไม่ขอแก่นสำคัญ ขอแค่ได้มอง
ราชันดาราฝูผิงยืนถือกระบี่ เจตจำนงกระบี่ดุจจอกแหนโดดเดี่ยวกลางแม่น้ำใหญ่ ไปไม่กลับ ก็เหมือนกับชีวิตนี้ของเขา มาจากพายุฝน กลับไปในพายุฝน
จิตวิญญาณไร้รูปลักษณ์กดดันผ่านศิลาหิน ลงบนทะเลสาบจิต
น้ำทะเลสาบเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น
มีเสียงในลำคอเบาๆ ดังมาจากในรูจมูกหนิงอี้
สามสี่ลมหายใจ หนิงอี้ดึงฝ่ามือกลับ เขาโค้งตัวเล็กน้อยถือเป็นการแสดงความขอบคุณ
ราชันดาราฝูผิงที่รวมขึ้นจากจิตวิญญาณหนึ่งกลางฝนตกมองคนหนุ่มที่หน้าซีดขาวแต่ยังหัวดื้อคนนี้เงียบๆ
เด็กหนุ่มที่หุบร่มกระดาษมันเอามาเป็นไม้เท้า ขาข้างหนึ่งเหยียบลึก ขาอีกข้างเหยียบตื้น เดินไปกลางศิลาหิน ดินเลนดีดขึ้นมา ละอองน้ำกระจาย หนิงอี้เดินหน้าขึ้นต่อไป
เส้นทางเชื่องช้า สายฝนห่างไกล
นักกระบี่เป็นผู้มีความหยิ่งทระนงมากที่สุดในผู้บำเพ็ญมากมายจริงๆ และเป็นคนกลุ่มเล็กนั้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่สุด
ผู้ที่เข้ามาในหุบเขานิรันดร์ได้ ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ เป็นปรมาจารย์ของหนึ่งยุค
นอกจากราชันดาราฝูผิงที่มีเวลาไม่มาก เลือกวางศิลาหินไว้ตรงทางเข้าหุบเขานิรันดร์แล้ว นักกระบี่คนอื่นต่างขึ้นไปได้สูงยิ่ง
หนิงอี้รับแรงกดดันทางจิตวิญญาณ ความเจ็บปวดพวกนี้ไม่เท่าไรเลยสำหรับเขา
ไม่นานนัก เขาก็มาถึงศิลาหินที่สอง
“ตำหนักทะเลสาบกระบี่ ราชันกระบี่เทพหิมะ”
เอ่ยชื่อเสียงของอีกฝ่ายเบาๆ
หนิงอี้โค้งตัวเล็กน้อย ปักปลายร่มกระดาษมันเรียวเล็กลงดินเลนบนเส้นทางภูเขาแรงๆ ดินเลนดีดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะยื่นฝ่ามือไปแนบกับศิลาหิน ตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ที่สอง
ทะเลสาบจิตที่ยังไม่กลับมาสงบก็ถูกเจตจำนงกระบี่และจิตวิญญาณของนักกระบี่ปะทะใส่เป็นครั้งที่สอง
เจตจำนงกระบี่นี้มีกลิ่นอายเย็นยะเยือก พลันเกิดชั้นน้ำแข็งบางๆ ขึ้นบนทะเลสาบจิต คิ้วและเส้นผมของหนิงอี้กลายเป็นสีขาวหิมะ
ข้อต่อขากรรไกรบนล่างของเขา และยังมีห้านิ้วมือที่สัมผัสศิลาหิน สั่นไหวเบาๆ
แต่หนิงอี้ยังคงมีใบหน้าเรียบนิ่ง
เขาไม่เคยเจอเจตจำนงกระบี่เช่นนี้มาก่อน สามารถทาบทาความเย็นเยือกลงบนเจตจำนงกระบี่ได้…ลึกไปถึงไขกระดูก ทำให้คนขยับตัวไม่ได้
หนิงอี้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในโลกนักกระบี่ สัมผัสศิลาหินนี้ก็เหมือนทารกที่ยอมรับความลำบาก เขามองประตูใหญ่ของโลกใหม่ พายุฝนตัดสลับเข้ามาปะทะบนตัวเขา แต่ก็ยังเหมือนไม่รับรู้อะไร
ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เขาไม่สนใจ
กลิ่นอายมรณะที่ซึมผ่านศิลาหินเข้ามาในปลายนิ้วพวกนั้น เขาก็ไม่สนใจเช่นกัน
ตอนอยู่ในลานบ้าน ตอนที่เขาทำการเลือกเข้าหุบเขานิรันดร์ ก็เคยคิดถึงราคาที่เขาต้องจ่าย เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาต้องการแค่สภาพแวดล้อมเงียบสงบ ให้เขาได้มองดูคลังสมบัติเจตจำนงกระบี่จากปรมาจารย์วิถีกระบี่เหล่านั้นในหุบเขานิรันดร์ต้าสุยอย่างเงียบสงบ
“ราชันกระบี่หยินหยาง…”
“ราชันดาราธารใหญ่…”
ชุดคลุมดำของหนิงอี้ปกคลุมด้วยน้ำค้างชั้นหนึ่ง ดินเลนชั้นหนึ่ง ถูกเจตจำนงกระบี่ฟันผ้าขาด เผยผิวหนัง ก่อนจะถูกฟันอีก เป็นรอยเลือด เขาไม่รู้ตัวเลย แต่เข้าไปอยู่ในโลกที่ลืมตนเองแล้ว
กายเนื้อเขายังคงแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้น กลิ่นอายมรณะซึมผ่านผิวหนังและกระดูก แล่นผ่านในเลือดทุกชุ่น ไม่อาจขจัดออกได้ ไม่อาจตัดทิ้งได้ แต่ก็ถูกพลังเลือดลมมหาศาลของหนิงอี้กดไว้ ความเป็นเทพของที่ราบกระดูกเปลี่ยนเลือดของหนิงอี้เป็นสีทองอ่อนๆ กลิ่นอายมรณะสีดำพวกนั้นเหมือนกับน้ำตาย พลันถูกมหาสมุทรสีทองกลืนกินไป
นี่คือหายนะในอนาคต
หนิงอี้เลือกคว้ากระบี่ตรงหน้า
แม้จิตวิญญาณจะเจ็บปวด อยู่ท่ามกลางแรงกดดันสูง แต่ก็ยังฮึกเหิม
ดวงตาหนิงอี้เปล่งประกายแสงสว่างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
เขาเดินหน้าไปไม่ใช่แค่ช้าลง แต่กลับเร็วขึ้นเรื่อยๆ
มาถึงศิลาหินหนึ่ง ยื่นฝ่ามือออกไปรับการชะล้างของเจตจำนงกระบี่ ย่อยเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปศิลาหินต่อไป
เขาทำซ้ำเช่นนี้หลายครั้งจนกลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งของหนิงอี้
บนเส้นทางหุบเขานิรันดร์ ดินเลนกระเซ็นอยู่ตลอด
เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่หนิงอี้หยุดเดินครั้งแรก ก็มาอยู่กลางภูเขาสูงยิ่งโดยไม่รู้ตัว เขาหันไปมองศิลาหินเต็มไปหมดข้างหลัง ศิลาหินปราณกระบี่ของขอบเขตราชันดาราพวกนั้น เขาสัมผัสมาทั้งหมดรอบหนึ่งแล้ว
“ต้าสุยมีราชันดาราวิถีกระบี่ทั้งหมดเจ็ดสิบเก้าท่านที่ถูกเชิญให้มาหุบเขานิรันดร์…น้อยกว่าที่ข้าคิดไว้อีก” หนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง คลึงแก้มที่ชาไปแล้ว สายฝนบนฟ้าไม่มีท่าทีจะเบาลงเลย
เขาเดินหน้าต่อไป
ต่อไปเป็นศิลาหินปราณกระบี่ของขอบเขตนิพพาน
“เฉาผีแห่งจวนขานฟ้า…” หนิงอี้เหมือนเห็นนามคุ้นตา กระบี่บินนามหนวดมังกรนั้นในทะเลสาบจิตเขาสั่นไหวเบาๆ เหมือนรู้สึกถึงจิตวิญญาณตอนมีชีวิตของเจ้าของ ยอดนักกระบี่ของจวนขานฟ้าท่านนั้น ตอนนั้นร่วมมือกับสหายอีกสองสำนักศึกษาลอบโจมตีเคียงกระบี่ ปรากฏว่าถูกเคียงกระบี่สยบลงทั้งหมด
แม้แต่หนวดมังกรยังถูกชิงเอาไป
เหมือนรู้สึกได้ถึงความคับแค้นใจของหนวดมังกร พลันมีดวงจิตดุร้ายยิ่งลอยขึ้นมาบนศิลาหินนั้น
“เจ้าหนู!”
กลางหมอกฝนหนาทึบ หนิงอี้หน้าซีดขาว ฝ่ามือยังคงแนบกับศิลาหิน เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ที่ลอยขึ้นมานั้น
เฉาผีแห่งจวนขานฟ้า ดวงจิตหลังจากตายลงได้ข้ามผ่านศิลาหินออกมา ลอยอยู่กลางหมอก พูดด้วยใบหน้าเหี้ยมโหด “เจ้าเองก็คิดจะตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ของข้ารึ เจ้าคู่ควรที่จะตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ของข้ารึ!”
ยอดฝีมือขอบเขตนิพพาน คนที่ฝึกวิถีกระบี่นั้น หากอาศัยขอบเขตวิถีกระบี่ก็มีกำลังสู้กับผู้บำเพ็ญขอบเขตนิพพานได้ ถือว่าได้ก้าวขึ้นไปอยู่กลางบุคคลเทพเซียนเหล่านี้และต้องได้รับขนานนามว่ายอดนักกระบี่
บางทีเฉาผีอาจจะตายไปเพราะความแค้น ดวงจิตในศิลาหินนี้จึงมีความแค้นรุนแรง
ดวงจิตยิ่งใหญ่ออกมาจากศิลาหิน พุ่งตรงใส่หนิงอี้พร้อมกับกลิ่นอายมรณะเข้มข้น
จะเห็นได้ว่าเฉาผีมีจิตใจคับแคบเพียงใด
เพราะรู้สึกถึงปราณกระบี่ของหนวดมังกร เขาจะให้หนิงอี้ตายที่นี่!
คลื่นลมมรสุมจะมาถึง
ทว่าเสียงแปลกหูและแหบแห้งดังขึ้นบนเส้นทางหุบเขานิรันดร์
“เจ้ากล้ารึ”