เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 191 คนเฝ้าหุบเขา
ตอนที่ 191 คนเฝ้าหุบเขา
“เจ้ากล้ารึ”
ดวงจิตของเฉาผีเพิ่งออกจากศิลา ก็มีสายฟ้าฟาดลงมาบนเส้นทางหุบเขานิรันดร์
ฝนตกหนัก
ดวงจิตของยอดนักกระบี่จวนขานฟ้าท่านนั้นพลันเหมือนถูกสายฟ้าผ่า แขนเสื้อข้างหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด ระเบิดกระจายเหมือนไม้ใหญ่ แตกเป็นเสี่ยงๆ เขาร้องเสียงดังก่อนจะล้มลง ไถลไปบนพื้น ร่างที่แทบจะรวมเป็นร่างคนถูกฟาดจนแทบจะวิญญาณออกจากร่าง
หนิงอี้เพ่งสายตามอง
เสียงแหบนั้นมาจากในภูเขาหุบเขานิรันดร์ แยกไม่ออกว่ามาจากที่ใด…แต่เจตนารมณ์ที่ไม่อาจต่อต้านที่ซ่อนอยู่ในนั้นกลับผ่าดวงจิตของเฉาผีขอบเขตนิพพานสลายหายไป
คนเฝ้าหุบเขา!
คนเฝ้าหุบเขาที่ได้รับขนานนามว่าเป็นราชันดาราอันดับหนึ่งของต้าสุย ไม่อยากเชื่อว่าจะแกร่งถึงเพียงนี้
กลางศิลาหินและป่าเขาหุบเขานิรันดร์ยังคงมีเสียงแหบนั้นดังกังวาน แยกไม่ออกว่าชายหรือหญิง แต่ฟังออกว่าเจ้าของเสียงนั้นผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
คนเฝ้าหุบเขาเฝ้าหุบเขานิรันดร์มานานเท่าไรแล้ว
หนิงอี้มองไปรอบๆ เขาไม่เจอตัวคนเฝ้าหุบเขา นี่ทำให้เขาเสียดายและหดหู่นิดๆ…หลังเสียงนั้นดังกังวานก็ไม่ได้มีคนเฝ้าหุบเขาเดินออกมาจากหมอกอย่างที่หนิงอี้คาดหวัง
“เฉาผี ข้าให้เจ้าวางศิลาหิน ก็เพื่อสืบต่อมรดกให้จวนขานฟ้า” เสียงแหบนั้นดังเป็นครั้งที่สอง “กายหยาบตายมรรคสูญหาย เหลือไว้เพียงจิตวิญญาณ ช่างโง่เขลานัก อย่าลืมสิว่าใครเป็นเจ้าของที่นี่”
ยอดนักกระบี่จวนขานฟ้าที่ล้มกับพื้นนั้น ครึ่งตัวถูกสายฟ้าผ่าหายไป ก่อนจะมีสายฝนมากมายไหลมารวมกัน สร้างเป็นแขนที่สมบูรณ์ไร้ที่ติขึ้นใหม่ เขายันสองแขนลุกขึ้น ปราณกระบี่วนเวียนอาภรณ์ ในดวงตาเป็นสีแดงขุ่น
เฉาผีที่มีสีหน้าไม่แน่ใจก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา เขาจ้องไปทางนั้นข้างหลังหนิงอี้เขม็งก่อนกัดฟันพูดทีละคำ “คนเฝ้าหุบเขานิรันดร์…เป็นแค่ราชันดาราตัวจ้อย กลับกล้าพูดจาอวดดีเช่นนี้รึ”
ยอดนักกระบี่จวนขานฟ้าท่านนี้พลันยกสองแขนขึ้น
พายุฝนโหมกระหน่ำลงมา
ไม่อยากเชื่อเลยว่าหลังจากตัวตายไปแล้ว เสี้ยวจิตวิญญาณนี้จะยังเรียกลมเรียกฝนได้!
นี่เกินกว่าความรู้ความเข้าใจของหนิงอี้แล้ว…เขายกห้านิ้วมือที่สัมผัสศิลาหินของเฉาผีออก ในการสัมผัสช่วงสั้นๆ เขาได้เห็นวิถีกระบี่ของเฉาผีชัดเจน เจตจำนงกระบี่ของยอดนักกระบี่จวนขานฟ้าท่านนี้ต่างจากชื่อเสียงของอาจารย์ตนโดยสิ้นเชิง เดินบนเส้นทางที่สวนกับความถูกต้อง
ไม่ได้ปฏิบัติตามสวรรค์
แต่พลิกสวรรค์เดินหน้า
กลอุบายที่ใช้ก็มีแต่ปล้นชิง
จิตวิญญาณเฉาผีรวมเป็นร่างคน ใบหน้ามืดมน ยกสองแขนขึ้น ฟ้าดินเหมือนอากาศธาตุแรกเริ่ม ความสดใสลอยขึ้นมาเหนือศีรษะ แสงดาราและกลิ่นอายท่วงทำนองของศิลาหินหุบเขานิรันดร์วนเวียนรอบตัวเขา
“สามพันโชควาสนาใต้ฟ้า มีเพียงหุบเขานิรันดร์ที่บำรุงจิตวิญญาณได้ดีที่สุด” เสียงแหบนั้นดังขึ้นข้างหูหนิงอี้ ต่างจากเสียงพายุฝนถาโถม เสียงของคนเฝ้าหุบเขามีความอ่อนโยน เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ยอดผู้บำเพ็ญที่วางศิลาในหุบเขานิรันดร์สามารถส่งต่อพรให้กับชนรุ่นหลังในสำนักได้ และก็เหลือร่มเงาไว้ให้ตนเองได้ ต่อให้ตัวจะตายไปแล้ว มรรคผลยังอยู่ โชควาสนายังอยู่ นี่คือแดนเทวาเพียงหนึ่งเดียวใต้ฟ้า”
หนิงอี้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
ส่งต่อพรให้ชนรุ่นหลังในสำนักน่าจะเป็นการสืบต่อมรดก ในหุบเขานิรันดร์รวมยอดฝีมือขอบเขตนิพพานไว้มากขนาดนี้ ทุกท่านได้ฝากโชควาสนาไว้ที่นี่ สั่งสมน้อยๆ จนมากขึ้น มหามรรคฟ้าดินเกิดการเหนี่ยวนำ ‘ดวงชะตา’ ที่ว่าลี้ลับยิ่ง มีคนสงสัยมาตลอด แต่หากอยู่ในหุบเขานิรันดร์ หนิงอี้ก็เชื่อจริงๆ ว่ามีเรื่องของ ‘ดวงชะตา’
ส่วนร่มเงาที่คนเฝ้าหุบเขาเอ่ยถึง คือการบำรุงจิตวิญญาณ
สิ่งที่หนิงอี้เห็นในศิลาทุกก้อนล้วนเป็นร่างยอดผู้บำเพ็ญ ราชันดาราฝูผิงที่เจอตอนก้าวเข้าเส้นทางศิลาหินหุบเขานิรันดร์ก็ดี หรือราชันดาราเทพหิมะที่เจอหลังจากนั้นก็ดี ทุกคนเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่มีอัธยาศัยดี ตอนแกะสลักศิลาหิน ภายในใจกอดเจตนาดีไว้ รอชนรุ่นหลังทุกคนมาหุบเขานิรันดร์ หากมีคนมาแสวงหาโชควาสนา ก็จะได้ให้โชควาสนาที่สอดคล้องกันไป
ในที่สุดหนิงอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดคนเฝ้าหุบเขาถึงไม่ให้หานเยวียเข้าหุบเขานิรันดร์
ด้วยนิสัยดุร้ายของหานเยวีย หากเขาฝากศิลาหินไว้ บางทีวิถีมารในนั้นอาจจะทำให้ผู้บำเพ็ญที่หลงมาศิลาหินของเขาเดินไขว้เขวได้ จากนั้นก็ใช้จิตวิญญาณหลอมเป็นศพ สุดท้ายส่งเข้าหลอดแก้วแดนบูรพา เพิ่มอายุขัยและวิชาให้กับตน
นี่เป็นสิ่งที่ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!
เฉาผีในตอนนี้ ดูจากสภาพแล้วปิดบังจิตวิญญาณ ไม่มีใครมาสัมผัสศิลาหินเขานานมาก เลยซ่อนตัวไว้ได้
วันนี้หนิงอี้สัมผัสจึงเผยจิตสังหารของเฉาผีออกมา
ยอดนักกระบี่ที่ยกสองแขนรวมปราณกระบี่คนนั้นมีใบหน้าเฉยชา จ้องหนิงอี้พลางพูดเสียงดัง “คืนหนวดมังกรมาให้ข้า!”
ภายใต้จิตใจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
กระบี่บินสีดำนั้นในทะเลสาบจิตของหนิงอี้สั่นไหว แทบจะคุมมันบินขึ้นไว้ไม่อยู่
ขณะฉุดดึงอยู่นั้น รูปปั้นเคียงกระบี่ที่นั่งบนทะเลสาบจิตไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ เลย
พายุฝนตกหนัก
เฉาผียกแขนขึ้น ชี้หนิงอี้
ฝนตกลงมาดุจไข่มุก ตกลงพื้นแล้วก็เด้งขึ้นเหมือนกระบี่บินก่อนจะพุ่งเข้ามา
หัวใจของหนิงอี้ลอยขึ้นจุกอยู่ตรงคอ เขายกพินิจเหมันต์ขึ้นตามจิตใต้สำนึก ใบร่มกระดาษมันส่งเสียงพึ่บพั่บ เตรียมจะกันไว้ตรงหน้า
พริบตาต่อมา ปรากฏเงาเลือนรางกลางหมอก รวมขึ้นห่างจากตรงหน้าหนิงอี้ไปสามจั้งอย่างฉับพลัน ก่อนยกมือขึ้นตบลงสบายๆ
หยดน้ำฝนนับไม่ถ้วนถูกตบแตกกระจาย ตกลงพื้นอีกครั้ง กลายเป็นหยดน้ำเปาะแปะ สุดท้ายกลายเป็นหมอก
คนเฝ้าหุบเขายืนอยู่หน้าหนิงอี้ ชุดคลุมของเขายากจะจับต้องและมองทะลุไปได้เหมือนหมอกอยู่กลางสายฝน ก่อนจะลอยล่องไปข้างหลัง เหลือไว้เพียงเงาแผ่นหลังเลือนราง
จิตวิญญาณของเฉาผีส่งเสียงร้องตกใจ
“เจ้าเป็นเพียงราชันดาราตัวจ้อย…มีสิทธิ์อะไร”
เสียงพลันเงียบลง
มือนั้นที่คนเฝ้าหุบเขาตบสายฝนแตก ยกขึ้นกลางอากาศ ยอดนักกระบี่จวนขานฟ้าร่างใหญ่ตัวโน้มไปข้างหน้าอย่างไร้การควบคุม พลันถูกดึงเข้ามา ถูกบีบคอไว้แน่น
“มุกแห่งเม็ดข้าวก็เปล่งแสงได้หรือ”
เสียงคนเฝ้าหุบเขามีความรังเกียจนิดๆ เขาจ้องเฉาผี ดวงตากลางหมอกหนามองผ่านละอองฝนพลิ้วไหว ก่อนจะเพิ่มแรงบีบมือไปอีกสามส่วน
จิตวิญญาณของเฉาผีส่งเสียง ‘เหอะๆ’ ด้วยความเจ็บปวด แขนทั้งสองข้างส่งเสียงระเบิดดังไม่หยุด แขนเสื้อระเบิดแตกเหมือนเม็ดถั่ว เป็นเศษกระจายเต็มฟ้า
คนเฝ้าหุบเขาหยุดมือ หันมามองเล็กน้อยก่อนถามเสียงเบา
“หนิงอี้…เจ้าจะดูวิถีของเขาอีกหรือไม่”
หนิงอี้อึ้งไป ต่อให้อยู่ใกล้กันมาก เขาก็ยังไม่เห็นใบหน้าแท้จริงของคนเฝ้าหุบเขา ครึ่งใบหน้านั้นปกคลุมอยู่กลางหมอกและสายฝน
คนเฝ้าหุบเขาเสียงแหบ แต่อ่อนโยนเหมือนสตรี
เหตุใดเขาถึงหวังดีกับตนขนาดนี้
หนิงอี้เกิดความคิดหนึ่งขึ้น
เขารีบส่ายหน้า ไล่ความคิดไร้สาระออกไปทั้งหมด ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโส…ข้าไม่อยากดูวิถีของเฉาผีอีกแล้ว”
“ดี”
คนเฝ้าหุบเขาได้ฟังคำตอบของหนิงอี้ก็ขานรับ
หนิงอี้ยืนอยู่ที่เดิม เหม่อมองภาพที่เกิดขึ้นต่อไปนี้
คนชุดคลุมดำกลางหมอกสั่นข้อมือเบาๆ
เฉาผีที่บรรลุขอบเขตนิพพาน จิตวิญญาณที่เหลือพลันถูกกระเทือนหายไป แม้แต่ร้องก็ยังร้องไม่ทัน
ศิลาหินที่วางบนเส้นทางภูเขานั้น เกิดเสียงดังกึกก่อนจะแตกเป็นสองส่วน จากนั้นแหลกละเอียด