เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 192 คนขึ้นเขาใต้ภูเขา
ตอนที่ 192 คนขึ้นเขาใต้ภูเขา
“วิถีคืออะไร”
“สามพันโลก มีทุกชีวิตมากมาย ทุกคนล้วนมีทิศทางของตนเอง เส้นทางใต้เท้าก็คือวิถี”
“นี่คือวิถีหรือ”
“นี่คือวิถี แต่ไม่ค่อยตรงกับสิ่งที่เจ้าต้องการ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ บุรุษชุดขาวนิ่งไป ก่อนจะพลิกตัวเปลี่ยนเป็นท่าทางสบาย เอียงตัวนอนในรถม้า เขาเอามือข้างหนึ่งเปิดม่านรถ ใกล้ตีนเขาแล้ว ฝนตกพรำๆ เขาพูดปลงเสียงเบา “ฤดูใบไม้ผลิของเมืองหลวงสวยกว่าเขาวิญญาณเยอะเลย”
ภายในรถม้า ตรงข้ามบุรุษชุดขาวเป็นหญิงนั่งเรียบร้อยคนหนึ่ง นางสวมหมวก ผ้าปิดหน้าสีดำขยับเบาๆ ปิดบังใบหน้า นางก้มหน้าลง เหมือนกำลังนึกถึงคำพูดเมื่อครู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง
สวีชิงเยี่ยนถามเบาๆ “เช่นนั้น วิถีอยู่ที่ใด”
“วิถีมีอยู่ทุกที่ มันอยู่ในรูปปั้นหยกในสวนห้องบูรพาได้ อยู่ในใบไม้ใบหญ้าในวังก็ได้ อยู่ในม่านรถม้าก็ยังได้” บุรุษชุดขาวหรี่ตาลง มองต้นไม้ใบหญ้าและหินภูเขาที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางสายฝนพลางพูดงึมงำ “วิถีอยู่ในใจเจ้าเอง…เจ้าอยากเดินอย่างไรก็ได้ สิ่งที่สำคัญคือ เจ้าต้องไม่เสียใจภายหลัง”
สวีชิงเยี่ยนหลับตาลง
“แล้วเราจะไปไหนกัน”
“หุบเขานิรันดร์”
บุรุษชุดขาวพูดด้วยรอยยิ้ม “เล่นหมาก ดีดพิณ วิชาแพทย์ ศิลปะ พวกนี้เรียนในสวนห้องบูรพาได้…แต่เรียนของพวกนี้มากกว่านี้ ไม่ออกไปข้างนอกบ้าง เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นโลกที่ใหญ่กว่า และไม่รู้ว่าวิถีของตนอยู่ที่ใด”
สวีชิงเยี่ยนพลันใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย นางยื่นมือมาข้างหนึ่ง กำเชือกแดงที่ห้อยคอไว้เบาๆ
ฆราวาสเขาเสียวซานปรายตามอง ก่อนพูดอย่างอบอุ่น “หมอกหุบเขานิรันดร์หายไปแล้ว เมืองหลวงมี ‘แขก’ มาเยอะมาก ก็เพื่อมาที่นี่”
สวีชิงเยี่ยนเข้าใจนิดๆ นางเหมือนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดยิ่งนางเข้าใกล้หุบเขานิรันดร์ถึงยิ่งกลัว…
“พวกเขา…มาเพื่อ ‘วิถี’ เหมือนกับข้ารึ”
นางได้เรียนรู้กับฆราวาสเขาเสียวซานในสวนห้องบูรพามาระยะหนึ่งแล้ว
สวีชิงเยี่ยนทึ่มทื่อ ได้เห็นใบหน้าแท้จริงของโลกนี้ ฆราวาสเขาเสียวซานสอนอะไรนางหลายอย่าง ตอนนี้เหลือแค่ฝึกบำเพ็ญ บุรุษชุดขาวที่ดูยังหนุ่ม แต่ความจริงอายุร้อยแปดปีคนนี้ ไม่ให้สวีชิงเยี่ยนลองสัมผัสศาสตร์การหายใจของเทพ แต่พาเด็กสาวไปตามหา ‘วิถี’ อันเลื่อนลอย
“ไม่ใช่ โลกนี้ไม่มีใครเหมือนกับเจ้า” ฆราวาสเขาเสียวซานไม่มีสีหน้าเกียจคร้านอีก เขาเอียงศีรษะ มือข้างหนึ่งเท้าคาง ฝ่ามือดันแก้ม เพ่งมองเด็กสาวอย่างจริงจังผ่านผ้าบาง แต่กลับเหมือนมองเห็นใบหน้าของสวีชิงเยี่ยนทั้งหมด “คนธรรมดาต้องเหนี่ยวนำกับฟ้าก่อนถึงจะได้แสงดารา แต่เจ้าไม่ต้อง เดิมทีเจ้าเป็นบุตรที่รักของสวรรค์อยู่แล้ว…สำหรับเจ้า แสงดาราเป็นสิ่งสกปรก”
สวีชิงเยี่ยนฟังไม่ค่อยเข้าใจ
นางมองบุรุษชุดขาวเงียบๆ
ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้ม “วิถีนั้นไม่ใช่วิถีที่แท้จริง คำพูดนี้แพร่หลายในต้าสุยมานานมาก มาจากผู้สูงศักดิ์สวรรค์ที่สุดยอดจากสำนักเต๋าคนหนึ่ง ยอดฝีมือยุคโบราณท่านนั้นมีความสามารถมากจริงๆ คำพูดนี้เถียงกันไปมาและมีคำอธิบายหลากหลาย…ข้าเอียงไปทางหากมหามรรคกล่าวได้ ก็จะไม่ใช่วิถีที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์มากกว่า”
“รู้ครึ่งหนึ่งก็รู้ครึ่งหนึ่ง นี่เป็นเรื่องดี อย่าได้ลองเข้าใจอะไรที่มากเกินไป” ฆราวาสเขาเสียวซานถอนหายใจเบา ก่อนจะถามต่อ “ไม่เข้าใจหรือ”
สวีชิงเยี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจังเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก
บุรุษชุดขาวยิ้ม
“ผู้บำเพ็ญในโลกนี้มักจะมีบางคนที่อยากเดินทางลัด อีกทั้งยังทำสำเร็จจริงๆ ด้วย ดังนั้นถึงได้มีการต่อไฟนิพพาน ความจริงนี่ก็เป็นทางลัดที่ใช้ได้ คนที่ทำสำเร็จก็อย่างเช่นซ่งเชวี่ย หลังจากต่อไฟก็ประสบความสำเร็จที่คนนับพันนับหมื่นทำไม่สำเร็จได้ แต่ว่า…นี่ไม่ใช่เรื่องดี”
ฆราวาสเขาเสียวซานเอ่ยมาทีละคำ “วิถีของซ่งเชวี่ยไม่ใช่วิถีของเขาเองแล้ว แต่เป็นวิถีของพระโพธิสัตว์ยุคโบราณท่านนั้น เขาเดินไปไกลกว่านี้ก็ไม่ใช่เส้นทางของเขา”
ครั้งนี้สวีชิงเยี่ยนเข้าใจ นางคลำเจอความหมายของฆราวาสเขาเสียวซานลับๆ
“ใต้ฟ้าต้าสุยกับใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ สองใต้ฟ้านี้รวมเข้าด้วยกัน มีคนเข้าใจหลักการนี้เยอะ แต่มีคนที่ทำได้น้อย” บุรุษชุดขาวเอ่ยเสียงเบา “หลายคนลอยขึ้นตามลม อัจฉริยะพวกนั้นในหุบเขานิรันดร์ฉลาดหลักแหลมมากจริงๆ มีคุณสมบัติไม่ธรรมดา หลังดูศิลาก็จะลอยขึ้นจากพื้นดิน ก้าวข้ามขอบเขตพลังใหญ่ แต่ผลประโยชน์ในตอนนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคในวันข้างหน้า”
สวีชิงเยี่ยนกำสองมือเล็กน้อย กดหัวเข่า กลั้นใจถาม “หมายความว่าอย่างไรกัน”
“จะยกนักกระบี่เป็นตัวอย่างแล้วกัน ขั้นหนึ่งถึงขั้นหก สอดคล้องกับกำลังรบขอบเขตแสงดาราช่วงหลังไปจนถึงขั้นสิบสมบูรณ์” ฆราวาสเขาเสียวซานมองสวีชิงเยี่ยนพลางเอ่ยนิ่งๆ “สวีจั้งตอนหนุ่ม ตอนนั้นที่กวาดล้างต้าสุยได้ ต่อให้เจอกับอัจฉริยะที่มีพลังบำเพ็ญปราณกระบี่สูงกว่าตนก็ยังไม่สั่นคลอน อีกทั้งยังสู้ชนะ ก็เป็นเพราะว่าเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าวิถีของเขาอยู่ที่ใด ตอนที่ก้าวออกจากเขาสู่ซานก็รวมจิตกระบี่ประจำตัวออกมาแล้ว จิตกระบี่ดวงนี้แข็งแกร่งมากพอจะทำลายนักกระบี่ขั้นเดียวกันที่ยังไม่รวมจิตกระบี่ได้ทุกคน”
สวีชิงเยี่ยนถามเสียงเบา “เช่นนั้นคุณชายหนิงอี้ล่ะ”
ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้มทันที เขามองเด็กสาวด้วยแววตาเย้าหยอกนิดๆ
โดนจับได้แล้ว ต่อให้ปิดด้วยผ้าดำ สวีชิงเยี่ยนก็ยังแก้มแดงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“คุณชายหนิงอี้ของเจ้า เกรงว่าคงยังไปไม่ถึงขั้นนั้น” ฆราวาสเขาเสียวซานเอาแขนข้างหนึ่งยื่นไปนอกหน้าต่าง ฝ่ามือแบออกไปข้างนอก ระกับสายฝน ก่อนจะพูดพึมพำ “เจ้าสนใจเขาขนาดนี้ เหตุใดไม่ไปหาเขาเองเลยล่ะ”
สวีชิงเยี่ยนเพียงแค่ส่ายหน้า ไม่ได้ตอบคำถามนี้
ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้ม “ข้าจะพาเจ้าไปยอดหุบเขานิรันดร์ ไปดูของอย่างหนึ่ง จะได้ทำความรู้จักกับคนเฝ้าหุบเขานิรันดร์นั่นด้วย ดูว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่”
“ได้ยินว่าคนเฝ้าหุบเขานั่นลึกลับมากเลยหรือ”
“อืม…” บุรุษชุดขาวนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาของคนเฝ้าหุบเขา และไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นบุรุษหรือสตรี ถ้าถามว่าลึกลับหรือไม่ ก็เหมือนว่าจะใช่”
“คนเฝ้าหุบเขานั่นแกร่งมาก” สวีชิงเยี่ยนจำเรื่องที่หานเยวียเคยโดนคนเฝ้าหุบเขาสั่งสอนที่นี่ได้ นางจึงพูดหยั่งเชิง
ฆราวาสเขาเสียวซานเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง แต่เรียกว่า…เอาชนะไม่ได้ ถึงจะเป็นเพียงราชันดารา แต่ก็สยบได้ทั้งหุบเขานิรันดร์”
“เหตุใดเขาต้องเฝ้าหุบเขาด้วย”
“เพราะทำความผิด เลยต้องเฝ้าอยู่ที่นี่”
รถม้าหยุดลง บุรุษชุดขาวใช้สองนิ้วเปิดม่านรถ ปากพูดพึมพำ “หุบเขานิรันดร์มีศิลาของยอดผู้บำเพ็ญมากมาย และมีหลายคนตายไปแล้วหลับอย่างสงบที่นี่”
“คนเฝ้าหุบเขาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว…เขากำลังรอใครคนหนึ่ง”
ฆราวาสเขาเสียวซานตั้งสติกลับมา ก่อนจะมองสวีชิงเยี่ยน “ถึงจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่สิ่งที่เขารออยู่จะมาถึงในอีกไม่ช้าแล้ว”
เด็กสาวจดจำคำพูดนี้ไว้เงียบๆ
“ลงรถเถอะ…ข้าจะพาเจ้าขึ้นยอดเขา ไม่ได้มานานมากแล้ว ข้าจำได้ว่าทิวทัศน์บนเขานิรันดร์สวยงามมาก” บุรุษชุดขาวพูดปลง “รอฝนหยุดก่อน บางทีเจ้าอาจจะได้พบกับคุณชายหนิงอี้คนนั้น”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะก็พูดต่อ
“คุณชายหนิงอี้ที่ต่างไปจากเดิม”