เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 198 นางตายแล้ว
อนที่ 198 นางตายแล้ว
“เจ้าจะลงเขาจากอีกทางหรือ”
หนิงอี้มองหลิ่วสืออีในชุดคลุมขาว
หลิ่วสืออียังคงเงียบ
ความจริง ทุกอย่างไม่อยู่ในคำพูดแล้ว
นางแอ่นคืนรังแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งยองบนพื้น เขาหยิบเศษกระบี่ขึ้นมาทีละชิ้น ใส่ในกระเป๋าเอวของตนนิ่งๆ น้ำเสียงไร้ระลอกคลื่น ยังคงอธิบาย “ใต้หุบเขานิรันดร์มีคนที่ข้าไม่อยากเจออยู่ และยังมีเรื่องยุ่งยากอีกเป็นกอง”
ใต้หุบเขานิรันดร์ เซียนกระบี่น้อยหวังอี้ยังกอดกระบี่รอหลิ่วสืออีอยู่
หนิงอี้ขมวดคิ้วก่อนพูดอย่างจริงจัง “ข้าทำลายกระบี่ของเจ้า ก็ควรจะชดใช้คืนให้เจ้า”
หลิ่วสืออียิ้ม “หากวันใดข้าทำลายพินิจเหมันต์ของเจ้า ข้าจะไม่ชดใช้ให้เจ้า”
เขาหยิบเศษบนพื้นขึ้น ใช้ศาสตร์ ‘หลอมกระบี่’ ของตำหนักทะเลสาบกระบี่ส่งแสงดาราเข้าไปในอ้อมกอด ภายในสองแขนแฝงปราณกระบี่ เศษกระบี่แตกพวกนี้เริ่มส่งเสียงดังชิ้งๆ โคลงเคลงลอยขึ้น เหมือนถั่วเหลืองระเบิดในน้ำเดือด
“กระบี่หักแล้ว คนยังอยู่” หลิ่วสืออีเอ่ยอย่างเฉยชา “นางแอ่นคืนสู่รังแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยมันเถอะ”
เขากางสองแขน
แสงสีเงินสว่างพุ่งออกไปอย่างคล่องแคล่วเหมือนนกนางแอ่น ส่งเสียงร้องพลางแหวกว่ายหมอกจากยอดหุบเขานิรันดร์ เศษกระบี่ยังคงเดือดพล่านกลางอากาศ หลังจากหลิ่วสืออีเก็บความคิดนั้นที่ฝากฝังไว้ในตัวกระบี่กลับมาแล้ว ตรงขอบคมก็บางลงเหมือนกระดาษ
“ไปเถอะ”
หลิ่วสืออีมองแสงสีเงินเต็มฟ้า
นางแอ่นคืนรัง ความจริงเป็นเพียงกระบี่เหล็กธรรมดา ไม่นับว่าเป็นอาวุธเทพ ภายใต้การเสริมพลังด้วยความคิดและศาสตร์การหลอมกระบี่ของหลิ่วสืออี มันถึงได้ตัดเหล็กได้เหมือนโคลน
เสียงของเด็กหนุ่มชุดขาวราบเรียบมาก เหมือนกำลังพูดกับกระบี่ที่แตกหักนั้น
เจ้าไปเถอะ ข้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว
ทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณ
กระบี่ก็เช่นกัน
กระบี่ยาวขาวหิมะที่อยู่กับหลิ่วสืออีมาหลายปี แม้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนนี้ก็ยังส่งเสียงนกร้องด้วยความเศร้า เศษเหล็กทั้งหมดที่เผาไหม้กลางเมฆหมอกกลายเป็นความว่างเปล่าตกจากภูเขาสูงลงหุบเหว ไม่ใกล้จะดับสูญไปอีก
“หวังอี้จะเดิมพันกระบี่กับข้า” หนิงอี้มองหลิ่วสืออีพลางพูดอย่างจริงจัง “ถ้าเจ้าต้องการ ข้าจะเอา ‘ปราณนิรันดร์’ แห่งเขาเชียงมาให้”
“กระบี่นั่นคู่ควรกับข้าหลิ่วสืออีรึ”
อีกฝ่ายตอบมาแค่นี้ก็ไม่มองหนิงอี้อีก ก่อนจะเดินลงไปอีกเส้นทางภูเขา เดินเข้าไปในหมอก เขาโบกมือจะไปแล้ว
“ข้าจะไปเที่ยวใกล้ๆ กับเมืองหลวงสักหน่อย จวนเจ้าอยู่ที่ใด”
หนิงอี้มองหลิ่วสืออี เขายิ้มโดยพลัน “จวนเจ้าลัทธิเก่าของเมืองหลวง จวนขุนนางรองท่องกระบี่ในตอนนี้…หากเจ้าจะถามทาง ก็ไปถามหาจวนที่เรียกบาทาที่สุดในตอนนี้ นอกจากตรอกน้ำค้างแล้ว ก็เป็นจวนของข้า”
หลิ่วสืออีมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าตอนที่หนิงอี้เอ่ยคำนี้ ในน้ำเสียงถึงมีกลิ่นอายโอ้อวดอยู่สามส่วน
“ว่างก็มาดื่มชากัน” หนิงอี้มองหลิ่วสืออีด้วยรอยยิ้ม “เมืองหลวงไม่สงบสุข ระวังโดนคนทุบตีเจียนตายระหว่างทางล่ะ”
หลิ่วสืออีมองค้อน จำที่อยู่นี้ไว้ก่อนจะโบกมือและเดินเข้าไปกลางเมฆหมอก
หนิงอี้ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลงเขาจากเส้นทางตรงหน้า
…….
“คุณชายหนิงอี้ของเจ้าจะออกจากหุบเขานิรันดร์แล้ว ไม่คิดจะไปเจอหน่อยรึ”
“ไม่มีอะไรให้น่าเจอกันหรอก…” สวีชิงเยี่ยนส่ายหน้า
“หากสองฝ่ายรักกัน…” ฆราวาสเขาเสียวซานพูดด้วยรอยยิ้ม “ไฉนจะต้องคิดถึงกันเช้าจรดเย็น”
เด็กสาวมองอาจารย์ของตนด้วยสีหน้าแปลกๆ ในช่วงที่ได้อยู่กับบุรุษชุดขาวเช้าจรดเย็นและได้เรียนศาสตร์เต๋าหลายอย่าง นางยิ่งได้พบว่าภายนอกของบุรุษคนนี้ดูถูกต้องชอบธรรมยิ่ง แต่ภายในใจกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง ฆราวาสเขาเสียวซาน ‘ปัญญาชน’ แห่งเขาวิญญาณที่ไขข้อสงสัยให้ผู้มีอำนาจมากมายคนนี้อยู่มาร้อยแปดปีแล้ว แต่ภายในใจกลับเหมือนมีจิตวิญญาณแค่ยี่สิบปี จิตวิญญาณนั้นบางครั้งก็สนุกสนาน บางครั้งก็เศร้า บางครั้งก็ฮึกเหิม บางครั้งก็ท้อแท้หมดกำลังใจ
สวีชิงเยี่ยนเป็นเด็กสาวที่มีไหวพริบดีมาก นางมองเห็นสิ่งที่คนปกติมองไม่เห็นเล็กน้อย และรู้สึกได้ถึงความต่างเล็กน้อยเหล่านั้น
นางมักจะรู้สึกว่าเนื้อหนังร่างนี้ไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณดวงนี้
“คุณชายหนิงอี้สอนให้ข้าเด็ดขาดขึ้น” เด็กสาวสวมหมวก นางมองผ่านผ้าปิดหน้ามองส่งหนิงอี้ออกจากหุบเขานิรันดร์ เดินไปตามเส้นทางศิลาหินเล็กใหญ่ไปช้าๆ ก่อนจะเอ่ยนิ่งๆ “ตอนนี้ข้าไปพบคุณชายก็พูดได้มากสุดสามสี่คำ ทักทายกันเล็กน้อย หยุดอยู่ชั่วครู่แล้วก็จากกันอีก เรื่องพวกนี้…มีแต่เพิ่มความทุกข์เท่านั้น”
“เชือกแดงนั้นตรงคอเจ้าสวยมาก คุณชายหนิงอี้ของเจ้าดีกับเจ้ามากจริงๆ” ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้มก่อนจะพูดปลงเสียงเบา “คนปกติอาจจะมองไม่ออก แต่ปิดบังสายตาของยอดผู้บำเพ็ญได้ยากมาก”
สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปากก่อนพูดอย่างระมัดระวัง “นี่จะสร้างปัญหาให้คุณชายหนิงอี้หรือไม่”
“ไม่ใช่แค่ปัญหา หากโชคไม่ดี นี่จะเป็นหายนะถึงแก่ชีวิต” บุรุษชุดขาวชำเลืองตามองแม่นางน้อยที่มีสีหน้าระมัดระวังข้างกาย ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่เจ้าหนูนี่เหมือนจะดวงดีมาตลอด”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ฆราวาสเขาเสียวซานก็นิ่งไป ก่อนมองคนเฝ้าหุบเขาด้านข้างพลางพูดเชิงชี้แนะ “แค่ดูศิลาหินทั้งหมดยังสร้างความตกใจกับคนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ได้ ถึงขนาดออกมือช่วยเขาเป็นพิเศษเลย”
คนเฝ้าหุบเขาเอ่ยราบเรียบ “เฉาผีฝ่าฝืนกฎของหุบเขานิรันดร์ ข้าแค่ปฏิบัติอย่างยุติธรรมก็เท่านั้น”
“ก็เท่านั้นหรือ” ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้มหยีตา “คิดว่าข้าตาบอด ไม่เห็นชุดคลุมเฝ้าหุบเขาตัวนั้นหรือ เสริมจิตมรรคให้แข็งแกร่ง ลบแรงกดดันจิตวิญญาณ เจ้าลงแรงไปมากเพื่อเหนี่ยวนำพลังของทุกศิลาหิน เพื่อช่วยหนิงอี้รวมจิตกระบี่ประจำตัว ‘ไร้กฎเกณฑ์’ ขึ้น เขาไม่ได้เดินทางอ้อม ตระหนักวิถีกระบี่ที่แทบจะสมบูรณ์แบบออกมาได้ หากคนเฝ้าหุบเขาเจ้าไม่ลงมือ ข้าเชื่อว่าเขาจะเดินผ่านหุบเขานิรันดร์ได้ แต่จะตระหนัก ‘ไร้กฎเกณฑ์’ ออกมาได้หรือ”
คนเฝ้าหุบเขาพูดเสียงเบา “นี่คือโชควาสนาของเขา สิ่งที่ควรได้ จะให้ขาดไปไม่ได้แม้แต่นิด”
“มันก็ใช่” ฆราวาสเขาเสียวซานหรี่ตาลง พิจารณาคนเฝ้าหุบเขา ก่อนพูดเย้าหยอก “ถ้าเจ้าจะใช้ชุดคลุมช่วยให้เขาต้านกลิ่นอายมรณะพวกนั้น เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็จะเอาทุกอย่างมาเดิมพันกับเจ้า เดิมพันว่าเจ้าคือบิดาแท้ๆ ของเด็กกำพร้าเทือกเขาประจิมนั่น”
หลังจากเงียบไปช่วงสั้นๆ
“ข้าไม่ใช่”
คนเฝ้าหุบเขาปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมามาก
“มารดารึ” ฆราวาสเขาเสียวซานทำเสียงจิ๊ๆ “เจ้าเป็นหญิงรึ”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น อย่ามาหลอกถาม ไม่มีประโยชน์หรอก” คนเฝ้าหุบเขาพูดสั้นๆ เขามองส่งหนิงอี้ออกจากหุบเขานิรันดร์ สีหน้าไม่แน่ใจ ก่อนจะพูดงึมงำ “แค่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“เคยรู้จักกันมาก่อน…” ฆราวาสเขาเสียวซานเลิกคิ้วขึ้น
“เหตุใดคนนั้นยังไม่มาอีก” น้ำเสียงบุรุษชุดขาวมีความรำคาญนิดๆ “คงไม่ตายไปแล้วหรอกนะ”
สวีชิงเยี่ยนงุนงงเล็กน้อย คนนั้น คนไหนกัน
พวกเขากำลังรอใครอยู่
คนเฝ้าหุบเขาที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งชั่วนิรันดร์กลับหัวเราะขึ้นมาทันที
“นางตายแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าตลกชะมัดเลย”