เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 199 ข้ามาจากภูเขาม่วง
ตอนที่ 199 ข้ามาจากภูเขาม่วง
เพราะคนส่วนใหญ่ไปหุบเขานิรันดร์
ในเมืองหลวงจึงไม่ได้คึกคักเหมือนเก่า
หลังจากฝนตกใหม่ผ่านไป ก็มีร่างเงาคนออกมาเคลื่อนไหวบนถนน
ร่างเตี้ยเล็กถือร่มกระดาษมันสีแดงคันใหญ่เบียดเสียดอยู่กลางกลุ่มคน ใบร่มกดลงบดบังใบหน้า มองไม่เห็นหน้าตานาง ชุดคลุมสีแดงตัวโคล่งแบบโบราณไม่เหมือนคนท้องถิ่นเมืองหลวง แต่เหมือนเก้าแขนงของสามลัทธิที่ไม่รู้มาจากที่ใด ต้านกระแสงานราชวงศ์ใหญ่มาเมืองหลวง เที่ยวเล่นสนุกสนาน
เงาใต้ร่มไม่ได้พิจารณามองไปรอบๆ เส้นทางที่เดิมทุกก้าวถูกต้องแม่นยำ
นางเคยมาเมืองนี้หลายครั้งแล้ว
หากเปิดร่มกระดาษมันออกจะพบว่านี่เป็นเด็กหญิงเยาว์วัยที่มีส่วนสูงแค่เอวของบุรุษใหญ่ ผิวพรรณเนียนนุ่มเหมือนไขมันแกะ เส้นผมยาวสีดำมวยผมไว้ด้วยไม้สีแดง ไม่อย่างนั้นก็จะยาวจนถึงพื้นได้
เดินอย่างสบายใจมาถึงตรอกเล็กเงียบสงบ
“เป็นที่นี่”
นางพูดพึมพำ
…..
นักพรตชุดคลุมหยาบสองคนตรงประตูจวนขุนนางรองท่องกระบี่พลันรู้สึกง่วงงุน ความง่วงมาแบบไม่มีสัญญาณใดๆ ทำให้พวกเขาไม่ทันระวังตัวเลย รู้สึกแค่ว่าตนง่วงและล้ามากจริงๆ จากนั้นก็หมดสติ หลังชิดกับประตูใหญ่จวนช้าๆ ก่อนจะล้มลงอย่างนุ่มนวล
ภายในลานบ้านเงียบสงัด
เด็กสาวเพิ่งวางต้นครามหมื่นปีกระถางนั้นบนสันกำแพง หลังจากอาบพายุฝนลูกใหม่ กิ่งของต้นครามหมื่นปีก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เกิดความเขียวขจีขึ้น โคลงตัวไปมา
เผยฝานกำลังทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในลานบ้าน นางถือว่าเป็นคนกึ่งขยันเลย จะนำกระบี่ออกมาจากกระบี่ซ่อนทุกวัน ปล่อยให้เที่ยวเล่น สูดอากาศสดชื่น เอามาเช็ดถู จากนั้นก็เก็บเข้าไปในระหว่างคิ้วอย่างระมัดระวัง
เพราะจวนเจ้าลัทธิแห่งนี้ไม่สะดวกจะจ้างคนใช้ และเพราะพื้นที่กว้างเกินไป ห้องของหนิงอี้กับนางจึงมีฝุ่นอยู่ตลอด ส่วนใหญ่เด็กสาวก็จะเป็นคนทำความสะอาด
เผยฝานที่ถือถังน้ำสกปรกเดินมาถึงลานบ้าน พลันมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
ไม่อยากเชื่อว่านางจะไม่สังเกตเห็นเลย
ประตูใหญ่จวนขุนนางรองท่องกระบี่ปิดสนิท
แต่เคยเปิดมาแล้วครั้งหนึ่ง
ร่างถือร่มกระดาษมันสีแดงนั้นนั่งบนเก้าอี้กลองเอวตรงโต๊ะแปดเซียนในลานบ้าน พิงผนิงหินอย่างเกียจคร้าน ค่ายกลยันต์สี่ทิศเปล่งแสงสว่าง ถูกกดไว้ขยับไม่ได้เลย
“เทพเซียนจากที่ใดกัน” เผยฝานหรี่ตาลง ร่มกระดาษมันนั้นดูคุ้นตามาก แต่ก็ถูกกดลงต่ำมาก มองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด ไม่อยากเชื่อว่าในเมืองหลวงจะมีคนเข้ามาในจวนของตนได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้
“น้องสาวของหนิงอี้เผยฝาน บุตรสาวของเผยหมินเผยหลิงซู่ ข้าชอบนามข้างหลังมากกว่า” คนนั้นที่นั่งในลานบ้านหุบร่มช้าๆ เผยใบหน้าแท้จริงของตน
เมื่อเห็นใบหน้าเด็กหญิงที่เยาว์วัยกว่าตน เผยฝานมีแววตาฉงนใจเล็กน้อย นางสัมผัสอย่างละเอียดก็พบว่าในตัวอีกฝ่ายมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยอยู่…เหมือนเคยพบกัน แต่เคยพบกันที่ใด?
“ข้าเคยพบเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง เจ้ายังเป็นแค่เด็กน้อยเทือกเขาประจิม ตอนนั้นเจ้ายังนำกระบี่ออกมาไม่ได้มากขนาดนี้ ยังไม่ก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญด้วยซ้ำ” เด็กหญิงกางร่มที่นั่งบนเก้าอี้หินพูดด้วยน้ำเสียงวางมาดอาวุโส เอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้ากลับมองพลาดไป เผยหมินทำเพื่อเจ้ามาก ปลอมตัวเจ้าได้อย่างไร้ที่ติ มิน่าถึงซ่อนการตรวจสอบจากสามกรมต้าสุยมาได้หลายปี”
“เจ้าเป็นใคร”
เผยฝานถอยไปครึ่งก้าวด้วยความระแวง แผ่นหลังชิดกับกำแพงจวน ข้างหลังนางเป็นห้องบ่มเพาะกระบี่ซ่อนของตน ที่นี่คือเมืองหลวง หากผู้มาเป็นคนใหญ่คนโตที่สุดยอดจริงๆ จากนี้คงเลี่ยงการปะทะได้ยาก อาจจะไปถึงขั้นต้องใช้กระบี่ซ่อน
สถานการณ์เงียบลง
เด็กสาวเก็บร่มไม่ได้ตอบคำถามเด็กสาว
นางยื่นมือมาข้างหนึ่ง ดันฝ่ามือขึ้นข้างบน ยื่นออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนจะรับบางอย่างไว้
ดังนั้นต้นครามหมื่นปีจึงตกลงมาเช่นนี้ ลงที่ฝ่ามืออย่างมั่นคง
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญว่าข้าจะทำอะไรมากกว่า” นางลูบใบครามพลางพูดเบาๆ “ก็เหมือนที่ว่า…เจ้าเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรมากกว่า”
นางมองไปที่ถังไม้ที่ดูราบเรียบแต่ข้างในมีน้ำสกปรกพลิ้วไหวไปมาบนพื้นนั้น “เจ้ากำลังทำความสะอาดลานบ้านสกปรกนี่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนต่ำต้อยในจวนแห่งนี้รึ”
เผยฝานเงียบลง
“ได้ยินว่าเมืองหลวงคึกคักมาก เจ้าไม่ควรเอาแต่อยู่ที่นี่”
เด็กสาวมองเด็กหญิงชุดแดง มองเบื้องหลังไม่ออกเลย ในตัวอีกฝ่ายมีกลิ่นอายคุ้นเคยอยู่จริงๆ
นางความจำดีมาก มองไม่เคยพลาด จะต้องเคยเจอเด็กหญิงชุดแดงคนนี้ที่ไหนสักแห่งแน่นอน
“เจ้ารู้สองนามของข้า ก็ต้องรู้สองตัวตนของข้าแน่” เผยฝานเอ่ยนิ่งๆ “ตัวตนที่สองของข้ากำหนดไว้ให้ข้าออกไปข้างนอกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดมรสุมครั้งใหญ่”
“เจ้ามีตัวตนที่สามได้ ตัวตนที่จะทำให้เจ้าออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ เจอปัญหาอะไร ขอแค่เอ่ยนามสำนักก็จะแก้ไขปัญหาได้” เด็กหญิงชุดแดงที่กำลังลูบใบครามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
เผยฝานรู้สึกขำนิดๆ
นางมองอีกฝ่าย “อย่างเช่น?”
“อย่างเช่น…ศิษย์ของข้า”
เด็กหญิงชุดแดงลูบใบครามหมื่นปีที่ลู่ไปตามลมเหมือนลูบขนแมว ก่อนนางจะเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ สบตากับเด็กสาว ในดวงตานางไม่มีความล้อเล่นเลย แต่กลับยิ้มมุมปาก “ข้าชื่อฉู่เซียว ปุถุชนลืมนามนี้ไปนานมากแล้ว…เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”
ฉู่เซียว…
เด็กสาวพยายามค้นในความทรงจำของนาง นางขมวดคิ้วขึ้น
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
“ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนเขาครามแล้ว วิถีแห่งยันต์ของลู่เซิ่งกำราบปรมาจารย์ค่ายกลอัจฉริยะทั้งหมดของเมืองหลวงตลอดห้าร้อยปีมานี้ได้” ฉู่เซียวพูดด้วยรอยยิ้ม “ยันต์ของเขา แทรกซึมเข้าไปในจวนขานฟ้าไม่ถือว่าเท่าไร แต่ไว้ในจวนขุนนางรองท่องกระบี่เล็กๆ นี่มันเสียของดีชัดๆ แน่นอน แค่รักษาความสงบก็พอ เพราะไม่มีใครมองออกอยู่แล้ว…น่าเสียดายมากที่มันมาเจอข้า”
นางวางร่มกระดาษมันสีแดงไว้ข้างเท้าเบาๆ ตั้งไว้ใต้กำแพง
ฉู่เซียวที่กอดใบครามในอ้อมกอดไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แค่ยกเท้าขึ้นเบาๆ
ลดลงช้าๆ
เกิดฝุ่นตลบขึ้น
ทั้งจวน ภายนอกไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ภายในกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ลานบ้านจวนพลันต่างไปราวพลิกฟ้าดิน เกิดแสงสว่างจ้า ยันต์หลายสิบไปถึงร้อยใบที่แปะรอบจวนขุนนางรองท่องกระบี่ถูกพลังไร้รูปดึงออกมาเช่นนี้ มาหยุดอยู่ตรงหน้า ข้างหลังและหัวไหล่ของเด็กหญิงชุดแดง
“กั้นเสียง วางปราณ กลั้นลมหายใจ…ไม่เลว”
เด็กหญิงชุดแดงมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย ในดวงตามีความซับซ้อนอยู่สามสี่ส่วน นางเพ่งมองยันต์พวกนี้ทีละแผ่น นิ้วมือลูบไล้ลวดลายใหม่ ยันต์เหมือนมีจิตวิญญาณ ต่อแถวยาวเหยียดกันเข้ามา เฉียดผ่านปลายนิ้วนาง สีหน้านางเหมือนกำลังมองคนสนิทเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ดวงตานางมีความชื้นนิดๆ วูบผ่านไป ก่อนจะพูดงึมงำ “มีความคล้ายของลู่เซิ่งสามส่วน”
เผยฝานพลันลดความระแวงลง เหม่อมองเด็กหญิงชุดแดงข้างหน้า
นางรู้เบื้องหลังอีกฝ่ายแล้ว
เด็กหญิงก้มหน้าลง หัวเราะเบาๆ
“ข้ามาจากภูเขาม่วง”