เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 201 ศิษย์พี่ของข้า ตายแล้วจริงหรือ
ตอนที่ 201 ศิษย์พี่ของข้า ตายแล้วจริงหรือ
หุบเขานิรันดร์ฝนหยุดตกแล้ว
หนิงอี้เดินลงไปตามเส้นทางภูเขา
หินภูเขายังไม่แห้ง ไอวิญญาณหนาทึบ หญ้าน้ำค้างสองข้างทางเล็กพลิ้วไหว โค้งตัวไปทางหนิงอี้ช้าๆ
หนิงอี้ผ่านไปที่ใด ศิลาหินหุบเขานิรันดร์จะเหมือนเกิดการสัมผัสที่แปลกประหลาดบางอย่าง
หนิงอี้มองศิลาหินวิถีกระบี่ทั้งหุบเขานิรันดร์ ในทะเลวิญญาณของเขาตอนนี้มีเจตจำนงกระบี่ที่ยังไม่ตระหนักรู้อย่างสมบูรณ์และเป็นเพียงตัวอ่อนแรกเริ่มเพิ่มมา กระบี่ทัณฑ์ล้ำเลิศนั้นของผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์พิงอยู่ริมบ่อน้ำ น้ำเต็มบ่อ ความเป็นเทพลอยขึ้นลง เจตจำนงกระบี่เหมือนจอกแหนเล็กๆ มุดลงไป กำเนิดรากแต่ยังไม่แตกหน่อ รอเพียงโอกาสที่เหมาะสมก็จะงอกงามขึ้น
หนิงอี้ไม่รีบร้อน
ค่อยๆ เป็นไปตามสถานการณ์ คำว่านักกระบี่ ที่ทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมดได้นั่นเป็นเพราะฝึกถึงจุดสูงสุด ปราณกระบี่จะคมมากพอ แกร่งมากพอ แต่หนิงอี้ยังห่างจากขั้นนั้นอีกไกลมาก
“ศึกนั้นกับหลิ่วสืออี ข้ายังพลาดอีกหลายอย่าง…” หนิงอี้ลงเขาไปพลางนึกไปถึงรายละเอียดของศึกนั้นบนหุบเขานิรันดร์ไปพลาง หลิ่วสืออีกับตนรวมจิตกระบี่ประจำตัวออกมา เห็นได้ชัดว่ายังไม่เติบโต ปราณกระบี่ของหลิ่วสืออียังรวบรัดได้มากกว่านี้ ส่วนการใช้วิถีกระบี่ของตนก็ยังไม่เรียกว่าชำนาญ
ใช้สมาธิส่องดูภายใน หนิงอี้ก็พบว่าในบ่อเทพตรงตันเถียนของเขา น้ำวนสีขาวนั้นรวมเป็นก้อนผลึกเล็กๆ ก้อนหนึ่ง
“คล้ายผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์นิดๆ” หนิงอี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาพูดพึมพำ “นี่คือการเริ่มบนเส้นทางบำเพ็ญอย่างแท้จริงรึ”
ยอดฝีมือขอบเขตนิพพานพวกนั้น การจะเดินไปก้าวสุดท้าย อยู่เคียงข้างดาราที่เป็นอมตะชั่วนิรันดร์ได้นั้น ต้องใช้ความเป็นเทพมหาศาลปรับแก้ร่างกายตนเอง ให้ตนเองหลุดพ้นจากกายธรรมดา รวมตัวอ่อนเทพขึ้น
และก้าวนี้มักจะเป็นเริ่มต้นจาก ‘ผลึกเทพ’ ก้อนหนึ่ง
ด้วยการรวมใจกระบี่ประจำตัวเป็นผลึกเทพก้อนหนึ่งทันที ความเป็นเทพที่อยู่อย่างสงบในบ่อน้ำพวกนั้น ในที่สุดก็หาที่พักพิงพบ หยดความเป็นเทพที่สวีชิงเยี่ยนส่งผ่านสะพานเมฆหมอกมาในบ่อน้ำตันเถียนของหนิงอี้เรื่อยๆ แต่ละหยดหลอมรวมเข้าไปในผลึก เริ่มถูกหลอมละลายและดูดซับทีละนิด
“ตั้งแต่ข้าทะลวงขอบเขตหลัง ร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลง…” หนิงอี้พลิกข้อมือ เขานึกไปถึงภาพที่ตนถูกหลิ่วสืออีฟันกระบี่ หลังจากเลือดสาดกระจาย ความเป็นเทพก็กลายเป็นหมอกออกมา ปกคลุมเนื้อหนังของตน ทำให้มันกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เลือดระเหย กระดูกขาวกำเนิดเนื้อ บาดแผลตกสะเก็ด อีกทั้งยังหลุดร่วงอย่างรวดเร็วยิ่ง เผยผิวพรรณขาวบริสุทธิ์ดุจหยก
ชุดคลุมดำของหนิงอี้มีรอยขาดหลายจุด เขามีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย มองรูบนเสื้อ ผิวหนังใหม่นั้นตรงหัวไหล่ขาวเนียนกว่าสตรีหลายคน ก่อนมาเมืองหลวง หนิงอี้ฝึกบำเพ็ญบนเขาน้ำค้างเล็ก ไม่ได้ฝึกหล่อเลี้ยงตนเอง ตากลมตากแดดใช้ชีวิตง่ายๆ เอวกับหลังสี่แห่งเป็นสีข้าวสาลีทั้งหมด
“ความเป็นเทพ…หลอมรวมเข้าไปในเลือดของข้ารึ”
หนิงอี้เพ่งสายตามองเล็กน้อย เขาจ้องรูชุดคลุมดำของตน สีหน้ามีความลังเลเล็กน้อย จากนั้นหมุนคมกระบี่สีขาวพินิจเหมันต์ออก
ความเป็นเทพหลอมรวมเข้าสู่เลือดเป็นเรื่องดี แต่ความเป็นเทพมีความไม่แน่นอนและรุนแรงเกินไป ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่จะจุดดาราชะตาแล้วถึงลองส่งเข้าไปในเลือด
คมกระบี่ของหนิงอี้เล็งที่ผิวขาวเนียนนั้นตรงหัวไหล่
ปราณกระบี่พุ่งออกไป
เกิดเสียงดังฉึก หนิงอี้ที่ไม่ได้ใช้ศาสตร์กายและจิต ตรงหัวไหล่พลันพุ่งเป็นเลือดเล็กยาว
กระบี่นี้คุมแรงไว้ได้ดีมาก ถึงอย่างไรก็แทงตัวเอง…หนิงอี้ทำเป็นเมินความเจ็บปวด ก้มหน้าลงมองบาดแผล
สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังคือครั้งนี้ไม่เกิดเหตุการณ์แสงเทพเรืองรองเหมือนตอนที่หลิ่วสืออีแทงหัวไหล่เขา หนิงอี้จ้องอยู่สิบลมหายใจก็แยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“ดูแล้วความเป็นเทพพวกนี้คงไม่ได้หลอมรวมกับเลือดอย่างแท้จริงและอยู่ร่วมกันเหมือนผู้บำเพ็ญดาราชะตาที่แท้จริงพวกนั้น…ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะฟื้นฟูได้” หนิงอี้สรุปกฎเกณฑ์ออกมาอย่างหนึ่ง ปากพูดพึมพำ “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าทุกครั้งที่ทะลวงขอบเขตพลังใหญ่ ที่ราบกระดูกจะปรับแก้ร่างกายข้าให้แข็งแกร่งขึ้นตลอดเลย…”
ครั้งนั้นที่จุดเพลิงดารา
ขอบเขตกลาง ขอบเขตหลัง
หนิงอี้กำหมัด ในเลือดภายในกายตนแฝงความเป็นเทพที่มีปริมาณไม่มาก นี่น่าจะเป็นคุณความดีของที่ราบกระดูกในตันเถียน ส่งความเป็นเทพที่เหลือไปในเลือด ตอนที่ตนบาดเจ็บก็จะเปล่งแสงม่วงเรืองรอง รักษาบาดแผลของตนอย่างรวดเร็วเหมือนบนยอดหุบเขานิรันดร์
นี่เป็น ‘พรสวรรค์’ ที่สุดยอดยิ่งภายใต้สิบขอบเขต น่าเสียดาย ระหว่างนั้นต้องเว้นช่วงเวลาค่อนข้างนาน หนิงอี้ใช้ในการต่อสู้เดียวสองครั้งไม่ได้
เมื่อจัดระเบียบสิ่งเหล่านี้เรียบร้อย หนิงอี้ก็ส่องดูภายในอีกครั้ง จดจ่อสมาธิทั้งหมดไปกับก้นบ่อความเป็นเทพ
ความเป็นเทพดุจสายน้ำ ก้นบ่อสีขาวขุ่นกำเนิดไอสีดำขึ้น ขยับไปมาเหมือนหญ้าทะเล
กลิ่นอายมรณะสีดำพวกนี้สอดคล้องกับเจตจำนงกระบี่ศิลาหินบนผิวน้ำ
ทุกการศึกษาศิลาหินหุบเขานิรันดร์ ขณะเดียวกับที่หนิงอี้ได้รับเจตจำนงกระบี่ก็จะดูดซับกลิ่นอายมรณะที่สอดคล้องกันมาด้วย
“ข้าอยากรู้นักว่าจะมีเคราะห์ร้ายอะไร” หนิงอี้ยิ้มไม่ใส่ใจเลย เขาสูดลมหายใจเบาๆ ตอนนี้กลิ่นอายมรณะพวกนี้ยังคงเชื่อฟัง ยังไม่กำเริบ
พันปีมานี้ของต้าสุย อัจฉริยะที่เคยขึ้นสู่ยอดหุบเขานิรันดร์และศึกษาศิลาหินในวิถีการบำเพ็ญของตนทั้งหมด ไม่มีใครมีจุดจบที่ดีเลย…หนิงอี้เคยฟังเรื่องนี้มาก่อน ความจริงลึกๆ ในใจเขาก็มีความหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน ที่ราบกระดูกไม่โต้ตอบกับกลิ่นอายมรณะพวกนี้เลย เขาอยากลองใช้ขลุ่ยกระดูกดูดซับกลิ่นอายมรณะพวกนี้ แต่ก็พบว่าไม่มีประโยชน์
ระหว่างความเป็นตายมีเรื่องน่าสะพรึงอยู่
กฎที่แกร่งที่สุดในฟ้าดินวางอยู่ตรงนี้ ต่อให้ขลุ่ยกระดูกจะดูดซับแสงดาราได้ เปลี่ยนเป็นความเป็นเทพได้ ก็ยังไม่อาจพลิกกลับความเป็นตายได้
ช่วงที่จักรพรรดิไท่จงยังไม่ขึ้นครองราชย์ ใต้ฟ้าต้าสุยเคยมีอัจฉริยะหนุ่มสาวสามคนมีชื่อเสียงเลื่องลือ ตอนนั้น สี่คนยังไม่จุดดาราชะตา ต่างฝ่ายต่างสูสีกัน หนึ่งในนั้นคือคุณชายลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซาน อีกคนเล่าลือว่าเป็นสตรีลึกลับไม่รู้ที่มาที่ไป เกี่ยวกับสตรีลึกลับคนนี้ หลังจากกลับมาจากภูเขาแดง หนิงอี้ก็คิดว่าเป็นแขกวารีสาวที่นั่งลืมสำเร็จและเกิดมาในภพที่สอง
และยังมีอีกท่านเป็นผู้บำเพ็ญพเนจร มาจากแดนทักษิณ ไม่เคยทำเรื่องเลวทรามใดๆ เรียกตัวเองว่าขุนเขาอันดับหนึ่งแห่งแดนทักษิณ และยังได้รับขนานนามว่าเป็น ‘เทพเซียนที่มีชีวิต’
ผู้บำเพ็ญพเนจรท่านนั้นเคยก้าวขึ้นหุบเขานิรันดร์ ไม่ใช่แค่มองดูมหามรรคของตนทั้งหมด แต่ยังดู ‘วิถี’ อื่นๆ อย่างเช่นวิถีกระบี่ วิถีดาบ วิถีหอก กระทั่งวิถีนอกรีต เก้าสายของสามลัทธิ วิชาเทพเซียนหลากหลาย ก็ดูจนครบ
หนิงอี้นึกย้อนกลับไป หลังจากตนก้าวสู่หุบเขานิรันดร์และได้เห็นสวนสุสานพันปีนั้น ความจริงมีศิลาหินพังทลายไปไม่น้อย เล่าลือว่าเป็น ‘เรื่องดี’ ฝีมือของเทพเซียนที่มีชีวิตท่านนั้น เพราะได้ท่วงทำนองไม่พอ จึงช่วงชิงต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว ไม่สนใจว่าตนจะดูดซับกลิ่นอายมรณะไปเท่าไร บทสรุปสุดท้ายคือชิงท่วงทำนองของศิลาหินไปทั้งหมด ศิลาหินที่เขาถูกใจถูกถอนรากถอนโคน หลังสูบท่วงทำนองไปหมดแล้วก็กลายเป็นเถ้าธุลี
กลอุบายพลิกฟ้า
หุบเขานิรันดร์เป็นแดนโชควาสนาที่อัจฉริยะปกติไม่คู่ควรอยู่แล้ว การรับจิตวิญญาณของผู้บำเพ็ญขอบเขตนิพพาน ศึกษาท่วงทำนองไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้ความคิดสูบท่วงทำนองในศิลาหินออกมาทั้งหมดเหมือนเทพเซียนที่มีชีวิตท่านนั้น
ทว่าบทสรุปสุดท้าย…
เทพเซียนที่มีชีวิตท่านนั้นเปล่งประกายแสงไร้ขอบเขต ไร้พ่ายในขอบเขตที่สิบ กระทั่งตอนนั้นยังเหนือกว่าในพวกลู่เซิ่งสี่คน
เพียงแต่ต่อมา คนที่ไม่สำเร็จขอบเขตนิพพาน…มีเพียงเขาคนเดียว
อย่าว่าแต่นิพพานเลย
ผู้บำเพ็ญพเนจรที่ยืนอยู่สูงสุดของแดนทักษิณยังจุดดาราชะตาไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนทะลวงขอบเขตที่สิบ เขาตายลงภายใต้เคราะห์สวรรค์ที่มีอานุภาพน่าสะพรึงยิ่ง ถูกแผดเผาตายไป
หุบเขานิรันดร์มีศิลาหินของเขาอยู่ ในนั้นไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า เป็นเพียงคนเดียวที่ใช้พลังบำเพ็ญขอบเขตที่สิบฝากศิลาหินไว้ในหุบเขานิรันดร์ ศิลาหินนั้นวางบนยอดหุบเขานิรันดร์ เหมือนกับศิลาหินบุพกาล ถูกหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี คนปกติจะมองไม่เห็น
ผู้บำเพ็ญพเนจรแดนทักษิณท่านนั้นฝากชื่อเสียงของตนไว้
อวี๋ชิงสุ่ย นามสุภาพคล้ายสตรีเขตแม่น้ำใหญ่ น่าเสียดายที่ไม่ได้พิสูจน์มหามรรค
นี่เป็นร่องรอยสุดท้ายบนโลกนี้ของเขา
……
หนิงอี้พลันหยุดชะงัก
เขาขมวดคิ้ว ไม้โบราณหุบเขานิรันดร์สองข้างทางลู่ไปตามลม หยดน้ำที่ยังไม่ระเหยถูกสะบัดตกลง ไหลเป็นเส้นสายตกลงบนแผ่นหินคราม
ทั้งหุบเขานิรันดร์เหมือนตื่นขึ้นจากในไปสู่นอก
ทางนั้นของหมอกมีเงากางร่มคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ
นั่นเป็นร่มกระดาษมันสีแดงคันใหญ่ ดูจากคุณภาพและลักษณะคล้ายกับตนเก้าส่วน กระทั่งพลังที่แฝงในร่มกระดาษมันนั้นยังมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างหนึ่ง
ร่างถือร่มกระดาษมันสีแดงคันใหญ่ตัวไม่สูง หมอกบดบังใบหน้าคนนั้น ดูจากรูปร่าง เหมือนจะเป็นเพียงเด็กหญิง
ตอนเดินเฉียดผ่านไหล่ เสียงแหบแห้งดังขึ้นราบเรียบ
“ระหว่างความเป็นตายมีเรื่องน่าสะพรึง คำพูดนี้ไม่ใช่เล่นๆ ดูดซับไปมรณะไปมากขนาดนี้…หนิงอี้ เจ้าจงระวังไว้จะดีที่สุด อย่าได้เดินตามรอยของอวี๋ชิงสุ่ย”
หนิงอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย
สองคนเดินเฉียดผ่านกัน
หนิงอี้พลันยืนนิ่ง เขาหันไปมองก่อนถามอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโส เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่”
ได้ยินเช่นนั้น เงาถือร่มสีแดงใหญ่นั้นก็หยุดเดินเช่นกัน
บนล่างเส้นทางภูเขาเงียบสงบ มีเพียงเสียงใบไม้ดังซ่าๆ
หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว เขามองเงากางร่มนั้นพลางหัวเราะทันที
“เดาออกรึ”
ฉู่เซียวไม่หันกลับมา นางหัวเราะเช่นกัน
“เดาออกแล้ว” หนิงอี้ตอบด้วยความสัตย์จริง “ท่านเจ้าภูเขา ผู้เยาว์มีคำถามข้อหนึ่ง ศิษย์พี่ของข้า ตายแล้วจริงหรือ”