เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 203 ศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์ที่แท้จริง
ตอนที่ 203 ศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์ที่แท้จริง
อู๋เต้าจื่อ!
หนิงอี้จิตใจสั่นไหว
หลังสองคนแยกกันในสุสานจวนเขาครามของจวนขานฟ้า เขาก็ไม่ได้ข่าวคราวของอู๋เต้าจื่ออีกเลย ตอนนั้นนักบวชตามหาวิชาคืนชีพ อยากจะคืนชีพให้เนี่ยหงหลิงแห่งภูเขาม่วง เขาใช้ความพยายามไปอย่างมาก ใช้ชื่อเสียงและฐานะต่ำต้อยที่ทุกคนรังเกียจ ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว
“บุรุษคนนี้เคยคุกเข่าที่ภูเขาม่วงสิบวันสิบคืน แค่เพราะอยากเข้าพบหินศิลาของเนี่ยหงหลิง” ฉู่เซียวพูดอย่างเฉยชา “ข้าไม่ชอบเขา คุณสมบัติแย่เกินไป พลังบำเพ็ญต่ำเกินไป ไม่มีอะไรเลย เหลือแค่ศาสตร์วิชาแสวงมังกรที่ไร้ประโยชน์ และยังแบกชื่อเสียงทั้งใต้ฟ้า หากข้าตบเขาตาย เขาศักดิ์สิทธิ์มากมายในต้าสุยคงจะมามอบของขวัญให้ที่ภูเขาม่วง หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่เขาร้องห่มร้องไห้น่าสงสาร และยังมีความสามารถวิชานอกรีตสามส่วน ต่อให้คุกเข่าหน้าภูเขาม่วงหนึ่งปี จิตวิญญาณโรยรา ข้าก็จะไม่ใจอ่อนเด็ดขาดเลย”
หนิงอี้เห็นท่าทีเฉยเมยตอนเด็กหญิงชุดแดงพูดแล้ว ใจก็นึกไปว่าผู้อาวุโสท่านนี้คงจะเป็นพวกปากมีดแต่หัวใจเต้าหู้…หากยึดมั่นไม่สนใจจริงๆ กั้นเสียงไว้ เวลาสิบปีก็แค่ดีดนิ้วเท่านั้น คุกเข่าปีเดียวมันจะเท่าไรกันเชียว
หนิงอี้ถอนหายใจอยู่ข้างใน โจรปล้นสุสานที่มีชื่อเสียนั่นจะไปสุสานเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในใต้หล้า ตามหาวิชาคืนชีพในตำนานเพื่อหญิงที่ตนแอบรัก
ฟังดูเหลวไหลและไร้สาระจริงๆ
“เขาถามข้าหลายคำถาม และก็สาบานรับปากกับข้าว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้เนี่ยหงหลิงฟื้นขึ้นมา” ฉู่เซียวเลิกคิ้วขึ้น “เขามาภูเขาม่วงหลายครั้งแล้ว และได้วิธีมาหลายอย่าง…แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม”
“ไม่เหมือนเดิมหรือ”
หนิงอี้รวมสมาธิ
ฉู่เซียวเอ่ยนิ่งๆ “ข้ารู้สึกมีความหวังขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้ว”
“คนตายมีเหตุผลหลายอย่าง ในนั้นแบ่งเป็นสองประเภทคร่าวๆ ตายโดยธรรมชาติกับความตายที่มาจากปัจจัยภายนอก” เด็กหญิงชุดแดงเอ่ยอย่างเฉยชา “หากถูกฟันกระบี่หัวขาด ต่อให้เป็นเซียนทองคำต้าหลัวมาก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
หนิงอี้พยักหน้า
“ศิษย์ข้าเนี่ยหงหลิงถูกปิดล้อมในคืนโลหิตเมืองหลวง” ตอนฉู่เซียวเอ่ยคำนี้ ยังกลั้นความโกรธในน้ำเสียงไว้ไม่อยู่นิดๆ นางเอ่ยเนิบนาบ “ดูจากสถานการณ์ตอนนั้น หากสวีจั้งมาทัน ก็ยังมีโอกาสช่วยได้น้อยมากอยู่ดี…ดังนั้น นางจึงเลือกปิดเส้นชีพจรตัวเอง ปิดตายทวารพลังทั้งหมด”
“นี่เป็นการฆ่าตัวตาย” หนิงอี้มองเด็กหญิงชุดแดงพลางพูดพึมพำ “ด้วยชื่อเสียงโด่งดังของท่าน ศพของเนี่ยหงหลิงจึงไม่เสียหายใดๆ เลยใช่หรือไม่”
“ตอนนั้นข้าออกจากภูเขาไม่ได้” ฉู่เซียวสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยต่อ “จนข้ารู้ตัวว่าผิดปกติ เรื่องก็จบไปแล้ว ศพนางถูกส่งมาภูเขาม่วง ข้าใช้วิชาลับปิดโลงไม้ ศพเลยอยู่ในสภาพดี”
“เส้นชีพจรขาด ไร้พลังชีวิต ทั้งตัวนางมีแต่กลิ่นอายมรณะ” เจ้าภูเขาม่วงเอ่ยช้าๆ “ข้าลองมาหลายวิธีแล้ว ดึงกลิ่นอายมรณะของนางออกมาเรื่อยๆ จะให้นางคืนชีพมาอีกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้ กลิ่นอายมรณะยังออกมาไม่ขาดสาย ในกฎฟ้าดิน นี่คือคนที่ตายไปแล้ว”
“ดวงวิญญาณของเนี่ยหงหลิงถูกเก็บไว้ในแขนเสื้อตอนยังมีชีวิต วางไว้ในโลงไม้เก็บรักษาอย่างดี วิถีแห่งการเกิดดับ หากพลังชีวิตน้อยกว่ากลิ่นอายมรณะ เช่นนั้นผู้บำเพ็ญจะไม่อาจหนีความตายพ้น…แต่ดวงวิญญาณของนางอ่อนแอมาก เหลือเพียงดวงเล็กๆ จึงต้องล้างกลิ่นอายมรณะให้หมดถึงจะมีหวังคืนชีพนางได้”
ฉู่เซียวมองหนิงอี้ก่อนจะพูดขึ้น “นี่ก็เหมือนขอบเขตนั้นของนิพพานเกิดดับ หากตายตอนทะลวงพลังก็จะตายไปจริงๆ คนอื่นช่วยอะไรไม่ได้”
สวีจั้งไม่เคยบอกกับหนิงอี้เลยว่าคืนโลหิตเมืองหลวงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาไม่เคยบอกกับหนิงอี้ถึงสาเหตุการตายของเนี่ยหงหลิง…
หนิงอี้ถามเสียงเบา “นักบวชนั่นเจอวิธีอะไร”
“เขาจะ…ล้างกลิ่นอายมรณะให้หมด ให้เนี่ยหงหลิงตื่นขึ้นมา” ฉู่เซียวมองหนิงอี้พลางเอ่ยนิ่งๆ “เขาบอกว่าเขาหาสมบัติชิ้นหนึ่งพบ ทั้งยังลองล้างกลิ่นอายมรณะในโลงศพแล้ว ได้ผลจริงๆ น่าเสียดายว่ายังขาดกำลังไปอีกเล็กน้อย ต้องหาของอื่นมาช่วย”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
ฉู่เซียวยิ้ม “ออกจากต้าสุยไปแล้ว…ไปใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ”
“ที่บอกเรื่องพวกนี้กับเจ้าไม่ใช่ว่าจะยุให้เจ้าอยากรู้ แค่อยากบอกเจ้าว่าความตายมีเพียงสองคำ แต่ต้องแบ่งเป็นหลายสถานการณ์ หากเงื่อนไขพร้อม…เช่นนั้นคนที่ตายไปแล้วบางคนก็อาจจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งจริงๆ ก็ได้”
เด็กหญิงชุดแดงพูดจบก็โบกมือ
หมอกกั้นเสียงโดยรอบแตกเป็นเสี่ยงๆ
หนิงอี้เหม่อมองฉู่เซียวหมุนตัวจากไป ดวงชะตาแยกสองคนออก เขาย่อยคำพูดนั้นที่เจ้าภูเขาม่วงพูดกับเขา ภายในใจมีความผิดหวังและฉงนใจเล็กน้อย นี่ถือว่าเป็นคำตอบแบบใดกัน
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก
เขาโค้งตัวแสดงความเคารพอย่างจริงใจ ก่อนจะพูดเสียงดัง “ขอยคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะมาก”
เด็กหญิงกางร่มแดงในหมอกเส้นทางภูเขาเดินไปไกลแล้ว เสียงนางดังแว่วมา
“หากกลิ่นอายมรณะมาถึง…บีบจี้หยกให้แตก!”
หนิงอี้เกาศีรษะ หากกลิ่นอายมรณะมาถึง บีบจี้หยกให้แตกหรือ กลิ่นอายมรณะ…หมายถึงกลิ่นอายมรณะในบ่อเทพของตนรึ จี้หยกคืออะไรกัน เขาเงยหน้าขึ้นมองไม่เห็นร่างฉู่เซียวแล้ว ผู้อาวุโสที่กางร่มแดงคันใหญ่เดินขึ้นไปบนยอดหุบเขานิรันดร์ช้าๆ
นี่จะไปทำอะไรกัน
หนิงอี้คลึงแก้ม เกิดความคิดซับซ้อน หมอกหุบเขานิรันดร์หนาทึบขึ้น เหมือนจะปิดภูเขาแล้ว
“ได้เวลากลับแล้ว…”
หนิงอี้พ่นลมหายใจ ครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยว ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาตอนนี้ ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว
ไม่ถามในสิ่งที่ไม่ควร ไม่คิดในสิ่งที่ไม่ควร
……….
เด็กหญิงชุดแดงที่กางร่มกระดาษมันสีแดงเดินผ่านเส้นทางภูเขาหินแตกหุบเขานิรันดร์ เดินผ่านแผ่นหินครามที่มีลายด่างพร้อย เดินผ่านใบหญ้าและศิลาหินที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายฝนตกใหม่
ผ่านไปที่ใด เศษหินจะดีดขึ้น น้ำโคลนแตกกระจาย ใบหญ้าพลิ้วไหวลอยขึ้น รอบศิลาหินเต็มไปด้วยรอยร้าว
ฉู่เซียวเดินหน้าไปช้าๆ สีร่มกระดาษมันตรงบ่านางกลายเป็นสีแดงฉานขึ้นทีละนิด การเปลี่ยนของสีแดงเอนไปทางสีเลือดข้น มุมปากนางยกขึ้น และยังเปลี่ยนเป็นสีสดแสบตา
สีแดงและม่วง
ชุดกระโปรงถูกพายุพัดลอยขึ้น ฉู่เซียวมีใบหน้าราบเรียบ รอยยิ้มมุมปากมีความอวดดี ตรงรอยเว้าชุดกระโปรงเผยขาขาวเนียนดุจดอกบัว ก่อนจะยืนนิ่งโดยพลัน
“ไม่ได้พบกันนาน แม่นางฉู่ก็ยัง…อารมณ์ร้ายเหมือนเดิมเลย”
เสียงถอนหายใจเบาดังมาจากบนหุบเขานิรันดร์
เงาของฆราวาสเขาเสียวซานเผยออกมากลางหมอกช้าๆ ข้างกายเขาเป็นหญิงสวมหมวก ต่อให้เดินออกมาก็ยังใช้วิชาเขาวิญญาณโดยไม่รู้ตัว บดบังสองคนไว้ เผยเพียงเค้าโครงคร่าวๆ
เขามองไอม่วงพุ่งเข้ามาดุจแสงเรืองรองเต็มฟ้าพลางพูดปลงเสียงเบา “มหามรรคเกิดดับ พรสวรรค์เลิศล้ำ เจ้าภูเขาม่วงรุ่นแรกสร้างวิชาน่าตกใจเช่นนี้ได้ ดูท่าคงไปถึงธรณีประตูของผู้เป็นอมตะแล้ว”
“ผู้เป็นอมตะหรือ” ฉู่เซียวยิ้มก่อนถามเชิงหยอกล้อ “เหตุใดไม่กล้าเดาให้มันยิ่งกว่านี้อีกหน่อยล่ะ”
บุรุษชุดขาวเพ่งสายตามองเล็กน้อย เห็นฉู่เซียวไม่มีท่าทีล้อเล่นแล้วก็ส่ายหน้า ก่อนพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก หากใต้ฟ้านี้มีผู้เป็นอมตะจริงๆ ไฉนไม่ออกมาพบกันหน่อยล่ะ”
ฉู่เซียวยิ้มเยาะ ไม่ปฏิเสธ นางไม่สนใจฆราวาสเขาเสียวซานรวมถึงเงาสตรีเลือนรางนั้นด้วยซ้ำ
เจ้าภูเขาม่วงพูดเสียงดัง “คนเฝ้าหุบเขาล่ะ ออกมา!”
กระทืบเท้าเบาๆ หุบเขานิรันดร์สะเทือนเบาๆ
หมอกสีดำไหลหลาก รวมเป็นชุดคลุมยาวอยู่ไกลลิบ
นัยน์ตาฉู่เซียวฉายประกายเย็นชา หันไปทางชุดคลุมสีดำนั้นช้าๆ
สวีชิงเยี่ยนที่ยืนข้างฆราวาสเขาเสียวซานรู้สึกถึงกลิ่นอายสังหารอย่างหนึ่ง นางมองฆราวาสด้วยความฉงนใจ ความหมายในแววตาชัดเจนที่สุด
“จะสู้กันรึ”
คนเฝ้าหุบเขาไม่ตอบ แต่ฆราวาสเขาเสียวซานรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นพวกสัตว์ประหลาดแก่หลายร้อยปีกันทั้งนั้น ไฉนต้องสู้กันถึงตายด้วย”
เจ้าภูเขาม่วงเอ่ยอย่างเฉยชา “ตอนนั้นศิษย์ข้าถูกขังในเมืองหลวง อยู่ใต้หุบเขานิรันดร์ของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ออกมือช่วย”
คนเฝ้าหุบเขาทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
“คนเฝ้าหุบเขา” ฉู่เซียวมองหมอกหนาชุดคลุมดำนั้นพลางเอ่ยนิ่งๆ “เจ้ากับข้าต่างรู้ไส้รู้พุงกันดี ถึงเจ้าจะเป็นราชันดารา แต่ข้าสู้กับเจ้าที่นี่ก็ไม่ได้เปรียบสักเท่าไร ดังนั้น อย่ามาบอกว่าข้ารังแกเจ้า”
ชุดคลุมดำนั่นสะบัดไปตามลม คนเฝ้าหุบเขายังคงไม่มีทีท่าว่าจะพูดเลย
“เฮ้อๆๆ…” ฆราวาสเขาเสียวซานพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่สู้กันไม่ได้รึ”
ฉู่เซียวไม่สนใจบุรุษชุดขาว
คนเฝ้าหุบเขาเอ่ยราบเรียบ “เบาเสียงหน่อยแล้วกัน”
ฉู่เซียวแค่นยิ้ม “สู้เต็มที่”
หญิงกางร่มพลันหุบร่ม เอาปลายร่มปักลงพื้น ศิลาหินข้างหลังที่เดิมทีมีรอยร้าวเก่าแก่อยู่แล้วแตกเป็นลวดลาย แสงเทพแห่งภูเขาม่วงพุ่งข้ามยอดเขา ร่างเงาบ้างกำยำบ้างผอมแห้งสีสันหลากสีข้ามผ่านศิลาหินลอยขึ้นมา ปราณกระบี่พุ่งชน ปราณดาบระเบิดกระจาย
ฆราวาสเขาเสียวซานเห็นภาพนี้ก็หรี่ตาลง รู้สึกเหลือเชื่อ
ที่นี่คือหุบเขานิรันดร์ ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าภูเขาม่วงจะใช้กลิ่นอายมรณะในศิลาหินหุบเขานิรันดร์ได้ เขาถึงกับพูดงึมงำ “สุดยอด สุดยอด…”
ยอดหุบเขานิรันดร์เงียบลง
คนเฝ้าหุบเขาเดินหน้าหนึ่งก้าว เมื่อเท้าเหยียบพื้น ศิลาหินนับไม่ถ้วนข้างหลังเขาเกิดเสียงระเบิดพร้อมกัน ยอดฝีมือขอบเขตนิพพานที่เคยฝากเจตนารมณ์ไว้ที่นี่ต่างพุ่งออกไปเหมือนทหารม้านับพันนับหมื่น
บุรุษชุดขาวอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ถูกคำพูดข่มขู่ของเจ้าภูเขาม่วงกดกลับไป ได้แต่ลากสวีชิงเยี่ยนถอยไป
บนยอดเขาเกิดเสียงดังกึกก้อง ถูกหมอกบดบัง
เสียงของฉู่เซียวดังก้องอยู่ข้างหูสวีชิงเยี่ยน
“มีปัญหาอะไร สู้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”