เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 210 หนึ่งกระบี่ สองคน
ตอนที่ 210 หนึ่งกระบี่ สองคน
“คุณชายหนิงอี้ เจ้าว่าอย่างไร”
ท่านหญิงพิณพ่นลมหายใจ มองบุรุษหนุ่มข้างกายเงียบๆ
หนิงอี้นั่งยองลง ใบหน้าไร้ความรู้สึก ดึงหญ้าน้ำค้างสีขาวขึ้นมาต้นหนึ่ง นิ้วมือถูตัวใบหญ้าเรียวยาว ก่อนจะเอ่ยเนิบนาบ “จะอย่างไรได้อีก สุข ทุกข์ เศร้า เจ็บปวด…สิ่งที่เจ้าพูดออกมาเมื่อครู่ ข้าเองก็เหมือนกัน คนไม่ใช่ปรัชญาเมธี จะไร้ความรู้สึกสุขทุกข์ได้อย่างไร ข้ามาจากเทือกเขาประจิม ลำบากมามากแล้ว ก่อนเจอกับสวีจั้ง ไม่มีใครสอนหลักการกับข้า ข้ารู้ว่าจะขโมยของไม่ได้ แต่ถ้าไม่ขโมยข้าก็อดตาย ข้ารู้ว่าโลกนี้มีกฎ มีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน แต่ถ้าจะมีชีวิตรอดในเทือกเขาประจิม ข้าก็ได้แต่เป็นคนนั้นที่ฝ่าฝืนกฎ”
เจียงเหมียนเฟิงมองเด็กหนุ่มที่นั่งยองลง หยิบหญ้าน้ำค้างสีขาวขึ้นมาแกว่งในทะเลสาบช้าๆ นั้น
“ความจริงสี่แดนต้าสุยวุ่นวายมาก หากเจ้าออกไปเดินดูจะรู้ว่านอกกำแพงเมืองสี่เขตมีผู้อพยพมากมาย มีคนอดอยาก มีคนขายเด็กเพื่ออาหาร ข้าวยากหมากแพงประชาชนเดือดร้อน ทุกคนไม่ปฏิบัติตามกฎ หากเจ้าเลือกเป็นคนนั้นที่เคร่งครัดในกฎที่สุด บทสรุปสุดท้ายคือตายในหิมะเทือกเขาประจิมบางปี จนศพสลายเป็นสายลมก็ยังไม่มีใครสนใจ” หนิงอี้มองตะวันอัสดงบนผิวทะเลสาบลาลับ แก้มของตนขยับไปมาในน้ำ ถูกหญ้าน้ำค้างกวนจนเป็นเงาตัด ก่อนจะเอ่ยราบเรียบ “ข้าออกมาจากเทือกเขาประจิม ก็เพราะข้าต้องออกมา”
เขาเงียบไป
ครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ
ใช่สิ ต้องออกมา
ต้องส่งเด็กนั่นมาเมืองหลวง
อ้อยอิ่งยื่นมือมาข้างหนึ่ง เลิกชายกระโปรงขึ้น นั่งยองข้างหนิงอี้ นางถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ต้องรึ”
“ต้อง”
เสียงนางเบามาก พูดงึมงำ “แต่ว่าโลกนี้ บางเรื่องก็ไม่เป็นไปไม่ได้”
หนิงอี้ก้มหน้าลงยิ้ม เขานึกถึงเมื่อปีก่อนที่ข้ามทะเลสาบแดนประจิม บุรุษคนนั้นเคยพูดกับเขาไว้เช่นนี้
โชคช่วยที่จนถึงตอนนี้ ปณิธานของเขาก็ยังแน่วแน่ไม่เคยสั่นคลอน
“ไม่มีเป็นไปได้กับเป็นไปไม่ได้ มีแต่ทำได้กับทำไม่ได้”
อ้อยอิ่งได้ฟังคำพูดนี้ก็มีสีหน้าเหม่อลอยไปเล็กน้อย ย่อยคำพูดเงียบๆ จากนั้นจำไว้ส่วนลึกในใจ
สองคนนั่งอยู่ริมทะเลสาบอยู่ชั่วครู่
“คุณชายหนิงอี้ ปราณนิรันดร์เล่มนี้ ข้าจะให้อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยศึกษา อีกไม่นานข้าจะส่งมันมาคืนที่จวนขุนนางรองท่องกระบี่ด้วยตนเอง” เจียงเหมียนเฟิงพูดเสียงเบาและจริงจัง “เจ้าชิงกระบี่ยาวของหวังอี้มา เกรงว่าต้องเจอปัญหาแน่”
“ปัญหาหรือ” หนิงอี้ยิ้ม “เดิมพันกระบี่ชนะ ไม่ใช่ปัญหาหรอก ขโมยต่างหากที่เรียกว่าปัญหา”
ท่านหญิงพิณยิ้ม ก่อนเตือนด้วยเจตนาดี “ถึงเมืองหลวงจะห้ามสู้กันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ตอนนี้กรมผู้คุมกฎกับกรมข่าวกรองอยู่ในมือองค์ชายสองท่านแล้ว พวกเขานิ่งเฉยปล่อยให้แดนบูรพาปิดล้อมจวนขุนนางรองท่องกระบี่ได้ เกรงว่าคุณชายคงไม่ได้ใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างสงบแล้ว”
“แค่พวกหนูเท่านั้น ไม่ต้องสนใจหรอก” หนิงอี้ปัดฝุ่นตามตัว ก่อนจะหยิบหญ้าน้ำค้างเปียกน้ำ หยัดกายขึ้นช้าๆ
หญ้าน้ำค้างนั้นมีละอองน้ำวนเวียนและควบแน่น อ้อยอิ่งที่นั่งยองริมทะเลสาบหรี่ตาลงด้วยความสนใจ มองหญ้าน้ำค้างเรียวยาวนั้นที่หนิงอี้ถือไว้เหมือนกระบี่
บนใบหญ้ามีท่วงทำนองปราณกระบี่ลอยขึ้นมาหลายสาย ท่วงทำนองเหล่านี้มาจากยอดผู้บำเพ็ญหุบเขานิรันดร์ ท่านหญิงพิณมีสีหน้าตกใจขึ้นมา เดิมทีนางคิดว่าหนิงอี้กลับมาจากหุบเขานิรันดร์ รวมสิ่งที่ตระหนักรู้ในศิลาทั้งหมดเป็นจิตกระบี่ประจำตัว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นเจตจำนงกระบี่ที่ต่างกันหลายชนิดพัวพันกัน กำเนิดมาไม่ขาดสาย
“นี่คืออะไร”
หนิงอี้ไม่ตอบคำถามอ้อยอิ่ง
เสียงทั้งหมดเหมือนหายไปจากหูเขา
เขายืนริมทะเลสาบอิสระ เจตจำนงกระบี่และแสงดาราไหลไปในหญ้าน้ำค้างนั้นทีละนิด สุดท้ายยังมีความเป็นเทพอีกนิดหน่อย
ทันใดนั้นหญ้าน้ำค้างเปล่งแสงสว่างร้อนแรง
อ้อยอิ่งยกมือข้างหนึ่งมาบังหน้า ม่านเสียงก่อรูปขึ้นสามฉื่อตรงหน้า
หนึ่งกระบี่ฟันออกไปหน้าทะเลสาบอิสระ
ละอองน้ำสองสายบดบังฟ้าและตะวัน ถูกหญ้าน้ำค้างฟันแตกเป็นเสี่ยงๆ ตรงกลางยังเผยพื้นน้ำแห้งขอด ดินหินกระจาย เหมือนกับเทพเจ้าฟันกระบี่ลง
ข้างหลังหนิงอี้ คนยักษ์ดาราถือกระบี่ว่างเปล่าด้วยสองมือ ยังอยู่ในท่าฟันกระบี่อย่างเต็มที่ หลังจากโคลงเคลงอย่างรุนแรงก็กลับมาสงบนิ่ง
เขาพยายามจับหญ้าน้ำค้างแห้งนั้นไว้แน่น หยดน้ำก่อนหน้านี้ระเหยไปบนใบหญ้าทั้งหมด เขาลองกวัดแกว่งกระบี่อีกครั้ง แม้แต่สายลมที่ถาโถมเข้ามายังฟันไม่ขาด
ดังนั้นร่างเด็กหนุ่มที่ฝืนฟันหญ้าน้ำค้างขาวและแห้งกลางแสงตะวันอัสดง…จึงดูน่าขำนิดๆ
หนิงอี้เปล่งเสียงกลัดกลุ้มมาจากในลำคอ
นี่เป็นกระบี่พริบตาที่ฟันไปตามจิตใต้สำนึก เหมือนพรจากสวรรค์
แต่แรงขับเคลื่อนและโอกาสที่สร้างกระบี่นี้กลับไหลออกจากซอกเล็บมือของหนิงอี้
โชคดีที่คนที่เห็นกระบี่นี้ไม่ใช่แค่หนิงอี้ แต่ยังมีท่านหญิงใหญ่แห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
หนิงอี้มองหญิงที่กำลังอึ้งงันข้างกายด้วยแววตาเฝ้ารอคอย
ท่านหญิงพิณอึ้งอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมา นางมองหนิงอี้พลางกลืนน้ำลายเบาๆ โดยไม่สนใจภาพลักษณ์แล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีความขัดเคืองและคับแค้นนั้นก็เข้าใจได้ทันที…นี่คงจะเป็นจิตใต้สำนึกของหนิงอี้ ตอนนี้ยังจับต้องไม่ได้ สลายหายไปเหมือนเมฆ
ท่านหญิงพิณเงียบอยู่นานมากก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “กระบี่นี้คุ้มกับกลิ่นอายมรณะพวกนั้นในหุบเขานิรันดร์”
หนิงอี้คลึงแก้มก่อนจะพูดสบายๆ “ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่สุขไม่ทุกข์ ข้าเห็นเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้ว…”
เขาชะงักไป จ้องละอองน้ำของทะเลสาบอิสระพลางกัดฟันพูดทีละคำ “แต่ข้าก็ยังปวดใจยิ่งนัก”
ท่านหญิงพิณตบบ่าหนิงอี้ก่อนพูดปลอบด้วยเจตนาดี “ท่านหญิงซูมู่เจอของสำนักข้าเคยชี้แนะข้าว่าความยากของการฝึกบำเพ็ญ ไม่ใช่ว่าจะหยิบขึ้นได้ แต่ละวางลงได้ คุณชายหนิงอี้ ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ ขึ้นก็ขึ้นสูงแต่ลงก็ลงเอาๆ ไม่มีอะไรแน่นอน บางทีอาจจะมีการตระหนักครั้งต่อไป…หรืออาจจะพลาดไปก็ได้”
ชีวิตคนมักจะเป็นเช่นนี้
ขึ้นก็ขึ้นสูงแต่ลงก็ลงเอาๆ
หนิงอี้ก้มหน้าลงมองหญ้าน้ำค้างในมือตน ไอสังหารเย็นเยียบหายไปในสายลม
…..
สองคนไม่ได้อยู่ริมทะเลสาบอิสระนานนัก หลังจากกลับเมืองหลวง อ้อยอิ่งก็เดินทางกลับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
หนิงอี้จงใจอ้อมเส้นทางเล็กน้อย เดินผ่านร้านหลายร้านก่อนจะกลับตรอกเล็กของจวน เห็นจวนว่างเปล่าอยู่ไกลๆ นักพรตชุดหยาบก็หายไป เหลือเพียงโคมไฟสีแดงใหญ่ที่แขวนอยู่บนกำแพงจวนสองข้าง
หนิงอี้อุทานเสียงเบา
ประตูใหญ่จวนเปิดออกเบาๆ หนิงอี้ได้กลิ่นหอมคุ้นจมูก เด็กสาวเอาสองมือเท้าคาง บนโต๊ะแปดเซียนมีผ้าโสร่งสีดำคลุมไว้
“นักพรตชุดหยาบพวกนั้นล่ะ”
“วันนี้พวกเขาเหนื่อยกันมาก ตรอกเงียบสงบ คงไม่ต้องรบกวนพวกเขามายืนเฝ้าอีกนาน เลยให้พวกเขากลับหอยอดวิสุทธิ์ไปแล้ว” เด็กสาวยิ้มหยีตามองหนิงอี้ ดูอารมณ์ดีไม่น้อย
หนิงอี้ปิดประตูจวนก่อนจะหันกลับมา
“ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งที่ราชครู ‘ขุนนางรองน้อยหนิง’ กลับจวน ตึงๆๆๆ”
เผยฝานทำท่าเปิดผ้าโสร่งสีดำเกินจริงมาก บนโต๊ะวางกับข้าวเต็มไปหมด ทันทีที่เปิดผ้าออก แสงดาราของเด็กสาวยังแผ่กระจายออกมา
หนิงอี้ทำเสียงร้องตกใจเกินจริงเช่นกัน ให้ความร่วมมือยื่นมือมาบังหน้า แสร้งทำเป็นมองแสงสว่างจากอาหารบนโต๊ะไม่ได้
เหมือนภาพคนแคระที่เห็นในเทือกเขาประจิมเมื่อก่อนมาก
สองคนมองหน้ากัน ก่อนจะก้มตัวหัวเราะเสียงดัง
หลังเงยหน้าขึ้น หนิงอี้ยกเก้าอี้กลองเอวมานั่งตรงข้ามเผยฝาน โต๊ะแปดเซียนที่มีอาหารวางเต็มโต๊ะขวางไว้ เขาไม่รีบร้อนใช้ตะเกียบ แต่มองใบหน้ารูปไข่ของเด็กสาวนิ่งๆ
ขาวเนียน และยังมีความน่ารักของทารกหน่อยๆ
ความจริงจังในพริบตานั้นทำให้เด็กสาวทำอะไรไม่ถูกนิดๆ
นางเห็นหนิงอี้ทำตัวไม่ถูกหน่อยๆ สองมือวางซ้อนกันบนตัก เม้มริมฝีปาก
หนิงอี้นำกล่องไม้จันทน์ยาวออกมาจากอกเสื้อ แกว่งไปมาตรงหน้าก่อนขยิบตาพูด “ปิ่นปักผมทำจากเศษเงิน ดอกหยกแล้วก็อะไรอีกเล็กๆ น้อยๆ”
เด็กสาวยิ้มแก้มปริทันที
ยื่นมือมาจะคว้าไว้
หนิงอี้ยกกล่องไม้ขึ้นเอนตัวไปข้างหลัง ยิ้มตาหยี “เรียกพี่ให้ฟังก่อน”
นางเรียกอย่างไม่ลังเลเลย
“พี่~”
เสียงอ่อนหวาน ตกลงทะเลสาบจิต เกิดคลื่นกระเพื่อม
เด็กสาวรับกล่องไม้จันทน์ กอดไว้ในอ้อมอกไม่ยอมวาง ไม่ยอมเปิด ดวงตาหรี่ลงจนเป็นจันทร์เสี้ยว
หนิงอี้กอดอกเอนไปข้างหลังเล็กน้อย พิงกับกำแพงหินในลานบ้าน มองใบหน้ารูปไข่ขาวเนียนของเด็กสาว เขานึกไปถึงร่างอิทธิฤทธิ์จากยันต์เซียนกระบี่หญิงที่งดงามยิ่งนั้นที่ออกมาจากตำหนักก้นทะเลภูเขาแดง ตอนนี้ ใบหน้าเด็กเผยมีความคล้ายเจ็ดแปดส่วน มีเสน่ห์ มีความอ่อนวัย
เจียงหลินเห็นเด็กสาวหลังเติบใหญ่แล้ว ก็ถูกบุคลิกสง่างามของหญิงยันต์นั้นดึงดูดจิตใจไปในทันที
หนิงอี้พูดพึมพำ “จากนี้ไม่รู้ว่าจะทำร้ายคนไปอีกเท่าไรนะ”
นี่เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดตั้งแต่หนิงอี้มาเมืองหลวง กินข้าวเสร็จ ด้วยความรบเร้าของเผยฝาน จึงนำกระบี่บินที่เหมาะกับการขี่มาจากกระบี่ซ่อน แปะยันต์ ‘ขนห่าน’ สองแผ่น แล้วขี่กระบี่บินไป
เด็กสาวเอาสองมือโอบกอดเอวหนิงอี้ ครึ่งใบหน้าร้อนแนบกับชุดคลุมข้างหลัง
สายลมพัดจอนผมนางพลิ้วไหว
ดวงจันทร์ใหญ่ไร้เสียง
หนึ่งกระบี่บินเพียงลำพัง
นางหลับตาลง
“พี่…”
“หืม”
“ข้าไม่ชอบเมืองหลวงเลย” เสียงเด็กสาวเบามาก แต่ไม่มีความเศร้าหรือเสียใจ นางมองเมืองโบราณจากข้างบนพลางพูดเสียงอ่อน “บ้านเรือนที่นี่สวยมาก ผู้คนใจดีมาก แต่ข้าไม่ชอบกฎในเมืองหลวง องครักษ์เกราะทอง แล้วก็สามกรมที่เหมือนปลามังกรอยู่ใต้น้ำลึก…
แล้วข้าก็ไม่ชอบอยู่แต่ในจวนทุกวัน นั่งเหม่ออยู่หน้ากระดาษเหลืองคนเดียวเงียบๆ วาดยันต์ สลักค่ายกล…ข้าไม่ชอบที่เจ้าออกไปทุกวัน ไม่ชอบที่เจ้าบาดเจ็บ…”
เด็กสาวพูดเรื่องที่ไม่ชอบหลายอย่าง
จากนั้นนางนิ่งไป
“แต่ว่า…ข้าชอบตอนนี้”
นางเอาหน้าเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึก กระบี่พุ่งไปสูงมาก เร็วมาก แต่ไม่หนาวเหน็บ
กลับอบอุ่นมาก
เพราะมีหนิงอี้อยู่
………………………….