เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 213 เคราะห์มรณะที่ไม่อาจช่วยได้
ตอนที่ 213 เคราะห์มรณะที่ไม่อาจช่วยได้
ต้นไม้โบราณยักษ์สูงเสียดฟ้า
กลองสงครามบนฟ้าไกลเลือนราง ไฟสงครามเสียงดัง เสียงตะโกนร้องไห้แหบพร่า
หนิงอี้ไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว
เขายืนเหม่ออยู่กลางพายุสนามรบ หินหยาบเฉียดผ่านใบหน้า เกิดเป็นรอยเลือดแสบร้อน ความเจ็บปวดชัดเจน จนทำให้เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
เศษเกราะและกระดูกแห้งถูกพายุทรายพัดขึ้น ชนนักรบชุดเกราะที่โคลงเคลงจะลุกขึ้นล้มลง
กระดูกเลือดสีแดงฉานที่เย็นเยือกจนเป็นเศษน้ำแข็งพลันแตกเป็นผุยผง หักเป็นท่อนๆ
ดวงตะวันไกลลิบยังไม่ทันส่องแสงสว่างร้อนแรงเข้ามาก็ถูกเศษกระดูกสีขาวที่ปกคลุมฟ้าดินเหมือนตั๊กแตนบดบังไว้
“บางที…อาจจะมีทางรอด…”
“ช่วยพวกเรา…ช่วย…ตัวเจ้าเอง…”
“ผู้ครองกระบี่…เจ้า จะตายไม่ได้นะ!”
เหตุใดเสียงนี้ถึงดูคุ้นหูนัก
คำว่าผู้ครองกระบี่ทำให้ความคิดของหนิงอี้เกิดเสียงดังกึก ก่อนจะแตกออก
เหมือนถูกฟ้าผ่า
เขาจำได้แล้ว
ในลานบ้านเมืองสันติตอนทะลวงขอบเขตแรก
เสียงนั้นพูดว่า
‘ไม่มีประโยชน์…ขวางไม่ได้…’
‘ที่ราบกระดูก…ก็ไม่ไหวเช่นกัน…’
ความเจ็บปวดรุนแรงจู่โจมจิตวิญญาณของหนิงอี้
เขาลืมตาขึ้น ลุกพรวดขึ้นนั่ง เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากไหลซก เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
ความเศร้าอย่างบอกไม่ถูกทำให้หนิงอี้รู้สึกจิตตกและทุกข์ใจ เขาพิงหมอนนุ่มบนเตียงข้างหลัง ตรงหน้ามืดมิดเหมือนคนตาบอด มองไม่เห็นสภาพแวดล้อมข้างหน้า
หนิงอี้ย่อยความเจ็บปวดจากขลุ่ยกระดูกเงียบๆ
ผู้ครองกระบี่…หลังจากเขารับแกนกระบี่ของที่ราบกระดูกที่หลังภูเขาก็ไม่ได้ฝันประหลาดแบบนี้อีกเลย หนิงอี้คิดมาตลอดว่านี่เป็นแค่ความฝันลวงตาสักวันก็จะหายไปเท่านั้น
“ดูท่าข้าคงไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ…”
จิตใจสงบนิ่งลง
หนิงอี้เริ่มเห็นแสงสว่างขึ้นทีละนิด เขาก้มหน้าลง รู้สึกแปลกๆ ในผ้าห่ม เขานอนอยู่คนเดียว แต่กลับมีพื้นที่ไม่เยอะ…รู้สึกคับแคบนิดๆ
มีเสียงหายใจเบาและเนิบนาบดังก้องในห้อง
หนิงอี้ก้มหน้าลง เปิดผ้าห่มขึ้นเบาๆ ก็เห็นศีรษะเล็กหลับปุ๋ย นอนหนุนแขนตนไปครึ่งหนึ่ง ตรงหน้าผากยังมีเม็ดเหงื่อเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ทำอะไรถึงใช้กำลังไปมหาศาล
ผู้บำเพ็ญหลับลึกเช่นนี้ได้ยากมาก
หนิงอี้สังเกตตรงคอเด็กสาว นางห้อยเครื่องหยกขาวเนื้อเหมือนไข่มันแกะไว้ มันเปล่งแสงอ่อนๆ ในความมืด หนิงอี้ยื่นมือไปสัมผัสเบาๆ มีความอุ่นๆ อยู่
เขางุนงงเล็กน้อย พิจารณามองเครื่องหยกขาวนั้น ก็เห็นว่าหินหยกนี้ไม่ใช่หยกขาวที่สมบูรณ์แบบ ในนั้นซ่อนสีดำที่ดูเด่นตายิ่งไว้ เหมือนมังกรหมึกตัวเล็ก
“นี่มัน…กลิ่นอายมรณะรึ”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว
เขาใช้จิตวิญญาณเข้าไปในทะเลสาบจิต กวาดสายตามองบนบ่อเทพ ก็ไม่ได้อะไร กลิ่นอายมรณะที่ลอยอยู่บนน้ำในตอนแรก หายไปหมดแล้ว
“กลิ่นอายมรณะพวกนั้นน่าจะออกมาพร้อมกับตอนดึงเจตจำนงกระบี่สิ…” หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว อยากจะถามผู้อาวุโสเคียงกระบี่ว่าเมื่อครู่นี้ทะเลสาบจิตตนเกิดอะไรแปลกๆ หรือไม่
ตะโกนเรียกผู้อาวุโสหลายครั้งก็ไม่มีการตอบรับใดๆ
รูปปั้นหินนั้นเข้าสู่การหลับใหลแล้ว
หนิงอี้ใช้จิตตรวจสอบบ่อเทพด้วยความระมัดระวังอีกครั้ง แต่ไม่เจอความผิดปกติอะไรเลย
หนิงอี้ถอยออกมาจากการส่องดูภายในเงียบๆ
หลังจิตเขาออกมา บ่อเทพสีขาวบริสุทธิ์ก็เกิดสีน้ำหมึกขึ้น
…….
ภายในห้องไม่มีแสงไฟสว่างขึ้น
เป็นแบบนี้ไปจากคืนมืดจนฟ้าสาง
เสียงไก่ขันจนถึงกลางวัน
เด็กสาวงัวเงียตื่นขึ้น ลืมตาขึ้นช้าๆ นางได้ยินเสียงอ่อนล้าของหนิงอี้
“ในเครื่องหยกนี่คือกลิ่นอายมรณะของข้ารึ”
หนิงอี้ที่ศึกษาเครื่องหยกขาวมาทั้งคืนพูดเสียงแหบ “เจ้าได้มาจากที่ใด”
เครื่องหยกชิ้นนี้ดูธรรมดามาก
แต่ข้างในเหมือนจะซ่อนความลับสุดยอดไว้
เด็กสาวส่ายหน้า ไม่ได้ตอบคำถามที่สองของหนิงอี้
“เป็นกลิ่นอายมรณะ…ข้าทำให้เจ้าสบายขึ้นได้”
หนิงอี้เคยลองใช้แสงดารากับความเป็นเทพส่งเข้าไปในเครื่องหยก ก็พบว่าไม่มีวิธีใช้เครื่องหยกนี้กับตนเลย
“ในบ่อเทพอาจจะยังมีกลิ่นอายมรณะอยู่ ยังกำจัดไม่หมด…น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร” หนิงอี้เอ่ยเบาๆ “ใช้เครื่องหยกจะต้องเหนื่อยแน่เลยใช่หรือไม่ เจ้าเด็กนี่ เจ้าบอกวิธีใช้หยกขาวนี่มาก็พอ เจ้าไม่ต้องเหนื่อยเองหรอก”
หนิงอี้ถอนหายใจ
ตอนนี้เขาอ่านพลังบำเพ็ญเด็กสาวไม่ออกแล้ว เดาไม่ได้ ใช้เครื่องหยกยังต้องพักนานขนาดนี้ ระหว่างนั้นไม่รู้เลยว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าหยกขาวกินพลังไปมากเพียงใด
ไม่ว่าหนิงอี้จะถามอย่างไรเด็กสาวก็ไม่ยอมบอก
จนปัญญาแล้ว
ในช่วงหลายวันต่อจากนั้น
ไม่ว่าหนิงอี้จะอยู่ไหน เด็กสาวจะตามเป็นเงา
กินข้าว นอนหลับ ฝึกบำเพ็ญ
การฝึกเจตจำนงกระบี่ทุกสรรพสิ่งราบรื่นมาก
แต่การฝึกของหนิงอี้กลับไม่ราบรื่น…หนิงอี้ที่ตอนแรกกระปรี้กระเปร่า ฝึกต่อเนื่องสิบวันไม่ต้องพัก ตอนนี้รู้สึกว่าตนอยากจะหยุดนอนมากขึ้นเรื่อยๆ
หากหลับ ความฝันคุ้นเคยนั้นก็จะมาอีก
ต้นไม้ยักษ์โรยรา ม่านฟ้าฉีกขาด
และยังมีเสียงแหบและเจ็บปวด เสียงเรียกของวิญญาณนับไม่ถ้วนทั้งโลก เศษหินทรายปลิวว่อน เสียงตะโกนว่าผู้ครองกระบี่อย่าตายดังกึกก้อง
เป็นกลิ่นอายมรณะหรือ
หนิงอี้สังเกตเห็นว่าเครื่องหยกขาวที่ไม่รู้ว่าเด็กสาวเอามาจากที่ใดนั้นมีสีดำข้างในเข้มขึ้นเรื่อยๆ สั่งสมมากขึ้น ตอนแรกเป็นเส้นสีดำจางๆ คดเคี้ยว พันรอบ ต่อมาก็หนาขึ้น ตอนนี้เหมือนงูเล็ก ผิวที่เดิมทีแข็งก็แตกเป็นรอยแตก
หนิงอี้ไหว้วานนักพรตชุดหยาบตรงปากประตูจวนให้ไปคลังตำราเมืองหลวง ช่วยตนหาตำราโบราณบางส่วน
เขาเจอตำราโบราณเมืองหลวงเมื่อห้าร้อยปีก่อน เป็นประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของเหล่าอัจฉริยะ
มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของจักรพรรดิหนุ่ม ลู่เซิ่งแห่งเขาสู่ซาน คนที่สามที่ไม่รู้นามรวมถึงอวี๋ชิงสุ่ยแห่งแดนทักษิณ
เขาพลิกไปบทสรุปของอวี๋ชิงสุ่ย
“ขอบเขตที่สิบ ตายเพราะถูกกลิ่นอายมรณะกัดกิน สิ้นชีพที่ภูเขาใหญ่แดนทักษิณ ก่อนตายร่างกายเกิดเส้นใยสีดำขึ้น ช่วยอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่มีกำลังกลับสวรรค์”
หนิงอี้พลิกหน้าตำราต่อไปเงียบๆ สืบสาวเรื่องราวต่อ
อัจฉริยะที่ขึ้นสู่ยอดหุบเขานิรันดร์คนก่อน
“ขอบเขตที่เก้า ตายเพราะถูกกลิ่นอายมรณะกัดกิน เลือดลมแห้งขอด ทั่วร่างเต็มไปด้วยเส้นใยสีน้ำหมึก เหมือนสวมเกราะอสูร ช่วยอะไรไม่ได้”
ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย
ขึ้นไปคนก่อนอีกคน
“ขอบเขตที่เจ็ด ตายเพราะถูกกลิ่นอายมรณะกัดกิน…เส้นใยดำทั้งตัว ช่วยอะไรไม่ได้”
“ผิวหนังเหมือนแกะสลักด้วยเส้นใยดำ…ช่วยอะไรไม่ได้”
ช่วยอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้
นี่คือบทสรุปของทุกคน รวมถึง ‘เทพเซียนที่มีชีวิต’ อวี๋ชิงสุ่ยก็อยู่ในนั้น ไม่มีข้อยกเว้น
เส้นใยสีดำทั่วร่าง ตายไปทั้งหมด
หนิงอี้เงยหน้าขึ้น แสงตะวันอบอุ่นส่องลงบนศีรษะ หัวไหล่และตัว
เขาดึงแขนเสื้อขึ้นช้าๆ โผล่แขนมาส่วนหนึ่ง
ลายสีดำน้ำหมึกโผล่ตามหลอดเลือดขึ้นมาช้าๆ เหมือนวาดลายเส้นในกระดูก
หนิงอี้เหนื่อยล้าถึงที่สุด เขาหลับตาลง
จิตวิญญาณตกลงทะเลสาบจิต
เกิดเสียงดังสนั่น ความฝันพังทลายนั้นถูกกลิ่นอายชั่วร้ายสีดำฉีกขาด
………………………