เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 214 ฝนตกหลังคารั่ว
ตอนที่ 214 ฝนตกหลังคารั่ว
หอยอดวิสุทธิ์เงียบสงบ เคาะตัวหมากรอแขกมาเยือน
“ท่านเจ้าลัทธิจะถึงเมืองหลวงในอีกไม่ช้าแล้ว”
“ไม่ต้องไปจวนเดิมอีกแล้ว ท่านเจ้าลัทธิมอบจวนนั่นให้คุณชายหนิงอี้แล้ว”
ซูมู่ผู้แข็งแกร่งราชันดาราแห่งหอยอดวิสุทธิ์นั่งอีกด้านของกระดานหมาก ตรงข้ามเขาเป็นบุรุษหนุ่มที่มีคุณลักษณะไม่ธรรมดานั่งอยู่ ตรงบ่าเป็นลายเมฆหมอกแผ่กระจาย ในตัวมีพลังของผู้สูงส่งอยู่ลับๆ
ซูมู่โบกมือให้นักพรตชุดหยาบที่มารับคำสั่งสองคนข้างๆ “ก็ตามนี้…ไม่มีอะไรแล้ว ออกไปเถอะ”
นักพรตชุดหยาบที่เฝ้าจวนขุนนางรองท่องกระบี่สองคนก้มหน้าลง มองหน้ากัน สุดท้ายก็ส่ายหน้าและถอยไปเงียบๆ
ซูมู่ถือหมากดำพลางพูดเสียงเบา “ท่านอวิ๋นสวิน ถึงสำนักเต๋าข้าจะไม่ส่งคนไปจวนขุนนางรองท่องกระบี่ แต่ที่นี่ก็ยังเป็นเมืองหลวง”
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่ที่ตรงบ่าเป็นลายเมฆหมอกคีบตัวหมากวางลงเบาๆ ดุจดอกไม้
เกิดเสียงดัง ‘ปึง’ บนกระดานหมาก
“เมืองหลวงมีกฎของเมืองหลวง” ซูมู่ไม่วางหมาก แต่พูดอย่างจริงจัง “ท่านเฉินอี้จะกลับเมืองหลวงแล้ว คุณชายหนิงอี้มีสัมพันธ์อันดีกับสำนักเต๋า ท่านน่าจะรู้ดี”
“บนโลกนี้ เจ้ากับข้าเป็นเพียงตัวหมาก ดำขาวชัดเจน ถือว่าเจ้าช่วยข้าแล้วกัน ข้าเองก็ถูกไหว้วานมาอีกทีเหมือนกัน” อวิ๋นสวินเสียงเบาและนุ่มมาก “เขาศิลาเต่าแห่งแดนบูรพาจะตามของศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปในจวนขุนนางรองท่องกระบี่ สามกรมปิดตรอกเล็กและถนนของที่อยู่เจ้าลัทธิเก่า ไม่ถือว่าผิดกฎ ข้าบอกกับเจ้าก่อนก็เพราะไม่อยากให้หอยอดวิสุทธิ์สอดมือ”
“องค์ชายรองอยู่เบื้องหลังแดนบูรพา หรือเบื้องหลังท่านก็เป็นองค์ชายรองเช่นกันหรือ” ซูมู่มองบุรุษหนุ่ม เมฆหมอกตรงบ่าอวิ๋นสวินแผ่กระจายออกมาจริงๆ เริ่มวนเวียนจากอาภรณ์ ค่อยๆ ปกคลุมไปทั้งตัว
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่ส่ายหน้า ไม่ปฏิเสธ แค่เอ่ยราบเรียบ “กรมข่าวกรองจะปิดแค่ทางเข้าตรอกถนนหน้าจวน จะไม่ลงมือ”
ซูมู่ยืนขึ้น พูดพลางคิ้วขมวด “พวกท่านคิดจะลงมือจริงๆ หรือ”
อวิ๋นสวินถอนหายใจ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ข้ามีหน้าที่แค่…เล่นหมากกับคุณชายซูมู่”
เมฆหมอกเวียนวน ห่อหุ้มสองคนไว้
ในหอยอดวิสุทธิ์เงียบงัน
ซูมู่หรี่ตาลง เขาลองส่งจิตออกไปก็พบว่าส่งออกไปไม่ได้ นักพรตชุดหยาบสองคนนั้นเมื่อครู่รับคำสั่งออกไปแล้ว ที่นี่จะไม่มีใครเข้ามาอีก
คำสั่งของเขาจะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีก
อวิ๋นสวินยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ผายมือในลักษณะ ‘เชิญนั่ง’ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายงานยุ่ง ก็ควรจะพักเสียบ้าง ที่นี่มีสุรามีชา แค่รอให้ฝุ่นธุลีตกลงพื้น เมฆหมอกจะหายไป เจ้ากับข้าก็จะถือว่าสิ้นสุดหน้าที่กัน”
“ดี”
“เจ้าดีมาก”
…….
คลื่นลมรวมกัน เมืองหลวงไม่เงียบสงบ สมาชิกกรมข่าวกรองในชุดหยาบสีดำแบกโซ่เหล็กกับป้ายไม้มาถึงทางเข้าตรอกของจวนเจ้าลัทธิ ตั้งป้ายไม้เงียบๆ เอาโซ่เหล็กมาแขวนตรงทางเข้าตรอก ยืนเอาสองมือไพล่หลัง
‘หยุด’
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งก้านธูป จวนแห่งนี้ก็ถูกปิดลง
ปกติก็ไม่มีใครผ่านตรอกนี้อยู่แล้ว
หลังจากปิดสองด้าน แสงดาราอ่อนๆ ปกคลุม นกกระจอกยังบินเข้ามาไม่ได้ ไม่มีเสียงนกร้อง
ทุกอย่างมาแบบไม่มีสัญญาณใดๆ ไม่มีใครได้ข่าวคราวก่อนเลย เพราะคนที่ทำเช่นนี้…คือกรมข่าวกรองที่เป็นแหล่งข่าวทั้งหมดของเมืองหลวง
“กรมข่าวกรองยื่นคำสั่งหนึ่ง ปิดทางเข้าออกตรอกสองทางและถนนหลัก เรื่องนี้ถูกต้องตามกฎต้าสุย” บุรุษชุดหยาบที่บนบ่ามีเมฆหมอกเหมือนกัน แต่ดูจะน้อยกว่าเจ้ากรมใหญ่อย่างชัดเจนเอ่ยนิ่งๆ “แต่เรื่องต่อจากนี้ไม่เกี่ยวกับกรมข่าวกรองแล้ว ต่อให้เป็นเจ้ากรมใหญ่ออกหน้าขวางหอยอดวิสุทธิ์ ก็ให้เวลาเจ้าได้ไม่มาก”
บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าหลิงสวินที่สวมหน้ากากขาวเงินพยักหน้า
“เจ้าทำอะไรหายไปกัน” เจ้ากรมข่าวกรองน้อยเลิกคิ้วขึ้น มองบุรุษหนุ่มคนนี้ “ถึงขนาดให้เขาศิลาเต่าติดค้างน้ำใจองค์ชายรองให้มาปิดจวนเจ้าลัทธิได้ หลังจากเรื่องนี้ ถึงขั้นอาจจะทำให้สำนักเต๋ายืนตรงข้ามองค์ชายรองด้วยซ้ำ”
“สองแดนบูรพาประจิม เดิมทีเป็นดั่งน้ำกับไฟ” หลิงสวินตบบ่าเจ้ากรมข่าวกรองน้อยด้วยรอยยิ้ม ก่อนเดินไปทางตรอก ดวงจันทร์ลอยสูง สียามราตรีเงียบเหงาดุจสายน้ำ เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ก่อนข้าปิดด่านบำเพ็ญก็เคยใช้จิตถามอาจารย์ เมื่อสิบปีก่อน ‘สมบัติ’ ที่เจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกแห่งเขาศิลาเต่าใช้สยบสุสานเขาศักดิ์สิทธิ์หายไป ตามหาร่องรอยไม่พบ”
เจ้ากรมน้อยมองจวนที่เงียบสงัดนั้นพลางพูดงึมงำ “เจ้ามั่นใจนะว่าอยู่กับหนิงอี้”
หลิงสวินเลิกคิ้วขึ้น เขานำกระดองเต่าแตกออกมา ก่อนจะพูดพึมพำ “ข้าคือกายวิญาณอมตะ พักอยู่ในซากโบราณเขาศิลาเต่า แบกรับดวงชะตามหามรรค ข้ารู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไปตลอด แต่ตอนที่เจอหนิงอี้ ความรู้สึกขาดหายนั้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง…ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสมบัตินั่นหรือไม่ ข้าก็ต้องไปดู”
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยขมวดคิ้วขึ้น “เจ้าจะตรวจสอบอย่างไร”
“ง่ายมาก”
หลิงสวินพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นมิตรเข้าไปก่อน”
สองฝั่งของตรอกมีผู้บำเพ็ญชุดหยาบสีขาวหลั่งไหลเข้ามาเงียบๆ ชุดหยาบกระเทือนแสงดาราเป็นเส้นสาย ล้วนมาจากเขาศิลาเต่า พลังทุกคนตัดสลับกัน ชนกันเหมือนโซ่ สุดท้ายรวมอยู่หน้าประตูจวนของหนิงอี้
พลังไร้ร่องรอยคงอยู่อย่างเงียบงัน
บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่ายืนเอามือไพล่หลัง เดินมาหน้าประตูจวนของหนิงอี้ เขาลองใช้จิตหยั่งเชิงก็พบว่าในประตูจวนเหมือนกับมหาสมุทรลึก หยั่งเชิงไม่ได้เลย
หลิงสวินยื่นมือไปข้างหนึ่ง ลองผลักประตู
ไม่ขยับเลย
“เขาศิลาเต่าแดนบูรพา หลิงสวิน”
บุรุษหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก “มาเยือน ช่วยออกมาพบด้วย”
เงียบอยู่ชั่วครู่ก็มีเสียงสตรีแฝงน้ำเสียงรำคาญดังขึ้น
“ไม่พบ”
หลิงสวินถอยไปสองก้าวก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาหาหนิงอี้แห่งเขาสู่ซาน”
หลังจากเงียบไปเล็กน้อยก็ยังเป็นเสียงสตรี
คำเดียวและตรงไปตรงมา
“ไปให้พ้น”
นี่เป็นการโต้ตอบครั้งสุดท้ายของเผยฝาน
จากนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่มีคำตอบใดๆ จวนขุนนางรองท่องกระบี่นั่นเข้าสู่ความเงียบงัน
ดวงตาหลิงสวินใต้หน้ากากขาวมีความครุ่นคิดเพิ่มมาเล็กน้อย เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง พลังของผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าข้างหลังที่ตัดสลับกันไม่สงบนิ่งอีก
“หากไม่ออกมา ข้าก็คงต้องบังคับเจ้าแล้ว” หลิงสวินพลิกฝ่ามือ เขาลูบกระดองเต่าแตกนั่น ก่อนจะโยนขึ้นสูง กระดองเต่านั่นไม่ตกลงมา แต่ลอยอยู่หน้าประตูจวน
เสียงเขามีความเย็นเยือกอยู่นิดๆ
“ศิษย์เขาศิลาเต่าฟังคำสั่ง…รวมค่ายกล!”
………………………