เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 215 กลิ่นอายมรณะจู่โจม
ตอนที่ 215 กลิ่นอายมรณะจู่โจม
กระดองเต่านั้นที่ลอยอยู่หน้าประตูจวนส่งเสียงดังวิ้งก้องกังวาน
ผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าสวมอาภรณ์หยาบสีขาว ก้าวเดินถี่และหนาแน่นปิดล้อมจวนเจ้าลัทธิ ตัดไปกลางถนนตรอกเล็ก กำแพงตรอกสองด้านเกิดเสียงระเบิดเบาๆ
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยที่นั่งยองบนชายคาบ้านขมวดคิ้วขึ้น
กระดองเต่าที่ลอยอยู่นั้นเหมือนจะเป็นป้ายคำสั่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างของเขาศิลาเต่า คล้ายๆ กับตาค่ายกลของค่ายกล
ในสียามราตรี
พลันเกิดแสงสว่างสีขาวขึ้นในจวนหนิงอี้ แสงสว่างนี้ไม่แสบตา แต่เป็นป้ายคำสั่งที่ลอยโคลงเคลงไปมาอยู่บนฟ้า บนนั้นเขียนคำหนึ่ง
‘เงียบ!’
หลังจากแสงสีขาวร้อนแรงนั้นสว่างขึ้นก็เป็นแสงที่สอง แสงที่สามและแสงที่สี่
แสงสว่างหลายสิบสายขยับวูบวาบ
ยันต์ลอยขึ้นทีละแผ่น คุมสี่ด้านแปดทิศของจวนขุนนางรองท่องกระบี่ นี่เป็นค่ายกลที่เด็กเผยฝานวางไว้ตอนเพิ่งเข้าจวน ตัดขาดกลิ่นอายพลังจากโลกภายนอก กันเสียงรบกวนต่างๆ เดิมทีแน่นหนายิ่ง แต่หลังจากผู้อาวุโสฉู่เซียวดึงออกมาเมื่อไม่นานมานี้ก็วางกลับไปตามอำเภอใจ ตอนนี้โดนค่ายกลของเขาศิลาเต่ากดขี่อีก ยันต์คำสั่งแต่ละแผ่นจึงเริ่มโคลงเคลงไม่เสถียรภาพ
เดิมทีนี่ก็เป็นค่ายกลป้องกันที่ไม่ได้ใช้ป้องกันศัตรูอยู่แล้ว
“เดาไว้ไม่ผิดจริงๆ…ในจวนยังมีค่ายกลอีก น่าขำ เป็นแค่ค่ายกลกระจอกๆ เท่านั้น” หลิงสวินยื่นมือไปข้างหนึ่ง ฝ่ามือสัมผัสกระดองเต่า คว้ามันไว้ในมือทั้งหมด ก่อนจะแค่นยิ้ม “หัวดื้อนักนะ มีแต่คนบอกว่าเจ้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ตอนนี้ดูแล้วมีดีแค่ชื่อ”
“ข้าอยากรู้นักว่าค่ายกลกระจอกของเจ้าจะยื้อไว้ได้อีกเท่าไร”
ผู้บำเพ็ญชุดหยาบสีขาวในตรอกเคลื่อนพลังเลือดลม แผ่มาจากกระดูกสันหลังขึ้นไปข้างบน ตรงขึ้นกลางกระหม่อมก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้า เหมือนจุดดาราบนฟ้ายามราตรี รวมขึ้นเป็นกระดองเต่ามหึมา
ส่วนจวนของหนิงอี้ก็อยู่ตรงกลางของกระดองเต่า
แรงกดดันไร้รูปกำเนิดขึ้นดัง ‘วิ้ง’ ต้นครามหมื่นปีกระถางนั้นถูกกดจนก้มหน้าลงเล็กน้อย
อิฐและกระเบื้องในจวนขุนนางรองท่องกระบี่เริ่มรับภาระไม่ไหว ส่งเสียงแตกหัก
……
จวนขุนนางรองท่องกระบี่ในตอนนี้ยังเงียบสงัด
ยันต์เต็มฟ้าโคลงเคลงลอยขึ้น
เด็กสาวกลับไม่มีเวลาปายันต์ป้องกันที่มีระดับสูงพอออกไป
นางกำลังใช้สมาธิทั้งหมดไปกับหนิงอี้
เด็กหนุ่มที่นั่งในลานบ้านหลับตาลงช้าๆ แขนที่เดิมทียกขึ้นนั้นลดลงช้าๆ วางหงายบนหน้าตัก
สายลมพัดผ่าน
สีดำในชุดคลุมหนิงอี้ไหลหลากดุจน้ำหมึก
การจู่โจมครั้งแรกของกลิ่นอายมรณะ
เด็กสาวมีสีหน้าตึงเครียด นั่งหลังหนิงอี้ ปากคาบหยกขาวนั้น ยื่นสองมือมากดหลังหนิงอี้ช้าๆ หลายวันมานี้ จวนขุนนางรองท่องกระบี่เงียบมาตลอด เงียบจนเกินไปหน่อย…หนิงอี้ถามความเกี่ยวข้องระหว่างหยกขาวกับกลิ่นอายมรณะสองครั้ง นางก็เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธจะตอบ
เหตุผลง่ายมาก
ผู้บำเพ็ญมีจิตมารและปราการมรรค และกลิ่นอายมรณะ ความจริงก็คล้ายกับจิตมารมาก ไม่มีใครรู้ว่ามันจะจู่โจมมาเมื่อใด
การซ่อนตัวของกลิ่นอายมรณะกำจัดออกยากที่สุด อีกทั้งมันยังจู่โจมมาอย่างไม่มีสัญญาณใดๆ
ฉู่เซียวมอบหยกขาวนี้ไว้กับเด็กสาว ให้นางตั้งใจศึกษา ในนั้นซ่อนความลับเกี่ยวกับวิชาต้องห้ามเกิดดับของภูเขาม่วงไว้…นั่นคือวิธีการลบล้างและต่อสู้กับกลิ่นอายมรณะ
การจะใช้พลังภายนอกต่อต้านกลิ่นอายมรณะ สิ่งที่ต้องทำก็คือ ‘ห้ามพูด’
กลิ่นอายมรณะที่ซ่อนในบ่อเทพหนิงอี้ไม่ใช่ของตาย มันรวมเจตนารมณ์ของยอดฝีมือราชันดาราและขอบเขตนิพพานหลายคน จนกำเนิดจิตสำนึกในก้าวแรกแล้ว
หากเด็กสาวบอกกับหนิงอี้ เช่นนั้น…บางทีกลิ่นอายมรณะในบ่อเทพอาจจะรู้ตัวได้
‘เรื่องของคนเป็นตาย ข้าทำไม่ได้ แต่หากเป็นเนื้อกระดูกขาว ข้าสบายมาก’
คำพูดนั้นของฉู่เซียวที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร ตอนนี้ดูแล้วเป็นการชี้แนะที่เหมาะสม
เจ้าภูเขาม่วงคนนั้นเตรียมความพร้อมมาก่อนแล้ว
‘ยัยหนู บีบหยกนี่ให้แตก ก็จะ…ผูกวาสนากับภูเขาม่วงข้า’
……
มาถึงความฝันนั้นอีกครั้งแล้ว
หนิงอี้เดินในสนามรบรกร้าง เขาเห็นเลือดและกระดูกที่หมุนตลบไปรอบๆ
เสียงร้องโอดครวญดังกึกก้อง
หนิงอี้มีสีหน้าเรียบนิ่ง
เขาถือร่มกระดาษมันนั้นเดินมาหน้าทะเลสาบ
นั่งยองลง มองใบหน้าตนที่สะท้อนออกมาในทะเลสาบ
เส้นผมสีดำถูกลมพัด ลู่ไปตามลม เหมือนกับน้ำหมึกสะท้อนอยู่ใต้ผิวทะเลสาบ
กระจายออกราวกับคลื่น
หนิงอี้มีใบหน้าไร้ความรู้สึก หนึ่งกระบี่แทงไปที่ใบหน้านั้นในทะเลสาบ
ปลายกระบี่พินิจเหมันต์แทงดวงตาของใบหน้านั้นใต้ผิวทะเลสาบ แทงออกมาเป็นน้ำ
สิ่งที่กระเด็นขึ้นมาไม่ใช่หยดน้ำใสแวววาว
แต่เป็นเลือดสีแดงเหนียวข้น!
ทั้งทะเลสาบเดือดพล่านขึ้นมา ม่านฟ้าพังทลาย เขาศักดิ์สิทธิ์แตกเป็นเสี่ยงๆ เศษหินมากมายปลิวว่อน หนิงอี้ลุกขึ้น ปล่อยให้หินพวกนั้นตกลงพื้น ผ่านร่างของตน กลายเป็นเศษเงาแตก
หลังทุกอย่างถล่มทลายลง
บ่อเทพที่เดิมทีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ตอนนี้ปนเปื้อนสีดำน้ำหมึก มังกรน้ำสีดำยักษ์ตัวหนึ่งขดอยู่บนบ่อเทพ ทำให้อิฐหยกและน้ำบ่อเทพด่างพร้อย มีเพียงกระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศของผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์เท่านั้นที่ยังคงใสสะอาดอยู่ในระยะสามฉื่อนั้น
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นพูดอย่างเย็นชา
“เดรัจฉาน กล้าโผล่มาเหนือผิวน้ำรึ”
มังกรน้ำดำสนิทสีน้ำหมึกทั้งตัวนั้น ดวงตาข้างหนึ่งถูกพินิจเหมันต์แทงโดยไม่มีสัญญาณใดๆ เลือดสีแดงพุ่งฉีด เปล่งเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดจากในลำคอ มันยกกรงเล็บหน้าขึ้นมากุมดวงตาขวา อีกดวงตาเบิกโพลง จ้องหนิงอี้เขม็ง
“ผิวหนังเส้นเอ็นและกระดูกเป็นสีดำ แต่เลือดเป็นสีแดง” หนิงอี้ยิ้ม “ที่แท้เจ้าก็หลั่งเลือดได้รึ”
มังกรร้ายร่างแปลงกลิ่นอายมรณะตัวนั้นแหงนหน้าคำรามเสียงดัง
กลิ่นอายมรณะมหาศาลกระเพื่อมบนบ่อเทพเหมือนลูกคลื่น รวมเป็นเหมือนมหาสมุทรพุ่งเข้าใส่หนิงอี้พร้อมกับเสียงคำรามมังกรด้วยความโกรธ
ใต้บ่อเทพ เด็กหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่งก่อนจะกางร่มกระดาษมัน
น้ำบ่อเทพตอนนี้ปนเปื้อนกลิ่นอายมรณะไปทั้งหมด หากวิญญาณตนปนเปื้อนแม้แต่นิด เกรงว่าคงจะสลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
มหาสมุทรกลิ่นอายมรณะพลันถาโถมลงมา
ร่มกระดาษมันกางออก กลิ่นอายมรณะเข้ามาไม่ได้ในระยะสามฉื่อ น้ำสีดำเหมือนกับถูกกำแพงหนาขวางไว้
หนิงอี้กางร่มต้าน ตัวเอนไปข้างหน้า
อานุภาพกัดกร่อนของกลิ่นอายมรณะดูถูกไม่ได้จริงๆ เขาหาโอกาสออกกระบี่ที่สองได้ยากมาก หากปล่อยพินิจเหมันต์ก็จะเปื้อนน้ำทะเลสีดำนั่น
นอกลานบ้าน
เด็กสาวมีเหงื่อซึมออกมาตรงหน้าผาก
นางใช้จิตเข้าไปในหยกขาวนั่น
นอกลานบ้านเหมือนจะมีเสียงดังสนั่นมาเรื่อยๆ
ค่ายกลของเขาศิลาเต่าโจมตีใส่บนฟ้าจวนขุนนางรองท่องกระบี่หลายต่อหลายครั้ง กดดันอย่างหนักจนมียันต์อ่อนแสงลง ลอยลิ่วตกลงพื้น เผาแสงสว่างหายไปทั้งหมด กลายเป็นกระดาษตาย
นางเห็นภาพมุมหนึ่งในทะเลสาบจิตหนิงอี้ผ่านหยกขาวนั้น
ร่างเงาถือร่มกระดาษมันนั้นค่อยๆ ถูกกลิ่นอายมรณะกัดเซาะจนเลือนราง
นางกำลังลังเลว่าจะบีบหยกขาวนั้นดีหรือไม่
…………………..