เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 218 ไฟแห่งแดนอุดร
ตอนที่ 218 ไฟแห่งแดนอุดร
“อวิ๋นสวิน ให้มันจบลงเท่านี้เถอะ”
คุณชายชราที่สลักดอกบัวสีม่วงตรงหน้าผากพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หลงหวงในชุดคลุมดำโบกสะบัดคลายห้านิ้วมืองามที่จับตรงด้ามกระบี่ตรงเอวออก
ชายชราท่านนี้มีรูปร่างผอมบาง ชุดคลุมเต๋าสีม่วงทองตัวโคล่ง เขาหยัดกายขึ้นช้าๆ เหมือนจอกแหน
แต่คำพูดนี้กลับหนักพันชั่ง
ขู่เช่อที่นั่งยองข้างม้านั่งหินคนชราเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เผยฟันขาวสะอาดทั้งปาก “เสี่ยวอวิ๋นอวิ๋น เรื่องกรมข่าวกรองปิดจวนเจ้าลัทธิในคืนนี้ อาจารย์จะลบมันให้เจ้าเอง”
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่เงียบลง
เขาเงยหน้าขึ้นมองข้ามอาจารย์ของตนรวมถึงเจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่สองคนที่มีฐานะเท่ากับตนในสามกรม
อวิ๋นสวินมองไปยังหอยอดวิสุทธิ์ตรงกลางหมอกค่ำคืน
อาจารย์ของตนมาอยู่หน้าหอยอดวิสุทธิ์ ขวางไว้ที่นี่ อีกทั้งยังเปิดปากทองคำ
อวิ๋นสวินก้มหน้าลง กลืนความแค้นที่ยากจะกลืนลงได้นั้นก่อนขานรับเสียงเบา “ขอรับ…”
เขากวาดสายตามองเจ้ากรมใหญ่สองคน หลังจากติดตามอาจารย์ฝึกฝนในแดนอุดรกลับมา กลิ่นอายพลังในตัวสองคนนี้หนาแน่นขึ้น ยากจะรู้ตื้นลึกหนาบาง
อวิ๋นสวินมีความไม่ยอมอยู่สามส่วน เขากัดฟันพูด “อาจารย์พูด เช่นนั้นวันนี้ก็จบลงเท่านี้”
คุณชายหยวนฉุนที่ตราดอกบัวม่วงตรงหน้าผากเปล่งแสงอ่อนๆ ได้ยินความซับซ้อนในคำพูดนี้ก็ส่ายหน้า
คุณชายชราเดินหน้ามาช้าๆ ตัวเหมือนกับใยฝ้ายกลางสายลม ชุดคลุมเต๋าม่วงทองพลิ้วไหว เขาเดินมาหน้าอวิ๋นสวินก่อนจะพูดเสียงเบา “ไม่ใช่แค่จบแค่วันนี้…จากนี้อย่าได้คิดเช่นนี้อีก”
“อาจารย์…”
เสียงของอวิ๋นสวินมีความดึงดันอยู่เล็กน้อย เขาเพ่งมองคนชราที่ตนเคารพที่สุดในชีวิต
“ท่านสอนหลักการบำเพ็ญกับข้า บอกข้าว่าผู้บำเพ็ญต้องรักษาเจตนาเดิมไว้” เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่พูดเสียงแหบ “อวิ๋นสวินมิกล้าลืม…ฝึกบำเพ็ญจนถึงตอนนี้เพียงเพื่อปกป้องประชากรต้าสุยทุกคนรวมถึงคนส่วนน้อยที่ห่วงใย”
“ข้างกายอวิ๋นสวินตอนนี้ก็มีคนที่สำคัญเช่นกัน พวกเขาตายแล้ว…ข้าทนมองดูเฉยไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ความจริงให้ได้” หลังเอ่ยจบ บุรุษรูปหล่อก็มองอาจารย์ของตน แววตาทอประกายเศร้าโศก
ขู่เช่อที่นั่งยองข้างม้านั่งหินดึงเศษหญ้าขึ้นมาจากพื้น เคี้ยวในปาก แววตาซับซ้อน
หลงหวงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยเช่นกัน
เสียงอวิ๋นสวินตกกระทบพื้น
หอยอดวิสุทธิ์เงียบสงัด เข็มตกยังได้ยิน
เสียงแก่ชราดังขึ้นเนิบนาบ
“ดี”
คุณชายหยวนฉุนมีสีหน้าชื่นชมขึ้นมานิดๆ
“อวิ๋นสวิน” เขาพูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าเก่งมาก เก่งมากจริงๆ…ได้ยินเช่นนี้ ข้าดีใจมาก และก็มีความสุขมาก”
ตอนอวิ๋นสวินเพิ่งเข้าเมืองหลวงยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
หยวนฉุนมองบุรุษ ‘หนุ่ม’ รูปหล่อในตอนนี้พลางนึกไปถึงช่วงเวลาหลายสิบปีที่ตนอุ้มชูอวิ๋นสวิน สักพักก็ผ่านไปเหมือนกับม้าหนุ่มวิ่งผ่านที่ราบ
เด็กน้อยในอดีตผลัดเปลี่ยนกระดูกแล้ว เขามีคนที่ตนชื่นชม และสหายที่อยากปกป้อง
“คนเป็นอาจารย์ มีสิ่งที่ทำได้ไม่เยอะ สิ่งที่สอนได้ก็สอนไปหมดแล้ว” หยวนฉุนยื่นมือข้างหนึ่งไปช้าๆ จับมืออวิ๋นสวินยกขึ้น
อวิ๋นสวินอึ้งไปเล็กน้อย
ฝ่ามือของตนสัมผัสกับนิ้วคนชรา เขารู้สึกถึงความอบอุ่น เหนี่ยวนำในฝ่ามือ ไหลเวียน จากนั้นก่อรูปขึ้น
“ลืมเรื่องนี้เสีย” หยวนฉุนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่เป็นการปกป้องอย่างหนึ่ง เป็นการชี้แนะจากใจจริง และเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้เจ้าได้”
อวิ๋นสวินมีสีหน้าไม่แน่ใจขึ้นมานิดๆ
เขาก้มหน้าลงมองอักษรที่ร่างขึ้นจากแสงดารา ก่อนจะสลายหายไปในสายลม
สองคำ
‘รอเฉยๆ’
อาจารย์กำลังปกป้องเขา
อวิ๋นสวินเม้มริมฝีปาก เห็นแววตาอ่อนโยนของหยวนฉุนก็กัดฟันพูดอย่างจริงจัง “ศิษย์จำคำพูดอาจารย์ไว้แล้ว”
อวิ๋นสวินพลันสะบัดแขนเสื้อ
หมอกของหอยอดวิสุทธิ์หายไป
อีกไม่นานกองกำลังของกรมข่าวกรองจะปลดผนึกที่จวนหนิงอี้
ส่วนบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพากับหนิงอี้ อวิ๋นสวินไม่สนใจแล้ว
ในเมื่ออวิ๋นสวินรับปากกับอาจารย์หยวนฉุนของตนว่าจะไม่สืบสาวราวเรื่อง จะเลือกลืมไปชั่วขณะ รอโอกาสที่เหมาะสม…เช่นนั้นเขาก็จะไม่สนใจเรื่องราวหลังจากนี้อีก
ส่วนหลังจากคืนนี้ จวนนั่นของหนิงอี้จะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับเขาอวิ๋นสวินและกรมข่าวกรอง
…..
บนหน้าผากซูมู่เต็มไปด้วยเหงื่อ หมอกรอบตัวเขาพลันแผ่กระจายออก ไม่กี่ลมหายใจก็สลายหายไปทั้งหมด
อวิ๋นสวินปลดผนึกของกระดานหมากแล้ว
ผู้แข็งแกร่งราชันดาราแห่งหอยอดวิสุทธิ์สำนักเต๋าคนนี้มีสีหน้าปั้นยาก รีบวิ่งไปทางหอยอดวิสุทธิ์
เขารู้ดีว่าเจ้ากรมข่าวกรองใหญ่จะทำเรื่องต้องห้ามเพียงใด!
จะต้องขวางไว้
ทว่าตอนที่เขาเข้าใกล้หอยอดวิสุทธิ์ เขากลับเห็นภาพเช่นนี้
ในป่าไผ่ โต๊ะหินตัวหนึ่ง จุดแสงดารา กลายเป็นสีขาวดำสองสี
หญิงชุดดำกอดกระบี่ยาวพิงในป่าไผ่หลับตาพักผ่อน เหมือนกำลังงีบหลับ ลมหายใจยาว ไอวิญญาณหอยอดวิสุทธิ์รอบข้างขยับขึ้นลงตามการหายใจของนาง
สองด้านของโต๊ะหิน เมฆหมอกวนเวียนบางๆ ขยับขึ้นลงล้อมรอบอาภรณ์อวิ๋นสวินกับคนชรานั้น
สองคนมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้พบหน้ากันมานาน ตอนนี้กำลังเล่นหมากกัน
ข้างหลังคนชราเป็นชายกำยำเปลือยอกตรงแขนสักลายมังกรดำดุร้ายยืนอยู่เหมือนภูเขาเล็ก กำหมัดขนาดเท่าโถเพรช กำลังทุบหลังให้คนชราอย่างระมัดระวัง เกิดเป็นการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน
“ตามอาจารย์ไปแดนอุดร ครั้งนี้ได้อะไรมาบ้าง”
อวิ๋นสวินเบนสายตาออกจากกระดานหมากไปมองขู่เช่อกับหลงหวง
“ข้ามันหัวช้า เรียนวิชาได้เล็กน้อย แต่พลังบำเพ็ญยังไม่ก้าวหน้าเลย ติดอยู่ที่ก้าวนั้น เกรงว่าคงไม่มีหวังได้ทะลวงพลังแล้ว แต่หลงหวงไม่ใช่ นางเป็นอัจฉริยะ อาจารย์บอกว่านางขาดเพียงปราณกระบี่เดียว บางทีอาจจะเหมือนท่านหญิงซูมู่เจอของสำนักศึกษา ฟันพันธนาการขาด สำเร็จขอบเขตนิพพานหญิงคนที่สองในต้าสุยช่วงสิบกว่าปีมานี้”
ขู่เช่อยื่นมือมาข้างหนึ่ง ปาดเหงื่อ ก่อนจะยิ้มซื่อๆ “อาจารย์ แรงเท่านี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หยวนฉุนยิ้ม “แรงอีกหน่อย”
ซูมู่ที่ยืนอยู่นอกป่าไผ่มีแววตาแปลกไปเล็กน้อย เขารู้จักสองคนนี้
ขู่เช่อ หลงหวง เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่!
มีกำลังรบสุดยอดในสงครามโลกเทาแดนอุดร เป็นการคงอยู่สูงสุดและเด่นตาที่สุดในราชันดารา
เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่ขู่เช่อที่สักลายมังกรดำตรงแขน มีพลังเลือดลมทั้งตัวมหาศาลดุจมหาสมุทร ทุบหลังให้ชายชราคนนี้ยังเหงื่อไหลซก ลายสักมังกรดำตรงแขนมีแสงความเป็นเทพไหลเวียน เขาใช้วิชาความเป็นเทพแล้ว ทุบหมัดดูเหมือนเงียบ แต่ซูมู่ไม่สงสัยเลยว่าหมัดนี้ทุบช้างตายได้ หากทุบตน เกรงว่าคงแตกกระจายทันที
นี่มันวิชาใดกัน
ซ่อนพละกำลังหมื่นชั่งไว้อย่างเงียบเชียบ
แต่ทุบหลังคนชรานั่นกลับเหมือนเด็กสามขวบจริงๆ ไม่มีแม้แต่ใบไม้ร่วง พละกำลังน่ากลัวเช่นนี้ถูกคนชรานั่นลบล้างหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คนชรานั่น…เดี๋ยว คนชราท่านนั้น!
ซูมู่หรี่ตาลง เขาเห็นดอกบัวสีม่วงที่เป็นสัญลักษณ์ตำแหน่งเพียงหนึ่งเดียว
มองห่างระยะนี้ ผู้แข็งแกร่งราชันดาราหอยอดวิสุทธิ์คนนี้ยังเสียงสั่น รีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แสดงความเคารพอย่างสุดซึ้ง
“ซูมู่…ขอคารวะคุณชายหยวนฉุน!”
คนชราโบกมือด้วยรอยยิ้ม
ซูมู่ลุกขึ้น รู้สึกไม่แน่ใจนิดๆ…เขาไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองเลย
คุณชายหยวนฉุนในหอบัวฝึกฝนวิชาชีวิตนิรันดร์ ใช้วิชา ‘หนึ่งปราณแปลงสามวิสุทธิ์’ วิชาลับสูงสุดของสำนักเต๋าทิ้งร่างจริงไว้ในเมืองหลวง และใช้จิตที่มากกว่าอาศัยในร่างดอกบัวม่วงนี้ พาขู่เช่อกับหลงหวงศิษย์สองคนไปฝึกฝนที่แดนอุดร
ที่ขู่เช่อกับหลงหวงมีชื่อเสียงโด่งดังใต้ฟ้าต้าสุยได้เร็วเช่นนี้ ทำให้ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจหวาดกลัว ก็เพราะพวกเขาติดตามฝึกฝนกับคุณชายหยวนฉุน
เข้าตาคุณชายหยวนฉุน…ก็ยืนยันได้ว่ามีศักยภาพแฝงแข็งแกร่ง
“คุณชายกลับมาจากแดนอุดรแล้วรึ” ความตื่นตกใจภายในใจซูมู่ยังไม่หายไป เขาหยิกต้นขาตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าตนไม่ได้เห็นภาพหลอน มิน่าอวิ๋นสวินถึงเลิกคิดที่จะเข้าหอยอดวิสุทธิ์และปลดผนึกตน
ร่างแยกบัวม่วงของคุณชายหยวนฉุน สามสิบปียังยากจะมาเมืองหลวงสักครั้ง
ซูมู่มาหอยอดวิสุทธิ์ไม่ถึงสามสิบปี
“อาจารย์กลับมาครั้งนี้…” อวิ๋นสวินถือตัวหมากค้างไว้ ลังเลไม่แน่ใจ ก่อนจะถามเสียงเบา “ด้วยเรื่องใดหรือ”
หยวนฉุนยังไม่ทันตอบ ขู่เช่อก็ชิงตอบก่อน “อาจารย์ถูกใจหน่ออ่อนดีคนหนึ่ง น่าเสียดายคนนั้นไม่ยอมคารวะเป็นอาจารย์ เจ้าหนูนั่นเหยียบโชคขี้หมาเท่าฟ้ายังไม่รู้อีก ดันจะเป็นผู้บำเพ็ญพเนจร เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่ เป็นศิษย์อาจารย์มันน่าขายหน้านักรึ”
อวิ๋นสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนมองอาจารย์ของตน
หยวนฉุนไม่ปฏิเสธ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เจอกันที่แดนอุดร ข้าออกมือกดพลังบำเพ็ญ ต่ำกว่าขอบเขตที่สิบ ขู่เช่อกับหลงหวงร่วมมือกันยังสยบเขาไม่ได้ ข้าอยากมาเมืองหลวงสักครั้ง พูดสองสามคำ ทำเรื่องน่าเสียดายให้สำเร็จ แต่ข้ากลัวว่าเขาจะเกิดเรื่อง เลยพามาด้วยกันเลย”
ซูมู่เบิกตาโต ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน
นี่เป็นปีศาจระดับใด ขู่เช่อกับหลงหวงเจ้ากรมใหญ่สองคนนี้ ต่อให้กดพลังบำเพ็ญก็ยังเป็นสุดยอดราชันดารา แต่กลับสยบเขาไม่ได้หรือ ไม่ยอมคารวะคุณชายหยวนฉุนเป็นอาจารย์หลายร้อยปี และยังให้ร่างแยกดอกบัวม่วงของคุณชายชรายอมเดินทางไกลพันลี้ พาเจ้ากรมใหญ่สองคนเดินทางจากแดนอุดร คุ้มกันเขามาด้วยตนเองหรือ
รอเดี๋ยว…ผู้บำเพ็ญพเนจร…แดนอุดร
พลันมีร่างเงาที่มีชื่อเสียงโด่งดังขยับวูบผ่านในความคิดซูมู่
“คงไม่ใช่เขาหรอกนะ…”
อวิ๋นสวินหลับตาลง กวาดจิตสัมผัสออกไปก็เข้าใจได้ในทันที
……
หน้าประตูจวนของหนิงอี้
ผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าจำนวนมากรู้สึกถึงความร้อนของเพลิงโดยไม่รู้ตัว ส่งมาจากทะเลสาบจิตเดือดพล่าน
คนที่รู้สึกมากที่สุดย่อมเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์หลิงสวินแห่งเขาศิลาเต่า
เขาขมวดคิ้วขึ้น
ค่ายกลที่สร้างร่วมจากแสงดาราและพลังเลือดลมเกิดเสียงดังวิ้ง ไม่กำราบอยู่บนฟ้าจวนหนิงอี้อีก แต่ถูกเขากุมไว้ในมือ กระดองเต่าเหมือนคลุมด้วยชุดเกราะ เกล็ดขยับแสงวูบวาบ ดูแข็งแกร่งมาก
ในตรอกลึกไกลออกไป มีสายลมร้อนพัดมาจากความมืด
ตอนที่สายลมตกลง ก็มีบุรุษสวมงอบสีแดงเพลิงโผล่มาคนหนึ่ง
……………………….