เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 225 สยบเทพ
ตอนที่ 225 สยบเทพ
นอกค่ายกลสยบเทพ
ชายหญิงยืนเคียงข้างกัน
หนิงอี้มองเฉาหลันในค่ายกลสยบเทพพลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เผยฝาน เทียบกับเฉาหลันแล้ว พลังบำเพ็ญของข้าตอนนี้…อาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย คนนี้บรรลุจุดสูงสุดขอบเขตที่สิบแล้ว”
เผยฝานเม้มริมฝีปากก่อนพูดเสียงเบา “จะให้ข้าทำอะไร”
“ข้าขอยืมกระบี่เจ้า มากเท่าไรยิ่งดี ยิ่งหนักเท่าไรยิ่งดี” หนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง คลึงระหว่างคิ้ว เขาปักพินิจเหมันต์ยืนอยู่ ปิดตาลงช้าๆ เกิดคลื่นปราณกระบี่หลายชั้นรอบตัว รออยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแผ่นหลัง ใบหน้ารูปไข่ของเด็กสาวแนบกับอาภรณ์ข้างหลัง สีแดงสดตรงระหว่างคิ้วแทบจะออกมาเป็นหยด
หนิงอี้อึ้งงัน
ดีที่ไม่มีใครในลานบ้าน ตอนนี้ท่าทางของพวกเขาสองคนดูคลุมเครือแต่ก็ใกล้ชิด ไม่เหมือนพี่น้อง แต่เหมือนคนรักมากกว่า
ใบหน้ารูปไข่เผยฝานแดงขึ้นมาเล็กน้อย นางหลับตาลงแนบสัญลักษณ์กระบี่ซ่อนชิดกับอาภรณ์ข้างหลังหนิงอี้ สองมือกอดเอว อยู่ในท่านี้ สองคนเหมือนจะรวมเป็นหนึ่งเดียว แม้แต่เสียงหัวใจเต้นยังตรงกัน
ตึก…ตึก…
เด็กสาวถามเสียงเบามาก “พี่…แบบนี้ได้หรือไม่”
หนิงอี้พยักหน้าทื่อๆ “ได้”
พลังกระเพื่อมเหมือนคลื่น จิตกระบี่ดวงหนึ่งลดลงช้าๆ
เมื่อหนิงอี้คว้ากระบี่ ในโลกเขาก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
ในค่ายกลสยบเทพ
เฉาหลันเตรียมจะชนค่ายกลครั้งที่สาม ถอยหลังไปสองก้าวแล้ว จะใช้แรงสะท้อนกลับทำลายค่ายกลจวนขุนนางรองท่องกระบี่นี้
พลันมีเสียงเย็นยะเยือกดังมาจากกลางค่ายกล
“เฉาหลัน!”
เฉาหลันหรี่ตาลง เขาเงยหน้าขึ้น หยุดอยู่ในท่าจะชนค่ายกลสยบเทพ ก่อนถามด้วยรอยยิ้ม “โอ้ว พระเอกมาแล้วรึ หนูน้อยบ้านเจ้าเพิ่งสู้จบ ตอนนี้จะลงมาสู้เองเลยรึ”
หนิงอี้ส่ายหน้า “พลังบำเพ็ญระหว่างเจ้ากับข้าต่างกันเกินไป สู้ตัวต่อตัว ข้าสู้ไม่ไหว สิบคนก็สู้ไม่ไหว จะชนะเจ้าได้เป็นเรื่องเพ้อฝัน”
เฉาหลันกอดอก ทำเสียงจิ๊ๆ ถอนหายใจ “ถึงเจ้าจะเป็นแค่ลูกไก่ที่เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตหลัง แต่ข้าก็จะไม่เอาเปรียบเจ้า หากจะสู้ก็สู้ในพลังบำเพ็ญเท่ากัน ต่อให้เป็นยัยเด็กบ้านเจ้าเมื่อครู่ ก็เหมือนกัน อย่าโทษกายและจิตข้าเลย ข้าเกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว คงกระพัน ข้าไม่มีทางเลือก”
หนิงอี้ยิ้ม ไม่ปฏิเสธ
“เจ้าไม่ต้องกดพลังบำเพ็ญหรอก”
เฉาหลันเลิกคิ้วขึ้น
“ขอแค่อยู่ในขอบเขตที่สิบ รับข้ากระบี่เดียวในค่ายกลสยบเทพก็พอ”
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีเพียงกระบี่เดียว ชนะก็คือมัน แพ้ก็คือมัน จะสมบัติ วิชา กายจิต พรสวรรค์ เจ้าใช้ได้ตามสบายเลย เฉาหลัน…เจ้า กล้ารับหรือไม่”
ในค่ายกลสยบเทพ เฉาหลันไม่ได้ตอบในทันที
บรรยากาศทั้งนอกและในค่ายกลร้อนระอุนิดๆ
เวลาผ่านไปทีละนิดเช่นนี้…เหงื่อหยดหนึ่งซึมออกมาจากหน้าผากหนิงอี้
“เจ้าน่าจะรู้นะว่าข้ามีกำลังพอจะทำลายค่ายกลสยบเทพนี่” เฉาหลันเอ่ยนิ่งๆ “ง่ายๆ หลังข้าออกจากค่ายกลแล้ว แค่มือเดียวก็ชนะเจ้าได้”
หนิงอี้ถอนหายใจ “จะออกจากค่ายกลได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่หรอก ออกจากค่ายกลแล้วก็ยิ่งไม่แน่ไปใหญ่”
เฉาหลันพูดด้วยรอยยิ้ม “สรุป ข้าฆ่าเจ้าได้”
หนิงอี้มองค่ายกลสยบเทพพลางพูดนิ่งๆ “แต่เจ้ามาที่นี่ ไม่ได้มาฆ่าข้า”
“ใช่”
เฉาหลันยืนอยู่ที่เดิม คลายวงแขนกอดอกออกช้าๆ เขามองไม่เห็นว่าตอนนี้เด็กหนุ่มชุดดำนอกค่ายกลลืมตาขึ้นช้าๆ ระหว่างสองคนห่างกันเพียงค่ายกลสยบเทพที่ปิดพลังฟ้าดิน
เฉาหลันพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่อยากรู้ว่าเหตุใดคุณชายหยวนฉุนถึงจัดเจ้าไปอยู่อันดับหนึ่งรายนามดารา”
ชุดคลุมยาวสีแดงเพลิงพองขึ้นตามการลดสองมือของเขา
เฉาหลันพูดราบเรียบ “หวังว่ากระบี่นี้จะให้คำตอบข้าได้”
…………..
“คุณชายหยวนฉุน เหตุใดท่านถึงจัดหนิงอี้อยู่อันดับหนึ่งรายนามดารากัน”
นี่เป็นคำถามที่ซูมู่ไม่เข้าใจมาตลอด
เมื่อนานมาแล้วเขาเคยพบมังกรจู๋หลงน้อยเฉาหลันที่มาเมืองหลวงและเอาชนะทุกคน ตอนนั้นหนิงอี้ยังไร้ชื่อเสียงอยู่ในเทือกเขาประจิม รายนามดาราตอนนั้นยังไม่แน่นอน ลั่วฉางเซิงยังไม่เปล่งประกายแสง เยี่ยหงฝูก็ยังไม่ถือกระบี่ขึ้นรายนาม กฎมากมายขวางอยู่หน้าเฉาหลัน เขามีเพียงสองกำปั้นไปเยือนบุตรศักดิ์สิทธิ์มากมาย สู้จนผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกันหนีไปหมด
ต่อมาซูมู่ก็ได้พบอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานในตำนาน เขารู้สึกว่าคนหนุ่มนามหนิงอี้คนนี้เหมือนจะไม่เท่าไร เทียบกับประกายคมตอนแรกของเฉาหลันแล้ว หนิงอี้ดูธรรมดากว่ามาก มีเพียงกระบี่นั้นที่ฟันบนถนนนิมิตชาด และสังหารพญายมสิบวิหารแห่งจวนปฐพีคนหนึ่งที่ตรอกฝนพรำ
หนิงอี้เป็นอัจฉริยะจริงๆ
แต่ว่า ไม่ว่าจะมองอย่างไร หนิงอี้ที่มาเมืองหลวงครั้งแรกและออกกระบี่ที่ถนนนิมิตชาดก็ยังไม่คู่ควรกับอันดับหนึ่งรายนามดารา หนิงอี้ที่สังหารพญายมและโยนหัวออกจากตรอกฝนพรำก็ยังไม่คู่ควรกับอันดับหนึ่งรายนามดารา ศึกของสำนักศึกษาจวนเขาคราม กลับมาจากการล่าเหยื่อบนที่ราบสูงภูเขาแดง…จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่คู่ควร
คนชราที่มีตราดอกบัวสีม่วงตรงระหว่างคิ้วในป่ามืดหอยอดวิสุทธิ์ไม่ได้เลี่ยงการตอบคำถามนี้
แต่คุณชายหยวนฉุนไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ
คนชรามองซูมู่พลางถามกลับ “เจ้าว่าเหตุใดหนิงอี้ถึงเป็นอันดับหนึ่งรายนามดาราไม่ได้ล่ะ”
ซูมู่อึ้งงัน
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “หนิงอี้ไม่มีความโดดเด่นนั้นของอันดับหนึ่งรายนามดาราเท่าลั่วฉางเซิงและฝูเหยา…”
“แต่เขาพัฒนาอยู่ตลอด” หยวนฉุนพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามองเห็น อวิ๋นสวินมองเห็น ขู่เช่อกับหลงหวงที่อยู่ไกลในแดนอุดรก็ยังได้ยินข่าวคราวของเขา”
ซูมู่ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ทุกคนต่างพัฒนากันทั้งนั้น”
“หมอกหุบเขานิรันดร์บางลง เรียกอัจฉริยะมามากมาย พวกเขาล้วนแสวงหาอันดับหนึ่งในรายนาม พวกเขาต่างไม่เข้าใจและโกรธแค้นที่หนิงอี้นั่งอยู่ตรงนี้” ซูมู่พูดเสียงต่ำ “คุณชาย ด้วยอำนาจและบารมีของท่าน ความสงสัยและโกรธแค้นพวกนี้ไม่ได้เผยออกมา แต่เคลื่อนไหวลับๆ อยู่ข้างใต้”
“ไม่เกี่ยวกับบารมีของข้าหรอก” หยวนฉุนพูดเสียงนุ่มนวล “ถ้าพวกเขาต้องการ ตำแหน่งนั้นวางในเมืองหลวงแล้ว อยู่ในจวนขุนนางรองท่องกระบี่ หากเอาชนะหนิงอี้ได้พวกเขาก็จะได้เป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา แต่พวกเขาทำไม่ได้ใช่หรือไม่”
ซูมู่งุนงงเล็กน้อย เขานึกย้อนกลับไป หนิงอี้มักจะดู ‘ธรรมดา’ อยู่ตลอด มองไม่เห็นว่ามีพรสวรรค์อะไร แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นไม่ว่าจะชอบทำตัวเด่นหรือชอบทำตัวเงียบๆ ต่างก็เอาเปรียบเด็กหนุ่มเทือกเขาประจิมคนนี้ไม่ได้เลย
“บางครั้ง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยาก แต่พวกเขาทำไม่ได้ หากใช้คำพูดว่าร้ายเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ เช่นนั้นจะฝึกบำเพ็ญไปเพื่ออะไร” ภูเขาเนื้อที่นั่งยองข้างอาจารย์แสยะปากยิ้ม “ตั้งแต่ต้าสุยสร้างหอบัวขึ้น สร้างรายนามดาราขึ้น การผลัดเปลี่ยนรายนามทุกครั้งล้วนเกิดจากการต่อสู้…บ่อยครั้งที่การถูกยกเป็นอันดับหนึ่งก็เป็นกระดานหมากสังหารที่ไม่เอื้อผลประโยชน์ หากเดินพลาดก้าวเดียวก็จะตกลงหุบเหวลึก เจ้าหนูหนิงอี้นั่น ถึงข้าจะไม่เคยเจอเขา แต่ข้ารู้ว่าหากเขาอ่อนแออย่างที่เจ้าบอกจริงๆ ก็คงจะตกจากอันดับหนึ่งไปนานแล้ว”
ซูมู่เงียบลง
“คุณชายหนิงอี้…เหมือนจะเป็นคนแบบนี้จริงๆ ธรรมดาแต่ก็น่าตกใจ” เขาพูดพึมพำ “คุณชายหยวนฉุน ตอนนี้หนิงอี้สู้กับเฉาหลัน หรือท่านเองก็อยู่ข้างหนิงอี้รึ”
ทันทีที่ซูมู่เอ่ยขึ้น
อวิ๋นสวินมีแววตาแปลกไปเล็กน้อย เขามองอาจารย์ของตน
ขู่เช่อหัวเราะเสียงดัง ก่อนพูดอย่างไม่คิดอะไร “ล้อเล่นรึ ข้ากับหลงหวงสองคนยังชนะเฉาหลันในขอบเขตที่สิบไม่ได้เลย เจ้าหนูเทือกเขาประจิมหนิงอี้นั่นเพิ่งฝึกบำเพ็ญมานานเท่าไรเอง จะเอาอะไรไปชนะสายเลือดมังกรจู๋หลงแซ่เฉานั่นได้”
แต่ไม่นึกเลยว่า…
คุณชายหยวนกลับฉุนก้มหน้าลง เข้าสู่ความเงียบ
หญิงสวมงอบชุดคลุมดำที่พิงต้นไม้งีบหลับเหมือนจะตกใจกับท่าทีของอาจารย์เล็กน้อย
นี่หมายความว่าอย่างไร
………..
สองมือเด็กสาวกอดเอวหนิงอี้
กระบี่ของกระบี่ซ่อนไหลออกมาช้าๆ ทีละเล่มตามความคิดของสองคน
เผยฝานตกใจเล็กน้อย
ถึงตอนที่นางล้างกลิ่นอายมรณะแทนหนิงอี้ เข้าไปในทะเลสาบจิตของหนิงอี้และเห็นบ่อเทพนั้นแล้ว แต่สถานการณ์ครั้งก่อนต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง การล้างกลิ่นอายมรณะเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่ง นางไม่มีใจไปสนใจอย่างอื่น
การเข้ามาอีกครั้งในครั้งนี้ นางเห็นจิตกระบี่ประจำตัวที่ลอยอยู่สูงนั้นและบ่อเทพสีขาวบริสุทธิ์
ที่ราบกระดูกที่สร้างจากขลุ่ยกระดูกดึงแก่นกระบี่ของกระบี่ในกระบี่ซ่อนออกมาทีละสาย กดแสงสว่างสีขาวพวกนี้และนำมาซ้อนกัน
พวกนี้คือน้ำหนักของกระบี่
เข้ามาทีละเล่ม
หนิงอี้ที่ยืนนอกค่ายกลสยบเทพ สองมือกอดพินิจเหมันต์ กระบี่ยาวสั่นไหวเบาๆ ปลายกระบี่สีขาวจุดแสงสว่างกระชากจิตวิญญาณคน
เป็นปลายกระบี่ก่อน แล้วค่อยเป็นตัวกระบี่ แล้วค่อยด้ามกระบี่
จากนั้นเป็นสองมือที่จับกระบี่ยาวไว้แน่น ตามด้วยชุดดำที่พองขึ้นลงไม่หยุด
เผยฝานหน้าซีดขาว นางปล่อยสองมือออก
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพุ่งออกไปทันควัน ชนเข้ากลางค่ายกลสยบเทพ
พินิจเหมันต์ฟันจากบนลงล่าง ผ่าเป็นเส้นกลางฟ้าดิน!
“กระบี่ฟาด!”
กระบี่นี้คือกระบี่ฟาดที่สวีจั้งสอนหนิงอี้
ในกระบี่นี้มีคลังสมบัติกระบี่ของภูผานทีหมื่นลี้ มีความเป็นเทพมหาศาลจากที่ราบกระดูก
และยังมีจิตกระบี่ประจำตัวที่ลอยอยู่สูง
เฉาหลันหรี่ตาลง
ผู้บำเพ็ญพเนจรแดนอุดรคนนี้พลันเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเพียงแสงกระบี่มหึมาเชื่อมฟ้าดิน พลันจมเขาไปข้างในราวกับมหาสมุทร
แสงกระบี่สีขาวเชื่อมเป็นทะเล เปลวเพลิงไหลหลากพุ่งออกมา พลันถูกดับกลายเป็นเถ้าถ่าน
เพลิงมังกรแตกกระจาย
ผิวหนังดุจกระเบื้อง
เสียงพายุสายฟ้าดังกึกก้องเข้ามา ค่ายกลสยบเทพพลันถูกปราณกระบี่มหาศาลขยายตัวออกจนแตก เก้าอี้หินในลานบ้านระเบิดออกทั้งหมด เผยฝานที่ยืนอยู่หน้าค่ายกลใช้สองมือปายันต์ออกไปเรื่อยๆ ทันทีที่ปาออกไปก็ถูกปราณกระบี่กับประกายไฟร้อนแรงหมุนม้วนเข้ามา ดับลงในทันควัน
เจ้ากรมน้อยที่นั่งยองบนชายคาไม่กล้าเชื่อภาพที่ตนเห็นตรงหน้า
ปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า ทำลายจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ดิ่งขึ้นฟ้าเก้าชั้น
เขาพูดงึมงำ “มารดาเถอะ…ทีนี้จะปิดข่าวอย่างไรล่ะ”
……………………..