เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 226 ใครเห็นด้วยบ้าง ใครคัดค้านบ้าง
ตอนที่ 226 ใครเห็นด้วยบ้าง ใครคัดค้านบ้าง
ปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้าจากบนจวนขุนนางรองท่องกระบี่
ทั้งเมืองหลวงเห็นปราณกระบี่สีขาวที่มีพลังมหาศาลนี้
“ปราณกระบี่นี่มาจากที่ใดกัน”
“จวนขุนนางรองท่องกระบี่ จวนขุนนางรองท่องกระบี่ของหนิงอี้รึ”
“เขากำลังสู้กับใคร เฉาหลันหรือ”
…..
ฟ้ามืดมิดเมืองหลวงถูกปราณกระบี่ทำลายความสงบ
ท่ามกลางเสียงดังเกรียวกราว
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยอู๋ซานที่นั่งยองบนชายคาบ้านที่ห่างจากจวนขุนนางรองท่องกระบี่ไม่ไกลพลันรู้สึกปวดศีรษะ สมาชิกขั้นเดียวกันจากกรมผู้คุมกฎใช้แสงดาราสื่อสารผ่านมาทางป้ายศิลา สหายที่สนิทกันหลายคนต่างสบถด่าในป้ายศิลากันใหญ่
เฉาหลันกลับเมืองหลวง ทั้งยังมาเยือนจวนหนิงอี้ ในที่สุดเรื่องนี้ก็แพร่งพรายออกไปราวกับคุมไฟในกระดาษไม่อยู่
เสียงของอวิ๋นสวินดังมาข้างหูอู๋ซาน
“ไม่เป็นไร ข้าจัดการเอง”
นี่เหมือนกับยาลูกกลอนสงบจิตใจลง
อู๋ซานนั่งยองบนชายคา เหมือนโล่งอก แต่ก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวด เขามองจวนขุนนางรองท่องกระบี่ที่หลังจบปราณกระบี่นั้นแล้วก็เงียบงัน ภายในจวนถูกคนกางค่ายกลใหม่ ยันต์หลายต่อหลายแผ่นลอยเต็มฟ้า ห่อหุ้มปราณกระบี่ไว้อีกครั้ง ทำให้ทั้งจวนเข้าสู่ความเงียบ
“การต่อสู้เทพเซียนอะไรกัน ประชาชนจะตายกันหมด” อู๋ซานพูดพึมพำกับตัวเอง สายตามองไปที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าที่นอนหมอบกับพื้นพลางวิจารณ์อยู่ในใจ ‘ดีที่เฉาหลันมาสั่งสอนไปเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นหากเจ้าหลิงสวินเข้าไปในจวนจริงๆ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะถูกทุบตีเป็นหัวหมูอย่างไรแล้ว’
เฉาหลันไม่ใช้กระบี่
ปราณกระบี่ที่มีพลังอำนาจมหาศาลนั่นมาจากมือใคร คงไม่ต้องบอกแล้ว
ในปราณกระบี่นั้นยังมีเปลวเพลิงร้อนแรง เห็นได้ชัดว่าเฉาหลันพ่นไฟแท้ออกมา
มองจากที่เฉาหลันทุบตีบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่า…หากเฉาหลันไม่มาและหลิงสวินยืนกรานจะเข้าจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ภาพทุบกระดองแตกเมื่อครู่ก็จะได้ฉายใหม่อีกครั้ง
……
หอยอดวิสุทธิ์ที่เงียบสงบไร้เสียง
ทุกคนเห็นปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้านั้น
ทุกคนในหอยอดวิสุทธิ์ก็ไม่เว้นเช่นกัน
ฟ้ายามราตรีของเมืองหลวงถูกปราณกระบี่นั้นย้อมเป็นสีขาวในพริบตา สว่างราวกับยามกลางวัน
ซูมู่มีสีหน้าตื่นตกใจ ปากพูดงึมงำ “นี่มัน…”
ขู่เช่อตกใจเล็กน้อย หันไปมองทางจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ในน้ำเสียงมีความเหลือเชื่ออยู่ “เจ้าหนูหนิงอี้นั่นมีปราณกระบี่ขนาดนี้เชียว”
ในดวงตาหลงหวงฉายประกายเคร่งขรึมเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างจริงจัง “เป็นปราณกระบี่ ในนั้น…ยังมีเพลิงมังกรของเฉาหลัน”
อวิ๋นสวินยังคงสงบนิ่ง ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง
ในป่ามืด
คำพูดของซูมู่เมื่อครู่ยังดังกึกก้องในป่า
‘คุณชายหยวนฉุน ตอนนี้หนิงอี้สู้กับเฉาหลัน หรือท่านเองก็อยู่ข้างหนิงอี้กัน’
ซูมู่คิดว่าไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ของหนิงอี้กับเฉาหลัน ผู้ชนะคนสุดท้ายจะต้องเป็นเฉาหลันแน่นอน
คนชรากลับลังเล…หรือว่าจะยังมีโอกาสพลิกกลับ
ดังนั้นถึงปรากฏปราณกระบี่นี้
ซูมู่พูดด้วยความตกตะลึงและใจลอย “หนิงอี้ชนะเฉาหลันได้รึ”
เขาเบนสายตาไปมองคุณชายหยวนฉุน
คนชราส่ายหน้า
ซูมู่ไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามด้วยความร้อนรน
“คุณชาย หมายความว่าอย่างไรกัน”
อวิ๋นสวินชำเลืองตามองซูมู่ทีหนึ่ง ราชันดาราแห่งหอยอดวิสุทธิ์คนนี้ ดูไม่ฉลาดเท่าไรเลย
อวิ๋นสวินถาม “เฉาหลันมีพลังบำเพ็ญเท่าไร”
ซูมู่ตอบตามจริง “ขอบเขตที่สิบ”
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่เอ่ยอย่างเฉยชา “เฉาหลันไม่ใช่แค่ขอบเขตที่สิบ แต่ยังเป็นขอบเขตที่สิบที่แข็งแกร่งมาก วางในสองใต้ฟ้าตอนนี้ เขาแข็งแกร่งจนไร้พ่ายในพลังบำเพ็ญเท่ากัน ถ้าโยนไปในประวัติศาสตร์ต้าสุย ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่เบียดอยู่แนวหน้าได้ เบื้องบนของสามกรมและสองสำนักต่างรู้พลังบำเพ็ญของหนิงอี้ดี เจ้าเองก็รู้ว่าการเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตหลัง สำหรับบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศักดิ์สิทธิ์แล้วเป็นแค่ชั้นกลางในชั้นกลาง ห่างจากเฉาหลันหลายขุม”
“เฉาหลันบรรลุจุดสูงสุดขอบเขตที่สิบแล้ว แต่หนิงอี้ยังไม่ถึงขอบเขตที่สิบ ในขอบเขตพลังนั้นลี้ลับเพียงใดเจ้าซูมู่ก็เคยผ่านมาแล้ว รู้ดีกว่าใคร ระหว่างสองคนต่างกันเหมือนเมฆและดินเลน”
อวิ๋นสวินยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเบาๆ “ดังนั้นความหมายของอาจารย์จึงง่ายมาก ศึกนี้รู้ผลตั้งแต่เริ่มแล้ว”
“เฉาหลันชนะ…หนิงอี้แพ้รึ”
ซูมู่พูดด้วยความสับสนเล็กน้อย “เช่นนั้นนับจากคืนนี้ไป อันดับหนึ่งรายนามดาราจะเปลี่ยนคนรึ”
คนชราดอกบัวม่วงไม่พูด แต่มองศิษย์น่าภูมิใจของตนด้วยความชื่นชม สื่อให้เขาพูดต่อ
อวิ๋นสวินส่ายหน้านิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่หรอก”
ซูมู่ลุกขึ้นยืน โค้งตัวเล็กน้อยแสดงความเคารพ จากนั้นนั่งเรียบร้อย แสดงให้เห็นว่าตนล้างหูรอฟังแล้ว
“หนิงอี้นั่งตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่าเขา” อวิ๋นสวินวางถ้วยชาลง สองนิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ “ถ้าพูดถึงอันดับหนึ่งรายนามดารา…เจ้าคงอยากถามถึงสองคนนั้นใช่หรือไม่”
ซูมู่พยักหน้า
เฉาหลัน เยี่ยหงฝู
อวิ๋นสวินก้มหน้าลง พูดด้วยรอยยิ้ม “ปัญหามาจากตรงนี้…เจ้าคิดว่าพวกเขาสองคน ใครควรจะนั่งอันดับหนึ่งมากกว่ากัน”
ซูมู่อ้าปาก สุดท้ายก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร
เฉาหลันกับเยี่ยหงฝูสองคน ผลัดกันนั่งอันดับสองกับสาม อันดับที่แท้จริงของสองคน ความจริงไม่สำคัญเลย
เพราะตอนนั้นลั่วฉางเซิงนั่งอันดับหนึ่ง ลั่วฉางเซิงกำราบสองคนนี้ได้อย่างแท้จริง จนกระทั่งเขาออกจากขอบเขตที่สิบ จุดดาราชะตา เขาก็เป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในรุ่นเยาว์ใต้ฟ้านี้
เด่นตายิ่ง
แต่หลังจากลั่วฉางเซิงไปแล้วล่ะ
ในที่สุดคนชราดอกบัวม่วงแห่งหอยอดวิสุทธิ์ก็เอ่ยขึ้น
“เฉาหลันไม่นั่งอันดับหนึ่ง เพราะเขานั่งอันดับหนึ่งไม่ได้”
คุณชายหยวนฉุนไขข้อสงสัยให้ซูมู่ด้วยตนเอง เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลังจากคืนนี้ หนิงอี้ยังเป็นอันดับหนึ่ง และเฉาหลันก็ไม่ใช่ที่สอง”
ซูมู่งุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจแจ่มแจ้ง
“ศึกนี้ ขาแค่อยากดูว่าหนิงอี้ที่อยู่อันดับหนึ่งรายนามดารามีความสามารถเพียงใดกันแน่ คู่ควรกับตำแหน่งนี้หรือไม่” คนชรามองไปทางจวนขุนนางรองท่องกระบี่ก่อนจะยิ้มจนปัญญา “เฉาหลันเป็นเด็กหัวดื้อ เขาเต็มที่มาตลอด อยากจะพิสูจน์ว่าอย่างน้อยข้าก็พลาดได้ ข้าวางหนิงอี้ไว้สูง หากเป็นเพียงพวกมีดีแต่ชื่อ ต่อให้ล่วงเกินเขาสู่ซานกับสำนักเต๋า เขาก็จะลากหนิงอี้ลงมา พิสูจน์ว่าข้าพลาด”
ซูมู่พูดอย่างงุนงง “เช่นนั้น ตอนนี้ล่ะ”
“ตอนนี้หรือ หากหนิงอี้มีดีแค่ชื่อ ก็คงจะไม่มีปราณกระบี่ที่ทำลายความสงบของเมืองหลวงนี้ได้”
หยวนฉุนหัวเราะเบาๆ “ถูกและผิด งอและตรง หนึ่งเส้นทางเดินไปจนดำมืด ความจริงเฉาหลันไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมเลย เขาสนใจแค่วิถีของตนเอง ดำขาวแยกกันชัดเจน ไม่คลุมเครือ เขาให้ความสำคัญกับผู้บำเพ็ญรุ่นเยาว์สักคนน้อยมาก ยิ่งชื่นชมมากก็ยิ่งอยากสู้กับเขา ข้าถูกใจเฉาหลันตรงจุดนี้”
“ตรงนี้เหมือนข้าเลย” ขู่เช่อยิ้มหยีตาพลางรับคำพูดนี้ไว้
“เฉาหลันฉลาดกว่าเจ้าเยอะ” หลงหวงชำเลืองตามองอย่างเย็นชา ก่อนพูดไม่สบอารมณ์ “คนโง่ รู้จักแต่ใช้กำลัง”
…….
จวนเงียบสงัด
ปราณกระบี่ยังคงส่งเสียงดัง
แต่ค่ายกลสยบเทพพังลงแล้ว
พินิจเหมันต์ที่กดลงฟันไม่เข้า หรือฟันทำลายอะไร แต่ถูกนิ้วมือหนึ่งดีดไปข้างๆ เอียงชี้ลงพื้น
หมัดที่มีควันดำลอยโขมงลอยอยู่ตรงหน้าผากหนิงอี้
หนิงอี้หน้าซีด
หมัดนั้นดึงกลับไปช้าๆ เฉียดผ่านเส้นผมสตรี แก้ม ไปพร้อมกับสายลมร้อนพัดผ่านช้าๆ
เฉาหลันก้มหน้าลงมองเด็กสาวเผยฝานที่เตี้ยกว่าเล็กน้อยพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสฉู่เซียวแห่งภูเขาม่วง…มิน่าถึงมีพลังบำเพ็ญและฝีมือเช่นนี้”
กระบี่นั้นที่หนิงอี้ทุ่มกำลังทั้งหมดถูกเฉาหลันตีแตกกระจาย เปลี่ยนทิศทางไปทะลวงค่ายกลสยบเทพ พุ่งขึ้นฟ้ายามราตรีของเมืองหลวงบนจวนขุนนางรองท่องกระบี่
และในช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย ร่างอรชรแทรกเข้ามาขวางระหว่างสองคน
เผยฝานกางสองแขนขวางหน้าเฉาหลัน
สายลมร้อนพัดผ่านแก้ม
นางลืมตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตายังมีความไม่เข้าใจอยู่นิดๆ
หนิงอี้เก็บพินิจเหมันต์ ปลายกระบี่กดลงพื้น มองเฉาหลัน
“กระบี่นี้ไม่เลว” เฉาหลันถอยไปสองก้าวช้าๆ ยกนิ้วโป้งขึ้น คลื่นเพลิงเต็มฟ้าพากันไหลเข้ามา รวมเป็นงอบบนศีรษะ กลิ่นอายพลังในตัวเขาลดลงเรื่อยๆ จนไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา
ไม่ตัดสินความเป็นตาย แต่ตัดสินแพ้ชนะแล้ว
เฉาหลันยิ้มหยีตา “ถึงจะมีเพียงกระบี่เดียว แต่ก็เกือบกดดันให้ข้าใช้อุบายก้นหีบได้ หนิงอี้…เจ้าเองก็ใช้ได้”
พอเห็นหนิงอี้ยังมีสีหน้างุนงงและทำอะไรไม่ถูกแล้ว เฉาหลันก็กอดอก งอบลอยขึ้น ด่ายิ้มๆ “อะไรกัน เจ้าคิดว่าข้าจะแย่งอันดับหนึ่งรายนามดารากับเจ้าจริงๆ หรือ คิดว่าข้าสนใจชื่อเสียงจอมปลอมนั่นจริงๆ หรือ”
หนิงอี้ยังไม่ทันพูด
“เฮ้อ เหมือนจะสนใจอยู่นิดๆ นะ”
เฉาหลันลูบคางก่อนทำเสียงจิ๊ๆ “ถ้าไม่มีลั่วฉางเซิง ข้าก็เหมือนจะนั่งตำแหน่งนี้ได้ ถึงอย่างไรหญิงแซ่เยี่ยนั่นก็สู้ข้าไม่ได้แน่”
หนิงอี้เข้าใจนิดๆ แล้ว
“เจ้าแกร่งกว่าหลิงสวิน แกร่งกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา และก็แกร่งกว่าคนพวกนั้นจากแดนประจิม เจ้านั่งตำแหน่งนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว” เฉาหลันตบบ่าหนิงอี้ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหยวนฉุนมองคนไม่ผิด”
หนิงอี้มองเฉาหลันงงๆ เขานึกไปถึงฉากที่ตนฟันกระบี่นั้น เฉาหลันที่เหมือน ‘ทุ่มสุดกำลังแล้ว’ ในตอนแรกกลับแสดงพลังที่แท้จริงออกมา เกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก
วิชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กระบี่ที่แฝงความเป็นเทพและกระบี่ซ่อนถูกเขาชกหมัดเดียวพังทลายลง
นี่ต้องมีพลังบำเพ็ญระดับใด
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก “เจ้าล่ะ”
เฉาหลันยิ้ม “ข้าหรือ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ในจุดที่สูงกว่า”
บุรุษหนุ่มชุดคลุมยาวสีแดงเพลิงยื่นมือมาข้างหนึ่ง ครั้งนี้รวมงอบเพลิงขึ้น เขาใช้ฝ่ามือกดขอบงอบเล็กน้อย ปิดใบหน้า ก่อนหมุนตัวผลักประตูใหญ่จวน ความร้อนสูงละลายประตูโบราณทันที ต่อให้เฉาหลันเบามือมากแล้ว แต่ประตูใหญ่ทองสัมฤทธิ์ก็ยังถูกผลักจนแทบจะกระเด็นออกไป เกิดเป็นเสียงดัง ‘ตึง’
ผลักออกเป็นรอยฝ่ามือนูนออกมา
เฉาหลันก้าวออกจากจวน สูดอากาศสดชื่นลึกๆ
เขาก้มหน้าลงมองบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าหลิงสวินที่นอนอยู่บนพื้นพลางเอ่ยเรียบๆ “ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
หลิงสวินหน้าขาวซีด
กระบี่นั้นฟันออกไป เมืองหลวงก็ไม่เงียบสงบอีก
ทุกคนรู้ว่าเฉาหลันมาเมืองหลวง
ทุกคนรู้ว่าเฉาหลันมาจวนขุนนางรองท่องกระบี่ของหนิงอี้
ทุกคนอยากรู้ว่าบทสรุปของกระบี่นั้นคืออะไร
บุรุษหนุ่มชุดแดงสวมงอบกระแอมไอในลำคอ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดเสียงดังกังวาน “ข้าเฉาหลัน จะขอพูดกับเมืองหลวงสักหน่อย”
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยอู๋ซานขวางผู้บำเพ็ญที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ไหวแล้ว ทั้งกรมผู้คุมกฎ สำนักศึกษา ดอกบัวแดนบูรพา เขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิม ผู้ฝึกวิชาแดนทักษิณ ผู้บำเพ็ญพเนจรแดนอุดร คนมากมายยืนกันบนชายคาเต็มไปหมด ตอนนี้เห็นพลังในตัวเฉาหลันไม่ปั่นป่วนแม้แต่นิด ความจริงก็เดาบทสรุปไว้ได้แล้ว ขณะเดียวกันผู้บำเพ็ญพวกนี้ยังเห็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าที่นอนบาดเจ็บสาหัสบนพื้น ต่างมองตากัน สีหน้าแปลกกันออกไป ซับซ้อนพูดยาก แต่ทุกคนก็คาดการณ์ได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นที่หน้าจวนหนิงอี้
สายตารวมไปที่จุดเดียว
เสียงของเฉาหลันดังก้องค่ำคืนอันยาวนาน
“หนิงอี้นั่งอันดับหนึ่งรายนามดารา…ใครเห็นด้วยบ้าง ใครคัดค้านบ้าง”
……………………….