เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 229 ประกาศต่อใต้ฟ้านี้
ตอนที่ 229 ประกาศต่อใต้ฟ้านี้
อู๋ซานมีสีหน้าหลากหลายมาก
เกี่ยวกับตัวตนของเด็กสาวข้างหนิงอี้คนนี้ ภายในกรมข่าวกรองเกิดการถกเถียง คาดเดาและสงสัยกันอย่างมาก
เคยมีคนกล้าหาญเอ่ยว่า…เด็กสาวแซ่เผยคนนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นศิษย์ยอดฝีมือขอบเขตนิพพานท่านหนึ่ง อยู่ในเมืองหลวง ทำอะไรเงียบๆ ดังนั้นตัวตนจึงลึกลับเช่นนี้ และตรวจสอบได้ยาก
ทว่าไม่นานการคาดเดาไร้สาระนี้ก็ถูกปัดตกไป
ผู้คนมักจะเชื่อสายตาตนเองเสมอ พวกเขามองเผยฝานเป็นเด็กกำพร้าเทือกเขาประจิม เป็นน้องสาวของหนิงอี้ เป็นคนปกติที่ดูธรรมดามาก
แต่ปราณกระบี่นั้นไม่อาจอธิบายได้
ดังนั้นเฉาหลันจึงก้าวออกมา บอกว่านางเป็นศิษย์ของฉู่เซียว
ผู้บำเพ็ญทุกคนที่นี่ขมวดคิ้วก่อน แต่พอนึกดูดีๆ คำว่า ‘ฉู่เซียว’ ดูคุ้นหู แต่ความจริงไม่ได้ยินมานานมาก
พลันมีเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ข้องเกี่ยวทางโลกลอยขึ้นมาจากเมฆหมอกในความคิด
ภูเขาม่วง!
รวมถึงยอดฝีมือนิพพานที่ฝึกวิชาต้องห้ามเกิดดับท่านนั้นของภูเขาม่วง
ทุกอย่างเข้าใจได้แล้ว
เผยฝานที่ยืนข้างหนิงอี้อยู่หน้าประตูจวน ตอนนี้เศษหยกขาวแตกในทะเลสาบจิตรวมขึ้นมาช้าๆ นางสัมผัสภายในใจพลางยื่นมือออกไปคว้าสิ่งหนึ่ง
หลังหยกขาวแตก แสงสีม่วงก็ไหลเวียนในสายเลือด เมื่อนางหายใจแสงดาราเข้าออก ก็รวมขึ้นเป็นป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่ง
ป้ายคำสั่งภูเขาม่วง!
ทันทีที่ป้ายคำสั่งนั้นลอยขึ้น ดวงจิตหยาบหมุนม้วนออกไป ปกคลุมทั้งจวนขุนนางรองท่องกระบี่
ยันต์กฎเหล็กบนฟ้าต้าสุยโคลงเคลงเบาๆ
เสียงของเจ้าภูเขาม่วงระเบิดดังข้างหูเจ้ากรมข่าวกรองน้อยและเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อย เมฆลมเปลี่ยนไป กระเบื้องบนหลังคาถูกลมพัดลอยขึ้นทีละแผ่น ใบหน้าของยอดฝีมือนิพพานมาเยือนบนฟ้าจวนพร้อมกับอำนาจคุกคามมหาศาล ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ต่างลืมตากันไม่ขึ้น
“ฉู่เซียว…ฉู่เซียว!”
ในป่ามืดของหอยอดวิสุทธิ์ อวิ๋นสวินปิดความตื่นตกใจในแววตาไม่ได้ เขาตะโกนนามของเจ้าภูเขาม่วงก่อนจะลุกพรวดขึ้น แต่ก็รู้ทันทีว่าตนเสียอาการจึงมองอาจารย์ คนชราดอกบัวม่วงที่นั่งบนม้านั่งหิน ตอนนี้ขมวดคิ้ว นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
ดูท่า แม้แต่อาจารย์เองก็ยังไม่รู้…
“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นฉู่เซียว” คุณชายหยวนฉุนพูดพึมพำ “ฉู่เซียวมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไร รับศิษย์ตั้งแต่เมื่อไร…ก่อนเฉาหลันจะพูดคำนั้นออกมา ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้”
ซูมู่ที่ยืนปรนนิบัติอยู่ข้างคุณชายหยวนฉุนด้วยความเคารพขมวดคิ้วขึ้น เขาพลันนึกได้ว่านักพรตชุดหยาบสองคนนั้นที่ตนส่งไปเฝ้าจวนขุนนางรองท่องกระบี่ของหนิงอี้ เหมือนจะเคยเอ่ยกับตนเรื่องหนึ่ง…มีอยู่วันหนึ่ง สองคนเหมือนจะเห็นแม่นางกางร่มกระดาษมันสีแดงคันใหญ่ ดูน่าสงสัย เดินมาทางจวนขุนนางรองท่องกระบี่ สองคนยังไม่ทันขวางก็รู้สึกง่วงงุนก่อนจะหลับลึกไป ตื่นขึ้นมางัวเงียก็จำหน้าตาอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว
เป็นตอนที่หุบเขานิรันดร์เปิดภูเขา
……
อำนาจคุกคามน่ากลัวที่หลั่งไหลมาจากป้ายคำสั่งภูเขาม่วงนั้นปรากฏมาเพียงพริบตาเดียว หลังเกิดพายุคลั่งและทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว ก็หายไปกับอากาศ หาร่องรอยไม่พบ
แต่นี่ก็เพียงพอแล้ว
นี่ยืนยันทุกอย่างได้แล้ว
เผยฝานบีบป้ายคำสั่งนั้น นางสัมผัสได้ว่าในนั้นมีดวงจิตของผู้อาวุโสฉู่เซียวอยู่ ป้ายคำสั่งนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก หลังจากตนบีบหยกขาวที่ฉู่เซียวมอบให้แตก แสงเทพภูเขาม่วงก็เข้าไปในสายเลือด นี่เหมือนกับแสงดาราพิเศษ รอเวลาที่เหมาะสมก็จะรวมออกมาเป็นป้ายคำสั่งภูเขาม่วงที่ใช้ยืนยัน ‘ตัวตน’
“ตัวตนที่สาม…” เผยฝานพูดพึมพำ
หนิงอี้มองเด็กสาว หลังจากสู้กับกลิ่นอายมรณะและสังหารมังกรน้ำหมึก เขาก็หมดสติไป ในช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย เป็นจิตของเด็กสาวเข้ามาในทะเลสาบจิตของตน ถึงได้เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี
ส่วนเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น หนิงอี้ไม่แน่ใจ แต่เขาเดาได้คร่าวๆ ว่าตนได้สุดยอดคนที่ยืนอยู่สุดยอดของโลกบำเพ็ญอย่างแท้จริงสักคนช่วยไว้ ถึงได้กำจัดกลิ่นอายมรณะครั้งนี้ได้อย่างราบรื่น
เขาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝึกวิชาเกิดดับในโลกนี้มีเพียงภูเขาม่วง
หนิงอี้มีสีหน้าไม่แน่ใจ เขานึกถึงตอนที่ตนขึ้นภูเขาม่วงและเจอกับผู้อาวุโสฉู่เซียว
คำพูดนั้น ‘หากกลิ่นอายมรณะมาถึง ให้บีบจี้หยก’!
ใบหน้าเขามีทั้งความเข้าใจและก็ปล่อยวาง ที่แท้ผู้อาวุโสฉู่เซียวก็รอตนอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว…และก็ถูกใจเด็กสาวจริงๆ อยากจะรับเป็นศิษย์
“นี่คือดี หรือร้ายกันแน่…” หนิงอี้ส่ายหน้าก่อนพึมพำในใจ “อย่างน้อยตอนนี้ก็ดี”
เด็กสาวมีตัวตนที่สามที่จะยืนใต้แสงตะวันได้อย่างผ่าเผย
ป้ายคำสั่งภูเขาม่วงกลายเป็นแสงดาราอีกครั้งก่อนจะหายไป
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยที่นั่งยองบนหลังคามีสีหน้าเก้อเขิน ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้จะถึงขั้นเรียกดวงจิตของคนใหญ่คนโตขอบเขตนิพพานออกมา แผ่นกระเบื้องบนหลังคากระจัดกระจาย ระเนระนาด เขาก้มตัวลงลึกก่อนพูดขอโทษ “แม่นางเผย…ล่วงเกินไปแล้ว อภัยให้ด้วย”
เผยฝานก้มหน้าลงเพ่งมองแสงดาราสีม่วงที่กระจายในฝ่ามือตน
เฉาหลันหมุนตัวกลับมาด้วยรอยยิ้ม “ชิ นี่เจ้าแย่งความเด่นความดังข้าไปหมดเลยนะ”
เดิมทีเฉาหลันก็จะพูดอยู่แค่สามประโยค
สามประโยคนี้น่าจะน่าตกใจขึ้นเรื่อยๆ และประโยคสุดท้ายจะเป็นหินตกกระทบฟ้า
ตอนนี้แม่นางน้อยข้างหนิงอี้กลับเผยตัวตนที่แท้จริงต่อใต้หล้า เวลานี้เด่นดังเป็นที่หนึ่ง
แย่งความเด่นของเฉาหลันไปจนหมด
เพียงแต่เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้
เฉาหลันพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนข้าก็เคยไปภูเขาม่วง ผู้อาวุโสฉู่เซียวเปิดภูเขาให้ข้าผ่าน มีบุญคุณกับข้า บุญคุณของหยดน้ำต้องทดแทนด้วยตาน้ำ จากนี้หากเจอปัญหาอะไร เจ้าก็เอ่ยนามของข้าเฉาหลันได้”
เผยฝานก้มตัวแสดงความเคารพอย่างจริงจัง ถือเป็นการขอบคุณ
ทันใดนั้นเองเกิดเสียงดังมาจากทางนั้นของตรอกเล็ก
ไม่ว่าจะสำนักศึกษาหรือเขาศักดิ์สิทธิ์ มาจากแดนบูรพาหรือแดนทักษิณต่างเปิดทางให้ด้วยความเคารพ
ผู้บำเพ็ญกรมข่าวกรองก้มหน้าลงมองเจ้ากรมใหญ่ของตน ประคองชายชราชุดคลุมยาวสีม่วงเดินมาจากทางนั้นของตรอกเล็กช้าๆ
“ดอกบัวม่วง…” หนิงอี้มองร่างแก่ชรานั้นที่ยิ่งเดินยิ่งเด่นตาขึ้นในเงามืด สัญลักษณ์ดอกบัวสีม่วงนั้นตรงหน้าผากเปล่งแสงอ่อนๆ เขาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่ง
เฉาหลันกลับมาจากแดนอุดร…เรื่องนี้จะปิดทุกคนได้อย่างไร
ดอกบัวม่วงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมและความถูกต้องหนึ่งเดียวของต้าสุย และเป็นสัญลักษณ์ที่แกะสลักบนป้ายหอดอกบัวได้เด่นตาที่สุด คุณชายหยวนฉุนฝึกหนึ่งปราณแปลงสามวิสุทธิ์ หนึ่งร่างแยกในนั้นพาศิษย์ที่เป็นเจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่สองคนไปแดนอุดร สังหารยอดปีศาจ เขาสวมชุดคลุมเต๋าดอกบัวม่วง ตรงหน้าผากเป็นลายเต๋าดอกบัวม่วง
เจ้ากรมข่าวกรองใหญ่อวิ๋นสวินมีใบหน้าเฉยเมย หมอกปกคลุมบนบ่า สูงตระหง่านดุจเซียนบนฟ้า ถูกต้องชอบธรรม ประคองคนชราด้วยความเคารพ ยืนอยู่ทางซ้าย
ทางขวาของคุณชายหยวนฉุนเป็นหญิงสูงโปร่ง สวมงอบปิดด้วยผ้าดำ ในตัวมีไอสังหาร นั่นคือเจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่หลงหวง เมื่อพิจารณาผ้าดำปิดหน้าของนางดีๆ จะพบว่านี่เป็นศาสตร์กลิ่นอายพลังที่เหมือนกับงอบของเฉาหลันทุกประการ
พื้นดินสั่นสะเทือน
ข้างหลังสามคนเป็นภูเขาเล็กเดินมาช้าๆ
บุรุษร่างกำยำเปลือยกายท่อนบน บนตัวมัดด้วยโซ่หนักสีดำ พ่นลมหายใจสีขาวจากในเงามืด เม็ดหินบนพื้นตรอกเล็กถูกดีดขึ้นมา
ศิษย์อีกคนของหยวนฉุน เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่ขู่เช่อ
คนชราคนนั้นคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนนี้ยอดผู้บำเพ็ญสามคนที่ล้อมคนชราเดินเข้ามาจากส่วนลึกในตรอก ไม่ว่าใคร วางในใต้ฟ้าต้าสุย แค่เหยียบทีเดียวก็สั่นสะเทือนไปแปดทิศ!
เขาศิลาเต่า เขาล่องโอฬาร สำนักศึกษา แดนทักษิณ แดนอุดร…หลังจากเห็นแขกทางนั้นของตรอกเล็ก ผู้บำเพ็ญที่ขี่กระบี่บินต่างพากันเก็บกระบี่บิน ลงมาบนพื้นและแสดงความเคารพสูงสุด
จนถึงตอนนี้ทุกคนก็เข้าใจแล้ว
เหตุใดคืนนี้เฉาหลันถึงกลับเมืองหลวงมาได้อย่างเงียบเชียบไม่เป็นที่สนใจของเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ร่างแยกดอกบัวม่วงของคุณชายหยวนฉุนกลับจากแดนอุดรมาเมืองหลวง
สองคนกลับเมืองหลวงพร้อมกัน…นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
ด้วยความตั้งใจของท่านราชครู การจะกดข่าวไว้เป็นเรื่องง่ายมาก…ศิษย์สำนักศึกษาบางส่วนเงยหน้าขึ้น พิจารณามองคุณชายชราหยวนฉุนที่กำลังยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง รู้สึกซับซ้อนขึ้นมา
อ้อยอิ่งแสดงความเคารพแล้วก็ไม่เข้าใจหน่อยๆ…ท่านราชครูมาเพื่ออะไรกัน
คุณชายหยวนฉุนเดินผ่านตรอกเล็กมาถึงหน้าประตูจวน
เขามาที่นี่ เพียงเพื่อคนเดียว
บุรุษหนุ่มสวมงอบสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่ที่เดิมและทำอะไรไม่ถูกนิดๆ ลูบศีรษะ ก่อนจะแอบส่งกระแสจิตส่วนตัว “คุณชาย…ไหนบอกว่าจะให้เวลาข้าพูดสามประโยคไง ยังเหลือประโยคสุดท้าย”
เฉาหลันผ่านเรื่องราวใหญ่ๆ มาจนชินแล้ว
แต่นั่นล้วนเป็นการต่อสู้และแย่งชิงถึงชีวิต
เขาเคยสู้กับเขาศักดิ์สิทธิ์ เคยสู้กับสำนักศึกษา เคยผ่านบึงน้ำใหญ่ที่อันตรายที่สุดในแดนอุดร ถูกพันคนไล่ล่า หมื่นชายชี้หน้า
แต่ไม่เคยเลยที่เขาจะได้รับความเคารพและโค้งตัวคำนับให้มากขนาดนี้ ต่อให้คนพวกนั้นจะไม่ได้เคารพตน แต่เป็นคุณชายหยวนฉุนตรงหน้าก็ตาม
ด้วยความหนาของหนังหน้าเฉาหลัน ตอนนี้ยังรู้สึกเขินนิดๆ
เสียงคุณชายหยวนฉุนเหมือนกับสุราเก่า ละมุนละไมและลึกล้ำ
“เฉาหลัน ข้าอยากรับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้าบอกว่าเจ้ามีสามความปรารถนา หนึ่งคือเจอกับอันดับหนึ่งรายนามดาราปัจจุบันตอนเจ้าอยู่ขอบเขตที่สิบ ดูว่าข้ามองผิดคนหรือไม่ สองคือทะลวงขอบเขตที่สิบที่อยู่ใต้ดาราชะตา สำเร็จขอบเขตมายา ตอนนี้ สำเร็จสองความปรารถนาแล้วหรือไม่”
เฉาหลันเข้าใจนิดๆ แล้ว
เขาพูดด้วยความเคารพ “เรียนคุณชาย สองความปรารถนานี้สำเร็จแล้ว”
หยวนฉุนยื่นมือมาข้างหนึ่ง ทำนองสีม่วงไหลเวียนในฝ่ามือ
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น ความปรารถนาที่สามคืออะไร”
ไม่ใช่แค่เฉาหลันที่มองออก หนิงอี้และเผยฝานที่ยืนข้างหลัง รวมถึงอ้อยอิ่งแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวและผู้บำเพ็ญทุกคนที่นี่ต่างมองออกกันหมด
คุณชายหยวนฉุนกำลังช่วยสร้างอำนาจให้กับเฉาหลัน
เฉาหลันเม้มริมฝีปาก
คุณชายหยวนฉุนรับปากอย่างจริงจัง “ไม่ใช่แค่ผู้บำเพ็ญที่มาที่นี่ในวันนี้ ไม่ใช่แค่ทั้งเมืองหลวง แต่เป็นทั้งใต้ฟ้าต้าสุย กระทั่งแดนอุดรขึ้นเหนือไปอีก ข้ารับปากเจ้า ขอแค่เจ้าบอกมา เช่นนั้นทุกคนก็จะได้ยิน”
เฉาหลันที่มีนิสัยฉุนเฉียวไม่ยอมใคร ตอนนี้พยักหน้าช้าๆ เหมือนกับล้างประกายไฟและความดุร้ายออกไปทั้งหมด
งอบขยับไหวตามสายลม
เฉาหลันพูดเสียงเบา “คุณชายหยวนฉุน ข้าอยากพูดกับคนคนหนึ่ง”
ฟ้าดินพลันสว่างสดใส
“เยี่ยหงฝู จะกลับมาเมืองหลวงเมื่อไร? ข้าเฉาหลัน จะรอสู้กับเจ้า!”
…………………………