เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 230 หงฝู
ตอนที่ 230 หงฝู
แดนอุดรมีสามแดนต้องห้ามใหญ่
หนึ่งภูเขาหนึ่งแม่น้ำหนึ่งแดนเทวา แดนเทวาปรโลกที่เป็นหนึ่งในสามแดนต้องห้ามใหญ่อยู่นอกกำแพงเมืองแดนอุดรไปสามร้อยลี้ เป็นสนามรบที่บุกเบิกโดยยอดฝีมือขอบเขตนิพพานในยุคโบราณ ตัดขาดจากภายนอก หุ้มด้วยค่ายกล ไอวิญญาณฟ้าดินบ่มเพาะและรวมขึ้นเป็นหนึ่งเดียว ยอดฝีมือที่ยังไม่บรรลุขอบเขตดาราชะตาจะฉีกปราการเข้าไปไม่ได้
ในเงามืดมีตะเกียงสว่างอยู่อันหนึ่ง
ผู้ถือตะเกียงเป็นหญิงสูงโปร่งสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนว่ายอดผู้บำเพ็ญจะชอบสวมงอบปิดหน้ากันหมด ก่อนหน้านี้ซูมู่เจอเจ้าสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็ชอบสวมงอบดำ เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่หลงหวงข้างกายหยวนฉุนแห่งหอบัวก็เช่นกัน
ผ้าปิดหน้าของงอบสีขาวพลิ้วไหวไปตามสายลม
ความจริงนี่ไม่ใช่แค่ธรรมเนียมของต้าสุย
ศาสตร์วิชามากมาย สำนักเต๋า เขาวิญญาณ หรือจะมาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีวิชาซ่อนพลัง ตัวบรรจุก็คืองอบ งอบที่รวมขึ้นจากวิชาไม่แน่นอนว่าจะต้องเป็นสิ่งของจริง อย่างเช่น ‘ประกายไฟ’ นั้นบนศีรษะเฉาหลัน ตอนที่สู้เต็มที่ก็ไม่ต้องสนใจเลย แค่ใช้พลังก็ทำลายงอบได้ เผยใบหน้าแท้จริง รอจนเก็บพลัง ประกายไฟเต็มฟ้าจะรวมเข้ามาใหม่ทีละนิดจนบดบังใบหน้า
ไม่นับว่าเป็นมหามรรค แต่ก็เป็นวิชาลับที่มีประโยชน์
หญิงผ้าคลุมหน้าขาวยืนอยู่ในแดนเทวาปรโลก นี่คือสนามรบโบราณแดนอุดร เสียงร้องวิญญาณดังกึกก้อง วิญญาณพวกนี้หุ้มด้วยกลิ่นอายมรณะ ดาบกระบี่ปกติทำอะไรพวกมันไม่ได้ หากพุ่งเข้าร่างกาย ได้ยินว่าวิญญาณจะใช้พลังบำเพ็ญตอนมีชีวิตเข้ามาต่อสู้ หากเจอกับวิญญาณร้ายที่หายากในสนามรบโบราณ ต่อให้เป็นยอดผู้บำเพ็ญก็ชะล้างไอชั่วร้ายไม่ได้ทั้งหมด และอาจจะ ‘ป่วยหนัก’ ได้
แดนเทวาปรโลก ยิ่งเข้าไป วิญญาณก็จะยิ่งแกร่ง เจอกับอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ
สามแดนต้องห้ามแดนอุดร ยอดผู้บำเพ็ญในเขาศักดิ์สิทธิ์จะพาศิษย์มาฝึกฝน ต่อให้มีขอบเขตดาราชะตาคุ้มกัน ปกติจะไม่กล้าเข้าไปลึกมาก เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย
หากเจอกับวิญญาณแข็งแกร่ง ผู้อาวุโสในสำนักออกมือไม่ทัน ก็อาจจะหายตัวไปในสนามรบโบราณแห่งนี้ และไม่มีวันได้กลับแผ่นดินต้าสุยอีกเลย
แดนเทวาปรโลกแบ่งเป็นเก้าชั้นฟ้า หลังจากจุดดาราชะตาปกติจะหยุดอยู่ชั้นสาม ศิษย์ที่ยังไม่ทะลวงขอบเขตที่สิบ ต่อให้โดดเด่นกว่านี้ก็จะอนุญาตให้ฝึกอยู่แค่ในชั้นหนึ่ง ใช้จิตต่อต้านไอชั่วร้าย ใช้มันเสริมความแน่วแน่และกล้าหาญ
หญิงสูงโปร่งผู้ถือตะเกียงเดินไปเรื่อยเปื่อย
นางเดินลงไปจากชั้นหกแดนเทวาปรโลก
ระหว่างทางเจอวิญญาณนับไม่ถ้วน มีขี่ม้าวิ่งเข้ามาชนในพื้นที่แสงตะเกียง ชนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเถ้าธุลี ก่อนกระจายออกเหมือนกับควันดำ
แสงไฟตะเกียงนั้นไม่เคยดับลง
ความเป็นเทพฝังรากลึก เพลิงมรรคคงอยู่ตลอดกาล
สุดท้ายหญิงชุดกระโปรงสีขาวหยุดอยู่ทางตัดระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง
นางถือตะเกียงเงียบๆ มองศิษย์ของตน
ในเงามืด วิญญาณมากมายล้อมรอบหญิงชุดกระโปรงแดงคนหนึ่ง หญิงคนนั้นหลับตาปิดสนิท ใบหน้างามซ่อนความร้ายกาจ เส้นผมดำแผ่กระจายออกมาดุจนน้ำตก กระบี่ยาวออกจากฝักลอยอยู่ข้างหน้าเล่มหนึ่ง หากไม่มีแสงตะเกียงนั้น แสงกระบี่สีขาวนั้นก็จะเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในแดนเทวาปรโลก
นางนั่งขัดสมาธิลอยอยู่กลางอากาศ
ชุดคลุมแดงถูกพายุคลั่งพัดผ่าน ปราณกระบี่ไหลเวียนในระยะสามฉื่อรอบตัว ค่อยๆ แผ่กระจายออก สังหารวิญญาณแดนเทวาปรโลกตามอำเภอใจ วิญญาณในสนามรบพวกนี้อยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนใหญ่จะสวมชุดเกราะขาดๆ ใบหน้าหายไปตามกาลเวลา ถูกปราณกระบี่ฟัน แทงเป็นรู ก็ล้มครืนเหมือนกับดินทราย
……
ฝูเหยาถือตะเกียง ใบหน้าใต้ผ้าดูไม่ยินดียินร้าย มองศิษย์ของตนเงียบๆ
เยี่ยหงฝูปิดด่านบำเพ็ญมาเจ็ดวันแล้ว
เจ็ดวันนี้ไม่กินไม่ดื่ม รวมไอชั่วร้ายขึ้นในแดนเทวาปรโลกเพียงเพื่อทะลวงขอบเขตที่สิบ รวม ‘เงามายาดารา’ ที่ตนพอใจ
เยี่ยหงฝูเป็นคนหัวดื้อมาก
อาจารย์ฝูเหยาของนางเป็นอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีในรายนามดาราตอนนั้น อยู่เหนือกว่าโจวโหยวและสวีจั้ง
แต่ว่าตอนนี้เหนือหัวนางกลับมี ‘เซียนจุติ’ ที่กำราบทุกคนในรุ่นเดียวกันได้ จุดดาราชะตาได้ก่อนใคร แล้วก็ออกจากรายนามนั้นได้อย่างสง่าผ่าเผยและสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกับอาจารย์ในตอนนั้น
ตอนนี้นางจะทะลวงพลัง ดาราชะตาดวงแรกที่รวมออกมา แม้จะเป็นเพียงเงามายา แต่จะแพ้ให้ลั่วฉางเซิงไม่ได้เด็ดขาด
นี่คือเหตุผลที่นางยึดมั่นจะมาแดนเทวาปรโลกแดนอุดร
วิถีกระบี่ที่นางฝึกฝนกุมความยึดมั่นไว้อย่างหนึ่ง ไม่มีวันถอย และไม่สั่นคลอน ขอแค่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น
แรงปะทะจากไอชั่วร้ายในแดนเทวาปรโลกทำให้นางเข้มแข็งยิ่งขึ้น
ไม่สำเร็จก็ตาย เส้นทางการทะลวงพลังนี้ เยี่ยหงฝูไม่เหลือทางถอยไว้ให้ตนเองเลย
นางจะต้องไปให้ถึงที่สุด
มีเสียงแตกหักดังก้องมาจากในระยะสามฉื่อรอบตัวเยี่ยหงฝู
สัญญาณการทะลวงพลัง
ในที่สุดความอดทนมาเนิ่นนานครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลงแล้ว
หญิงชุดแดงหน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ปราณกระบี่ไหลเวียนก็เหมือนจะเกิดรอยแตกขึ้น ปราการป้องกันสามฉื่อที่ไม่มีช่องว่างใดๆ ถูกไอชั่วร้ายสีดำพุ่งชน พลันรวมเป็นทหารยุคโบราณ สองมือจับดาบยาวแน่นและฟันลงมา
ฝูเหยามีสีหน้ากังวลเล็กน้อย
เยี่ยหงฝูพลันลืมตาขึ้น ยื่นมือไปคว้าแสงยาวปราณกระบี่นั้น ก่อนสั่นข้อมือเบาๆ
ฟันกระบี่ลง!
ไอชั่วร้ายสีดำนั้นพลันถูกฟันกระจาย กลายเป็นเถ้าธุลีเต็มฟ้า
หลังจากออกกระบี่นั้น…
เกิดเงามายาดาราผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นบนศีรษะเยี่ยหงฝู วงแหวนสีดำและสีแดงสองสีโอบล้อม รวมกันเป็นลักษณะกลมโอสถ เหมือนกับวงหยินหยาง
ทะลวงพลังสำเร็จแล้ว
ฝูเหยาได้โล่งอกเสียที
นางมองเงามายาดาราที่รวมออกมานั้นด้วยสีหน้าไม่แน่ใจนิดๆ ดูซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด เหมือนจะพูดไม่ออก จุกอยู่ในลำคอ
พลันมีเสียงลอยล่องดังมาจากกลางแดนเทวาปรโลก
“เยี่ยหงฝู จะกลับเมืองหลวงเมื่อไร”
เยี่ยหงฝูที่ก้าวสู่ขอบเขตมายาเลิกปลายคิ้วขึ้น นางเงยหน้ามองบนฟ้าของแดนเทวาปรโลก บนนั้นเป็นความมืดที่ลึกยิ่งกว่า ไม่เห็นอะไรเลย
เสียงนั้นข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ ฟังดูขาดๆ หายๆ แต่พลังในคำพูดกลับยิ่งใหญ่ หาได้ยาก
“ข้า…เฉาหลัน จะรอสู้กับเจ้า!”
หญิงชุดกระโปรงแดงพ่นลมหายใจขุ่น มองหญิงชุดกระโปรงขาวที่ถือตะเกียงรอตนอยู่ไม่ไกล นางเดินหนึ่งก้าวก็ไปอยู่หน้าฝูเหยาก่อนโค้งตัวลงช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอบคุณท่านอาจารย์มากที่คุ้มกันให้”
เจ้าภูเขาลั่วเจียน้อยเพียงแค่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”
ฝูเหยาชะงักไป นางตรึกตรองถึงคำพูดนั้นเมื่อครู่ก่อนพูดอย่างจริงจัง “คำพูดนั้นของเฉาหลันมาจากเมืองหลวง ข้ามผ่านมาหลายพันลี้ นี่เป็นวิชาของยอดฝีมือนิพพาน ดูท่าคงจะเป็นท่านนั้นในหอบัว ใช้วิชาลับฟ้าดินสะเทือนส่งคำพูดมาให้เขา”
นี่มันอะไรกัน
ท้าสู้รึ
เยี่ยหงฝูสงบจิตใจลง ยิ้มๆ ความจริงนางก็เคยสู้กับเฉาหลันมาหลายครั้ง แต่น่าเสียดายยังตัดสินแพ้ชนะไม่ได้
สองคนสูสีกันจริงๆ แต่หากตั้งใจจะตัดสินกันจริงๆ ก็คงจะไม่ชักช้าไม่รู้ผลเช่นนี้
นี่เป็นการยอมรับโดยนัยของสองฝ่ายที่จะวางศึกนี้ไว้ข้างหลัง
เยี่ยหงฝูกับเฉาหลันต่างกำลำรอโอกาสที่เหมาะสม
“เฉาหลันเคยตกลงกับข้าไว้ว่าหากทะลวงขอบเขตที่สิบ ก็จะมาสู้กัน” เยี่ยหงฝูที่เก็บกระบี่ยาวสงบจิตใจลงช้าๆ ก่อนจะพูดต่อ “อาจารย์ ข้าใช้ ‘มารกระบี่’ ก้าวสู่ขอบเขตมายา ที่นี่มีประโยชน์กับข้าอย่างมาก ข้าอยากไปดูข้างบนแดนเทวาปรโลกสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร”
“ดี” ฝูเหยาพยักหน้า “ตอนนี้เจ้ายังรวมดาราแท้จริงไม่ได้ ออกจากพื้นที่แสงไฟไม่ได้ ข้าจะพาเจ้าขึ้นไปชั้นหก ความจริงสำหรับข้าแล้ว จะขึ้นไปสูงกว่านี้ก็ได้ เพียงแต่พาเจ้าไปด้วย เกรงว่าจะเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นมา”
เยี่ยหงฝูพยักหน้า
ศิษย์อาจารย์สองคนอยู่ในแสงตะเกียง
ที่นี่เคยเป็นสนามรบโบราณ ยิ่งเดินเข้าไปลึก ไอชั่วร้ายของวิญญาณก็จะยิ่งรุนแรง เยี่ยหงฝูมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทีละนิด นางมองทหารม้าเหล็กพุ่งชนนอกพื้นที่ตะเกียงของอาจารย์ทีละคน ถูกความเป็นเทพจุดไฟเผากลายเป็นผุยผง
ฝูเหยาลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่
เดินจนมาถึงชั้นหก
สองคนยืนอยู่กลางหุบเหวลึก หน้าหลังซ้ายขวามีแต่ความมืดมิด
“ใช้มารกระบี่รวมมหามรรคต้องดูดซับกลิ่นอายมรณะจำนวนมาก…เส้นทางนี้เดินยาก” ฝูเหยามองศิษย์ของตนพลางเอ่ยเสียงเบา “ดาราชะตาที่รวมขึ้นดวงแรกคือดาวประจำตัว ตอนนี้เป็นเพียงเงามายา ยังเปลี่ยนใจทันนะ”
เยี่ยหงฝูส่ายหน้า “อาจารย์ นี่เป็นวิถีที่ศิษย์ตระหนักรู้ได้ ข้าไม่เปลี่ยน”
ฝูเหยาได้แต่พูดไม่ออก
เยี่ยหงฝูรู้ว่าวิถีกระบี่นี้ของตน…เป็นเหตุผลที่อาจารย์พูดเตือนอย่างจริงจัง
ฝูเหยาเงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ข้ามีสหายคนหนึ่ง เดินวิถีกระบี่สายนี้ ตอนนี้เขาตายแล้ว”
เยี่ยหงฝูหยุดชะงัก เงียบลง
“สิบปีมานี้ ต้าสุยปรากฏผู้เลียนแบบบุรุษคนนั้นนับไม่ถ้วน พวกเขาย้อนพลังบำเพ็ญทะลวงด่านตามเขา ละทิ้งแสงดาราตามเขา บ่มเพาะปราณกระบี่เดียวตามเขา” หญิงสวมงอบขาวหิมะถอนหายใจ “ด้วยพรสวรรค์วิถีกระบี่ของเจ้า ไม่จำเป็นต้องเอาอย่างเขา”
เยี่ยหงฝูรู้ว่าคนนั้นที่อาจารย์พูดถึงคือใคร
“ข้า…”
นางเงียบลง
เยี่ยหงฝูเป็นศิษย์ฝูเหยา คารวะเข้าเขาลั่วเจียเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ตอนนั้นยังไม่เกิดคืนโลหิตเมืองหลวง สวีจั้งยังเป็นนักกระบี่อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงที่สุดในต้าสุย ในการเดินทางครั้งหนึ่ง เขาได้เห็นผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณคนหนึ่งสังหารชาวบ้าน หลอมเป็นวิญญาณคนเป็นฝึกฝน ทำเลวโหดเหี้ยมอำมหิต เขาจึงชักกระบี่ยาวสังหารผู้บำเพ็ญภูตผีในกระบี่เดียว
ปีนั้น เยี่ยหงฝูยังไม่ถึงสิบขวบ
บุพการีของนางตายในหายนะครั้งนั้น ทั้งหมู่บ้านถูกเผาจนหมด มีเพียงนางที่โชคดีรอดมาได้ บุรุษที่ออกกระบี่คนนั้นก็ไปไม่กลับมาอีก เยี่ยหงฝูได้ผู้บำเพ็ญเขาลั่วเจียที่ตามหลังมาช่วยไว้ เห็นว่ามีคุณสมบัติดีจึงพากลับสำนัก
หากไม่ได้กระบี่นั้นของสวีจั้ง นางคงตายไปจากโลกนี้แล้ว ต่อให้ช่วยรอดมาได้ ฝันร้ายในวันนั้นก็ยังตามหลอกหลอนนาง เยี่ยหงฝูมักจะฝันกลับไปในวัยเด็กที่อ่อนแอไร้ที่พึ่งที่สุด เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญภูตผีที่ ‘แข็งแกร่ง’ คนนั้น ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้กลับ
กระบี่นั้นของสวีจั้งได้แสดงท่วงท่าสง่างามของทั้งโลก อยู่ในใจนางตลอดกาล
นางเริ่มฝึกวิถีกระบี่
นางเริ่มรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ‘สวีจั้ง’ ทุกอย่าง
จากนั้นมา สวีจั้งก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ ถูกด้อยค่าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งแบกรับคำด่าของใต้ฟ้า ห่างกันคนละโลก แต่เยี่ยหงฝูที่เคยพบสวีจั้งครั้งเดียวในชีวิต ความเชื่อมั่นต่อบุรุษคนนั้นในใจกลับไม่เคยสั่นคลอนเลย
………………………..