เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 233 กระดูกกองดุจขุนเขา แต่ไม่รู้ชื่อแซ่
ตอนที่ 233 กระดูกกองดุจขุนเขา แต่ไม่รู้ชื่อแซ่
หลังมรสุมการท้าสู้ผ่านไป เมืองหลวงก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ราวสามสี่วันต่อมา
ดวงตะวันขึ้นปกติ
แสงรุ่งอรุณส่องสะท้อนเข้ามาในลานบ้านจวนหนิงอี้ มีเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะดังขึ้นข้างนอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
หนิงอี้ตื่นขึ้นมาจากสภาวะกำหนดลมหายใจ หลายวันมานี้เขาตื่นเช้ามาก
เขาผลักประตูจวนก็ตกใจเล็กน้อย
เห็นนักบวชชุดหยาบสีขาวบริสุทธิ์สองคน ตอนนี้โค้งตัวเล็กน้อย แสดงความเคารพตน
ดูจากการแต่งตัวแล้วเป็นผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาของเขาวิญญาณ
หนิงอี้ยังไม่ทันพูด
วัตถุเรียวยาวห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนาชิ้นหนึ่งส่งมาตรงหน้าตนอย่างไม่มีสัญญาณใดๆ
ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยายกสองแขนประเคนสิ่งของยาวพลางพูดอย่างจริงจัง “คุณชายหนิงอี้ ช่วยรับ ‘ของขวัญ’ ชิ้นนี้ไว้ด้วย”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ยื่นสองมือไปรับของก่อนถามด้วยความสงสัย “ของขวัญ…นี่มันอะไร”
“พวกข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร” ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาท่านนั้นตั้งมือข้างหนึ่งตรงหน้าอกพลางพูดอย่างนุ่มนวล “คุณชายหนิงอี้ มันถูกส่งมาจากวัง”
หนิงอี้รับของมาก็พิจารณาดูตามจิตใต้สำนึก น้ำหนักคุ้นเคยทำให้เขาเข้าใจในทันทีว่าในห่อผ้าคืออะไร
หนิงอี้มีสีหน้าหลากหลายขึ้นมา
“ในวังรึ”
เขาหรี่ตาลง พูดงึมงำกับตัวเอง
“เป็นแม่นางแซ่สวีคนหนึ่งไหว้วานมา คุณชายหนิงอี้น่าจะรู้จักนางดีกว่าพวกเรา” ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเขาวิญญาณพูดอย่างเฉยชา “เราแค่มาส่งของตามคำสั่ง หากคุณชายหนิงอี้มีอะไรสงสัย ก็เข้าไปถามแม่นางสวีท่านนั้นในวังเองได้”
หนิงอี้ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ขอบคุณทั้งสองท่านด้วย”
“คุณชายเกรงใจแล้ว” ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเอ่ยราบเรียบด้วยใบหน้านิ่งเฉย ก่อนจะหมุนตัวกลับ
ปิดประตูใหญ่จวน
หนิงอี้แกะผ้าสีดำที่พันไว้หลายชั้นออก เผยกระบี่ยาวตารางหนาเล่มนั้นข้างใน
ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า
ตัวกระบี่ทองสัมฤทธิ์เก่าแก่มีสนิมเล็กน้อย ก่อนเดินทางไปภูเขาแดง เด็กสาวได้ทำการขัดเงากระบี่เล่มนี้เล็กน้อย ดูจากลายตัวกระบี่จะไม่เห็นร่องรอยเมื่อสิบกว่าปีก่อนเลย
สำหรับกระบี่เล่มนี้ ผ่านลมผ่านฝนมาไม่เท่าไร
มันอาจจะโดนฝ่ามือของหานเยวียบนที่ราบสูงภูเขาแดงมา ตัวกระบี่ท่องหล้าจึงถูกกดเว้าลงไป ส่วนอื่นๆ ยังอยู่ดี
“มีคนหาเจอในภูเขาแดงแล้วรึ”
เด็กสาวมาเห็นพอดี นางพูดขึ้น “ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาของเขาวิญญาณหาเจอหรือ”
หลังจากที่ราบสูงเทพสวรรค์เกิดคลื่นสัตว์ร้าย ซ่งเชวี่ยกับกูอีเหรินสองยอดฝีมือนิพพานร่วมมือกันกำราบคลื่นสัตว์ร้าย จากนั้นสามกรมเข้าปราบปรามที่ราบสูง
ดังนั้นเขาวิญญาณกับสำนักเต๋าจึงร่วมกันสะสางเรื่องในภูเขาแดงต่อ
หนิงอี้ลากนิ้วมือผ่าน เกิดเสียงเย็นสบายขึ้น เขาลูบกระบี่ตารางหนาเล่มนี้ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคย เป็นเล่มนั้นที่ตนทำตกในที่ราบสูงภูเขาแดงจริงๆ
ดูเหมือนผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเขาวิญญาณจะเก็บได้จริงๆ
เพียงแต่…ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเขาวิญญาณสองคนนั้น บอกว่าหญิงแซ่สวีไหว้วานให้มาส่งของให้
สวีชิงเยี่ยนไหว้วานมาหรือ
หนิงอี้ก้มหน้าลง นึกไปถึงเรื่องราวการพบกันของเขากับสวีชิงเยี่ยนบนที่ราบสูงภูเขาแดง
ตอนนั้นตนทำกระบี่ตารางหนาหาย
ไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไร…หนิงอี้ส่ายหน้า สรุปเป็นความตั้งใจจริงๆ
หนิงอี้ห่อกระบี่ตารางหนาอีกครั้ง วางไว้บนชั้นวางกระบี่ตามอำเภอใจก่อนจะกลับไปฝึกบำเพ็ญ
หลังลบล้างกลิ่นอายมรณะ เขาต้องการเวลาจำนวนมากในการหล่อหลอมบ่อเทพ และยังมีข้อสงสัยหลายอย่างเกี่ยวกับจิตกระบี่ประจำตัวที่เพิ่งกำเนิดขึ้น
หนิงอี้นั่งขัดสมาธิหลับตาลง
เขาไม่เห็นเลยว่าในผ้าที่ห่อกระบี่ตารางหนาแนบกระดาษสีเหลืองที่พับไว้อย่างประณีตแผ่นหนึ่ง
นี่คือจดหมาย
ถูกเขาลืมไว้ตรงมุม
…..
ลูกธนูส่งเสียงดังขึ้นกลางอากาศ
ส่งเสียงดัง ‘ผุ’ แทงกลางเป้า ฝุ่นฟุ้งขึ้นมา
หญิงสวมอาภรณ์สวยงามมวยผมยาวที่ห่างไปสิบจั้งง้างคันศรอีกครั้ง นางสูดลมหายใจเข้าลึก บิดข้อมือขาว ปลายนิ้วที่คีบปลายธนูเปล่งแสงสว่างสุกสกาว
ปล่อยมือ
ลูกธนูพุ่งออกไปแทงเข้ากับปลายธนูดอกก่อน ทำลายธนูไม้แตกเป็นเสี่ยงๆ
ครั้งนี้เป็นเสียงดัง ‘ปัง’!
เป้าไม้ระเบิดเป็นกลุ่มควัน ถูกธนูดอกนี้ยิงพังลง
ธนูดอกนี้ วางในโลกบำเพ็ญ หยิบผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกสักคนมาก็มีกำลังง้างคันศรนี้
แต่หากวางในหญิงที่ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ นี่จะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ
เสียงเกียจคร้านดังขึ้นข้างนาง
“นี่ก็คือการยิงธนู”
ฆราวาสเขาเสียวซานยืนข้างหญิงสวมอาภรณ์สวยงามสีแดง เขาเลิกคิ้วขึ้นพูด “นี่…ง่ายมาก จับธนู ใส่ลูกธนู ปล่อยธนู”
“ธนูยิ่งแกร่งเท่าไร ลูกธนูก็จะยิ่งแกร่งเท่านั้น อานุภาพก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น”
ฆราวาสเขาเสียวซานพูดนิ่งๆ “แน่นอน…สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนนั้นที่ถือธนู”
สวีชิงเยี่ยนฟังคำชี้แนะเงียบๆ
“ขี่ม้า ยิงธนู ล่าสัตว์ เจ้าเรียนพวกนี้หมดแล้ว เราไปหาลานล่าสัตว์กันได้แล้ว คำพูดนี้…ข้าเคยพูดกับเจ้าเมื่อสามวันก่อน” ฆราวาสเขาเสียวซานมองสวีชิงเยี่ยนพลางถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดวันนี้เจ้าชอบเหม่อกัน กำลังนึกถึงจดหมายนั้นที่ส่งไปรึ”
สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปากก่อนพูดจริงจัง “ท่านฆราวาส ที่ท่านบอกข้านั่นเรื่องจริงรึ”
ฆราวาสเขาเสียวซานเงียบไปชั่วขณะ
“เป็นความจริง”
บุรุษชุดขาวเอ่ยเนิบนาบ “หนิงอี้ทำกระบี่หายจริงๆ ตกในที่ราบสูงภูเขาแดง แดนบูรพาเก็บได้ หากเจ้าส่งกระบี่นั่นให้เขา เขาจะต้องดีใจมากแน่”
สวีชิงเยี่ยนเช็ดลูกธนูทีละดอกก่อนจะวางในกล่องลูกธนู จากนั้นวางคันศรยาว ถามอย่างจริงจัง “ตามหลัก กระบี่นั่นน่าจะถึงแล้ว”
ฆราวาสเขาเสียวซานคลึงระหว่างคิ้ว “ใช่…ข้าไหว้วานคนไปส่งแล้ว เรื่องนี้พัวพันถึงคนบางกลุ่ม อาจจะมีปัญหาได้ แต่กระบี่นั้นแล้วก็จดหมายที่เจ้าเขียนให้หนิงอี้ สองสามวันนี้น่าจะไปถึงแล้ว”
บุรุษพูดด้วยความจนปัญญา “หลายวันมานี้ เจ้าฝึกวิชาธนูในสวนห้องบูรพาล่าช้าไปหลายวัน ต้องไปล่าสัตว์ที่เขาสนแล้ว อยู่ไม่ไกลหรอก แค่ในสิบลี้นอกเมืองหลวง ไปไม่นาน ไปเช้าเย็นกลับ”
สวีชิงเยี่ยนก้มหน้าลงพูด “ข้าว่าวิชาธนูของข้ายังไม่ดีพอ”
ฆราวาสเขาเสียวซานทำเสียงจิ๊ ก่อนมองเศษเป้าที่กระจายในสวนห้องบูรพา
สวีชิงเยี่ยนพูดอย่างจริงจัง “ข้าไปจวนของหนิงอี้ได้หรือไม่”
ฆราวาสเขาเสียวซานตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ได้”
เขามองเด็กสาวก่อนยักไหล่ “นี่เป็นกฎในวัง ก่อนเรียนขี่ม้ายิงธนูกับข้าจบ ยังออกไปไม่ได้”
สวีชิงเยี่ยนมองฆราวาสเขาเสียวซานตาแป๋วพลางถามด้วยความสงสัย “เช่นนั้นวันนี้เขามาในวังได้หรือไม่”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
ถามกลับ
“ข้าไม่รู้…”
เสียงสวีชิงเยี่ยนมีความลังเลเล็กน้อย
ฆราวาสเขาเสียวซานคลึงแก้ม จนปัญญานิดๆ เขาเพ่งมองใบหน้างดงามนั้นใต้ผ้าปิดหน้าก่อนเอ่ยทีละคำ “เมื่อสามวันก่อน เฉาหลันท้าสู้กับเยี่ยหงฝู ยกหนิงอี้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา รู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
“หนิงอี้จะยุ่งมาก” สวีชิงเยี่ยนเข้าใจนิดๆ แล้ว คิดตามฆราวาสเขาเสียวซาน ก่อนพูดเนิบนาบ “เขามีปัญหาเยอะมาก เขาต้องฝึกบำเพ็ญอย่างหนัก…”
พูดถึงตรงนี้ แววตานางมีการปล่อยวางเล็กน้อย ปากพูดพึมพำ “เขาไม่มีเวลา เช่นนั้นเขาก็อย่ามาหาข้าในวังเลย”
บุรุษชุดขาวถอนหายใจ
“ไม่ๆๆ…ไม่ใช่แค่นั้น เขาอยู่คนละโลกกับเจ้าแล้ว”
คำพูดนี้ฟังดูคุ้นๆ หู…สวีชิงเยี่ยนนึกออกทันทีว่าหนิงอี้เคยพูดกับนาง
นางใจเต้นตึกตัก ตึงเครียดขึ้นมาทันที
หนิงอี้เคยบอกว่าเขากับตนไม่ใช่คนโลกเดียวกัน
นางเป็นเพียงนกในกรง ต่อให้ตอนนี้ได้อิสระที่แน่นอน…ก็ยังเหมือนเดิม
“ข้าอยากถามเจ้าคำถามหนึ่ง” ฆราวาสเขาเสียวซานมองสวีชิงเยี่ยนพลางพูดอย่างเคร่งขรึม “ช่วงนี้เจ้าอ่านพุทธคัมภีร์ อ่านคัมภีร์เต๋า อ่านตำราของทางโลก เจ้าเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่ เชื่อเรื่องดวงชะตาหรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนหลับตาลง ครุ่นคิดอย่างจริงจัง
นางรู้ว่าเขาอยากถามอะไร
หากไม่เชื่อชะตาของโลก เช่นนั้นความสนใจและเฝ้ารอคอยหนิงอี้ที่มีอยู่เต็มอกนั้นมาจากที่ใด นางจำการเจอกันครั้งแรกได้ จำหัวใจเต้นทุกครั้งได้ จำทุกอย่างได้ เหมือนกับผ่านหน้าตลอด
และยังมีใบไม้ขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งนั้น
“ข้าเชื่ออยู่แล้ว”
สวีชิงเยี่ยนพูดออกมาไม่มีลังเลเลย เพราะนางรู้ว่าทุกสิ่งที่นางกับหนิงอี้ผ่านมาล้วนเป็นโชคชะตา
“ข้าไม่เชื่อโชคชะตา และก็ไม่เชื่อดวงชะตา” ฆราวาสเขาเสียวซานพลันหัวเราะ “พวกนั้นไม่มีอยู่จริง น่าขำ ไร้สาระ เมื่อเจ้าผ่านโลกมามากพอก็จะเข้าใจเอง ว่าสิ่งเดียวที่ควรเชื่อและฝากฝังก็คือเวลา”
เวลาหรือ
สวีชิงเยี่ยนมองอาจารย์ของตน
นักบวชชุดขาวหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพูดนิ่งๆ “ต่อให้เป็นความรักที่ลึกซึ้งกว่านี้ เมื่อเวลามาถึงสักวันจะเปลี่ยนเป็นความแค้น โลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่เวลาเปลี่ยนไม่ได้ เกิดแก่เจ็บตาย รักชอบโกรธหลง ถึงท้ายที่สุดจะกลายเป็นเถ้าธุลี เวลาเป็นสิ่งที่จริงแท้ หากเจ้ามีคำถามอะไรไม่เข้าใจ ก็จงให้เวลา”
ฆราวาสเขาเสียวซานมองสวีชิงเยี่ยน
นางไม่เคยรู้เลยว่าเมื่ออาจารย์ตนหุบรอยยิ้มจะดูสูงส่ง เหมือนเทพเจ้าไร้ความรู้สึก ในดวงตามีความเฉยชานิดๆ
ทันใดนั้นมีคนเคาะประตูจากข้างนอก ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเขาวิญญาณผลักประตูเบาๆ สื่อว่าส่งของถึงจวนแล้ว
ฆราวาสเขาเสียวซานพูดพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่เบายิ่ง “กระดูกกองดุจขุนเขา แต่ไม่รู้ชื่อแซ่ ผู้วายชนม์ก็มีแค่ชายหญิงเท่านั้น”
“จดหมายนั้นส่งถึงจวนหนิงอี้แล้ว ข้าจะอยู่กับเจ้าตั้งแต่ตะวันขึ้นจนลับฟ้า”
บุรุษชุดขาวยิ้ม “หากยังไม่มา ก็ตามข้าไปล่าสัตว์กลางคืนที่เขาสน ว่าอย่างไร”
สวีชิงเยี่ยนกัดฟัน
นางพูดด้วยความดื้อดึง “ถ้าไม่มา แสดงว่าหนิงอี้ยุ่งมาก หรืออาจจะไม่เห็นจดหมายนั้น”
นางก้มหน้าลงพูด “หากข้าแพ้ หลังไปล่าสัตว์ จบการเรียนขี่ม้ายิงธนู ตามกฎแล้ว ก็จะออกจากวังได้ใช่หรือไม่”
บุรุษชุดขาวเลิกคิ้วขึ้น
“ตามกฎแล้วได้”
ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้ม “ถึงตอนนั้น ขอแค่เจ้าต้องการก็จะไม่มีใครขวางเจ้า”
สวีชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก
นางเริ่มการเฝ้ารออันยาวนาน
ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนกลางวัน จนตะวันลับ
นางก็ยังไม่เจอคนนั้นที่ตนรอ
…………………………….
…………………………………….