เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 234 แขกชุดขาว
ตอนที่ 234 แขกชุดขาว
เป็นจดหมายง่ายๆ
‘หนิงอี้ ช่วงนี้สบายดีหรือไม่ ช่วงนี้ชิงเยี่ยนเรียนกับฆราวาสเขาเสียวซานแห่งเขาวิญญาณ พิณหมากหนังสือและวาดภาพ ขี่ม้ายิงธนู เตรียมใบชาดีในสวนห้องบูรพาแล้ว รอคุณชายมาชิม ข้าได้ยินอาจารย์บอกว่าทางภูเขาแดงมีกระบี่ตกเล่มหนึ่ง ก็เลยไหว้วานคนไปส่งให้ ขอให้เจ้าฝึกบำเพ็ญได้อย่างราบรื่น…สวีชิงเยี่ยนเขียน’
สองวันต่อมาหนิงอี้ถึงเพิ่งเห็นจดหมายฉบับนี้
กระดาษสีเหลือง อักษรสวย จดหมายพับไว้อย่างระมัดระวัง แนบมาในผ้าห่อกระบี่ท่องหล้า…
เขาอ่านเนื้อความในจดหมายพลางสงสัยนิดๆ
วิชาสัมผัสของเขาสู่ซานเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า
ตอนนั้นที่เขาแกะกระบี่กลับไม่พบจดหมายที่ซ่อนอยู่ข้างในหรือ
หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว เขาไม่แน่ใจนิดๆ หรือจะเป็นเพราะช่วงนี้ตนคร่ำเคร่งกับการบำเพ็ญเกินไป
จิตกระบี่เพิ่งกำเนิด ในโลกของวิถีกระบี่นับหมื่น กฎแต่ละอย่างกำลังตกตะกอนช้าๆ
ทำนองปราณกระบี่พวกนั้นที่ดูดซับในหุบเขานิรันดร์กลายเป็นกฎของโลกปราณกระบี่
แม้ตอนนี้พลังบำเพ็ญวิถีกระบี่ของหนิงอี้จะเหมือนกับเมื่อก่อน หยุดอยู่ขอบเขตปราณกระบี่สองชั้นฟ้า แต่กำลังรบที่แท้จริงกลับใช้หลักการปกติประเมินไม่ได้แล้ว
ก็เพราะเหตุนี้เอง
ช่วงนี้เขาจึงอยู่ในโลกการตระหนักรู้ลืมตัวเอง
ตอนปิดด่านบำเพ็ญ เขาลืมทุกอย่าง เสียงข้างนอกจวน กลางวันหรือกลางคืน ไม่สำคัญอีกแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น แม้หนิงอี้จะไม่รู้สึกตัว แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงแมลงตรงมุมลานบ้าน ได้ยินเสียงจิ้งหรีด นี่ประทับลงในสายเลือดเขา กลายเป็นสัญชาตญาณ
หนิงอี้ขมวดคิ้วก่อนพูดงึมงำ “แปลก…ข้าไม่รู้สึกถึงมันได้อย่างไร”
สัญชาตญาณของเขาไม่เจอจดหมายนี้
หนิงอี้รู้ว่ามีศาสตร์ที่ใช้ต่อกรกับวิชาสัมผัสโดยเฉพาะ อย่างเช่นยันต์ ค่ายกล วิชาซ่อนจิต ยันต์ซ่อนตัวเป็นต้น จดหมายนี้ เขามองดูแล้วไม่มีใครใส่วิชาไว้…ใช้ไปก็ไม่มีความหมาย
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น
นึกไม่ออกก็ไม่คิดถึงมันอีก
หนิงอี้หันกลับมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะ
เด็กสาวฝึกกระบี่ซ่อนอยู่ในลานบ้านไม่ไกล นางรีบหลับตาลงแสร้งอยู่ในสภาวะลืมตนเอง สภาพการณ์ยิ่งใหญ่ ปราณกระบี่วนเวียนรอบศีรษะเหมือนดอกบัว
จิตใจสงบนิ่งเหมือนเป็นเช่นนั้นจริงๆ
หนิงอี้ยิ้ม ก่อนจะหยิบจดหมายในมือขึ้นมาหยั่งเชิงถาม “แม่นางชิงเยี่ยนเชิญเราไปห้องบูรพา…ช่วงนี้เจ้าวุ่นอยู่กับการฝึกกระบี่ซ่อน กว่าจะมีตัวตนที่ออกไปข้างนอกได้อย่างผ่าเผยไม่ใช่ง่ายๆ ไปเที่ยวในวังกับข้าหน่อยดีหรือไม่”
เด็กสาวทำแก้มป่อง “ข้ากำลังศึกษายอดค่ายกลสังหารน่าสะพรึงอยู่ ไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นหรอก”
หนิงอี้พูดปลง “ยอดค่ายกลสังหารน่าสะพรึง…น่ากลัวแค่ไหนกัน”
คำพูดเด็กสาวฟังดูเหมือนเด็กน้อยกำลังงอน
เผยฝานพูดอย่างจริงจัง “ฆ่าเจ้าได้ กลัวหรือไม่”
หนิงอี้ยกสองแขนขึ้นทำเป็นยอมแพ้ ทำทีเกินจริงไปมาก “กลัวๆ กลัวจริงๆ จอมยุทธ์หญิงเก่งกาจ จอมยุทธ์หญิงน่ากลัว อย่าฆ่าข้าเลย”
หนิงอี้พูดจบก็ลุกขึ้น ยกต้นครามหมื่นปีนั้นลงมา ดึงใบยาวขึ้นแก้เขิน ก่อนจะพูดเย้าหยอก “ไม่ไปจริงรึ ถ้าไม่ไปข้าไปนะ”
เด็กสาวมองค้อนก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญ ระวังออกไปเจอคนโหดอย่างเฉาหลัน จะถูกทุบตีระหว่างทางเอา”
คำพูดนี้ดูคุ้นหูแปลกๆ…
หนิงอี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่มันคำพูดอะไรกัน
“ต้าสุยมีเฉาหลันคนเดียว จะทำอะไรได้” เขาพูดช้าๆ ไม่ตระหนกเลย เก็บจดหมายนั้นไป ถ้าบอกว่าออกไปเจอใครในรุ่นเยาว์ที่ทุบตีตนได้ หนิงอี้ก็หาเจอไม่กี่คนจริงๆ
ไม่ตระหนกจริงๆ ไม่เลยสักนิด
หลังจิตกระบี่ประจำตัวกำเนิด หนิงอี้กลับรู้สึกคันมือนิดๆ อยากจะหาคู่ต่อสู้
หนิงอี้เดินไปสองก้าวมาหน้าประตูจวน ยังไม่ทันเปิดประตู เขาพลันมีสีหน้าหลากหลายขึ้นมานิดๆ
เขาเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกคุ้นหูน่าประหลาดเมื่อครู่มาจากที่ใด…
เพราะเขานึกออกแล้วว่าตอนอยู่บนยอดหุบเขานิรันดร์ ตอนจะแยกย้ายกัน ได้เคยพูดกับใครบางคนไว้
เป็นคำว่า ‘ว่างก็มาดื่มชา’
และยังมีอีกคำ
‘เมืองหลวงไม่สงบ ระวังจะถูกคนทุบตีตายระหว่างทางล่ะ’
ดื่มชากับถูกทุบตี
หนิงอี้ลอบถอนหายใจ ก่อนเปิดประตูใหญ่ออกเงียบๆ
เขาหรี่ตาลง ต่อให้เตรียมใจไว้แล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าสภาพของคนแซ่หลิ่วจะน่าสงสารเช่นนี้
ชุดขาวบริสุทธิ์ ตรงบ่าสองข้างเลอะเลือด ตรงท้องถูกแทงเป็นรูสีแดง
บาดเจ็บหนักมาก
หลิ่วสืออีหน้าซีดขาวยืนอยู่หน้าประตูจวน ตัวยังคงเหยียดตรง แววตายังสว่างไสว
มือข้างหนึ่งกุมท้อง อีกมือยกอยู่หน้าประตูจวน จะเคาะประตู
เลือดไหลมาจากบาดแผลตรงท้อง ไหลออกมาตามซอกห้านิ้วมือ
หนิงอี้คิดในใจ ตนเป็นนักพยากรณ์หรือปากปีจอกันแน่
ดูจากสภาพของหลิ่วสืออีเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ความคิดนี้เพิ่งวูบผ่านในความคิดหนิงอี้
ธรณีประตูก็เกิดเสียงดัง ‘ปึก’
หลิ่วสืออีล้มลงในอกเขา
…..
“ไหล่ซ้าย ไหล่ขวา ตรงท้อง ถูกแทงสามกระบี่”
เด็กสาวเปิดกล่องไม้จันทน์ก่อนพูดอย่างเคร่งขรึม “บาดแผลมีกลิ่นอายเย็นเยือก เหมือนผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ แต่ก็ไม่ใช่ กระบี่พวกนี้น่าจะพุ่งที่ไปจุดตาย แต่เขาหลบได้ บาดแผลตรงไหล่อยู่ข้างหลัง ซ้ายและขวา น่าจะถูกลอบโจมตี…บาดแผลตรงท้องอยู่ข้างหน้า และอันตรายที่สุด”
นางนำยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งมาจากกล่องไม้จันทน์
เขาสู่ซานเคยรักษาพิษความเป็นเทพของสวีชิงเยี่ยนที่อารามรู้กรรม
ท่านพันกรนอกจากจะฝึกกายจิตแล้วยังฝึกวิชาหลอมโอสถ คัมภีร์โอสถและเตาหลอมในหลังภูเขาค่อนข้างสมบูรณ์ ตอนนั้นเจ้าภูเขาลู่เซิ่งไม่ใช่แค่ชำนาญยันต์และค่ายกล แต่ยังเข้าใจศาสตร์โอสถคร่าวๆ ความสำเร็จในด้านวิชาแปลกต่างๆ พันปีมานี้แทบจะไม่มีใครเทียบกับเขาได้
โอสถเม็ดนี้ พันกรมอบให้หนิงอี้กับเด็กสาว เป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์เยียวยาที่เตรียมไว้ให้ก่อนลงเขา
มีทั้งหมดสามเม็ด
เม็ดหนึ่งให้หนิงอี้ อีกเม็ดให้เด็กสาว อีกเม็ดไว้ยามจำเป็น
เซียนทองคำต้าหลัวก็ยังคืนชีพคนตายไม่ได้ แต่ท่องในยุทธภพ มีโอสถทองคำอยู่ในมือ ยามบาดเจ็บสาหัสก็ต่อชีวิตได้
หนิงอี้รับโอสถเม็ดนี้มา
“กิน ใช้น้ำละลาย” เด็กสาวมองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “ถ้าไม่กินยาก็อาจจะตายได้”
หนิงอี้มองค้อน เขาลองง้างปากหลิ่วสืออี พบว่าปากเจ้าหลิ่วสืออีเหมือนกับถูกเย็บไว้ ง้างอย่างไรก็ง้างไม่ออก จะหยิก จะบีบแก้มก็ไม่มีประโยชน์
เขาหรี่ตาลง กวาดจิตสัมผัสเข้าไป
แสงดาราอุดแก้มสองข้างของหลิ่วสืออี คุ้มกันสองตำแหน่งในตัวเขา เป็นศีรษะและตันเถียน
พิษไร้รูปกำลังแผ่กระจาย
เส้นสีแดงลุกลามบนตัวเขาเหมือนงู เปิดชุดออก ผิวหลิ่วสืออีขาวมาก ขาวยิ่งกว่าสตรี แทบจะพอๆ กับเด็กสาว
หนิงอี้หน้าเคร่งเครียด ดูท่าคงไม่ใช่บาดแผลกระบี่ธรรมดา ในกระบี่ยังมีพิษที่คุกคามผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังได้
ลองทุกวิธีแล้วก็ไม่มีประโยชน์
“เจ้าหนุ่มหน้าขาวนี่ไม่ยอมอ้าปาก เอาอย่างไรดี”
หนิงอี้จนปัญญานิดๆ เขาเบนสายตามองเด็กสาว
เผยฝานเงียบ
บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกน่าประหลาด
เผยฝานยื่นมือออกมาช้าๆ ชี้นิ้วไปที่ริมฝีปากหนิงอี้
“เจ้าจะให้ข้า…ปากต่อปาก กัดโอสถป้อนเขารึ”
หนิงอี้เบิกตาโต “ครั้งแรกที่มีความหมายในชีวิตข้าเช่นนี้ จะให้เสียไปง่ายๆ แบบนี้รึ”
“เจ้าไม่ทำ หรือจะให้ข้าทำ” เด็กสาวคลึงระหว่างคิ้วก่อนพูดด้วยความโมโห “คนตำหนักทะเลสาบกระบี่สินะ อย่างอื่นข้าไม่รู้ แต่หากพิษกระบี่นี้กำเริบ มีโอกาสสูงมากที่จะตาย บอกให้หลิ่วสือซื้อโลงศพให้ศิษย์เขาได้เลย”
หนิงอี้กัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาด
เขาถือโอสถทองไว้ในมือ
“สืออี ขอโทษด้วย”
…….
ผ่านไปครู่ใหญ่
แก้มหลิ่วสืออีแดงเรื่อยิ่ง เขานอนบนเตียง ชุดขาวย้อมด้วยเลือด บางแห่งถูกปราณกระบี่ฉีก ถูกหนิงอี้โยนไว้นอกลานบ้าน เขาเลยเปลือยกายท่อนบนเช่นนี้
หลังกินโอสถทองของเขาสู่ซาน เส้นเลือดที่ลุกลามใต้ผิวหนังเขาก็หายไปช้าๆ
พิษถูกหยุดไว้แล้ว
แสงดาราของเขาเริ่มหมุนโคจร ปราณกระบี่กวาดล้าง ขับไล่ไอพิษออกจากร่าง
กายจิตของหลิ่วสืออีห่างชั้นกับหนิงอี้มาก หากเป็นหนิงอี้ ตอนนี้บาดแผลกระบี่พวกนี้คงจะสมานตัวแล้ว
เลือดตรงแผลหลิ่วสืออีเพิ่งจะแข็งตัว ตอนนี้ภายในจวนกลับเงียบจนผิดปกติ
เผยฝานเอามือกุมหน้าผาก นึกไปถึงภาพที่ทนดูไม่ได้เมื่อครู่ รู้สึกเศร้าแทนใครบางคน
ตอนนี้หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ด้วยแววตาเจ็บปวดและโกรธ
ไร้เสียง เหนือกว่ามีเสียง
หนิงอี้หน้าแดงเล็กน้อย นึกไปถึงการกระทำที่เสียมารยาทเมื่อครู่ รู้สึกเขินขึ้นมา
และยังมีความละอายใจเล็กน้อย
หลิ่วสืออีตัวสั่น ยกมือขึ้นช้าๆ มากุมแก้มตนเอง
“ซี้ด…”
เจ็บ
แก้มร้อนขึ้นมา
หนิงอี้กระแอมไอ “ขอโทษที ต้องให้เจ้ากินยา ข้าไม่มีทางเลือก”
ตอนนี้แก้มหลิ่วสืออีไม่ใช่แค่ร้อน แต่เรียกได้ว่าเดือดพล่าน ไม่ใช่แค่แดงเรื่อ แต่เรียกได้ว่าแดงปรี๊ด
แก้มสองข้างบวมขึ้น
“ตบไปสามที ใช้แรงของกายจิตไปบ้าง” หนิงอี้เตือนด้วยความหวังดี “ก็เจ้าไม่ยอมอ้าปากนี่ ตอนนั้นมันเร่งด่วน ข้าไม่ลงมือ เจ้ากับข้าคงอยู่คนละโลกแล้ว”
“เจ้าตบข้า…สามครั้งรึ” หลิ่วสืออีเหม่อลอย
หนิงอี้ถอนหายใจยาว
ความจริงเขาโกหก
สามทีจะไปพออะไร
เขาตบหลิ่วสืออี…ไปแปดครั้ง แรงขึ้นทุกครั้ง ตีจนถึงครั้งที่แปด แก้มไร้พ่ายขอบเขตที่เจ็ดคนนี้ก็แดงจนจะระเบิด ขนาดหมดสติยังถูกตบจนร้องด้วยความเจ็บ หนิงอี้ถึงได้ใช้โอกาสนี้ยัดยาลูกกลอนเข้าไป
“ข้า…จำไว้แล้ว” หลิ่วสืออีร้องซี้ดด้วยความเจ็บปวด แก้มบวมขึ้น เสียงเบาดังรอดมาจากซอกฟัน
“ดูเจ้าสิ ไม่ระวังอะไรเลย บอกแล้วว่าเมืองหลวงไม่สงบสุข เกือบตายแล้ว ดีนะที่ข้าบอกตำแหน่งจวนกับเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคง…”
หนิงอี้พูดปลง จากนั้นแสร้งทำเป็นรู้ตัวว่าบางคำพูดตนไม่เป็นมงคลจริงๆ เลยเงียบลงเท่านี้
เด็กสาวมองเจ้าหนุ่มข้างกายตนเงียบๆ มองออกว่ามีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์นิดๆ
ต้าสุยมีคนแค้นเขาเยอะขนาดนี้ ก็เพราะมีเหตุผล
หลิ่วสืออีถลึงตามองหนิงอี้ พูดไม่ออกเลยสักคำ
หนิงอี้พลันเก็บรอยยิ้มก่อนถามอย่างจริงจัง “ฝีมือใคร”
ผ่านไปนานมาก หลิ่วสืออีที่เรียกสติกลับมาจากความเจ็บปวดมองฝ้าเพดานห้อง
“จวนปฐพี”
…………………………..