เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 235 พญายมสิบวิหาร
ตอนที่ 235 พญายมสิบวิหาร
“ออกจากเมืองหลวง ข้าไปหาที่ฝึกบำเพ็ญ”
“ฝึกบำเพ็ญรึ”
“ฝึกกระบี่”
“ฝึกอย่างไร”
“เมืองหลวงวุ่นวายเกินไป ปกติข้าจะชอบไปหาที่ที่ไม่มีคน”
หลิ่วสืออีนอนบนเตียง บาดแผลตรงบ่าระเหยเป็นไอสีดำ นี่ไม่ใช่กลิ่นอายมรณะ ปราณกระบี่นี้มีพิษร้ายแรงยิ่ง เข้าสู่ร่างกายได้ก็จะละลายทันที ตอนนี้ถูกโอสถทองบีบออกมา ระเหยขึ้นเหมือนควัน
“ชัดเจนมาก ครั้งนี้เจ้าไปหาที่ที่ไม่มีคน” หนิงอี้เอนตัวพิงเก้าอี้เถาวัลย์ กอดอกพูด “ดังนั้นเจ้าเจอผีแล้ว”
หลิ่วสืออีมีใบหน้าไร้ความรู้สึก
เรื่องตลกนี้ดูจืดนิดๆ หนิงอี้ยิ้มแหยๆ
“จวนปฐพีมีพญายมสิบวิหาร” หลิ่วสืออีหันหน้าเล็กน้อยมามองหนิงอี้ “เจ้าน่าจะรู้นะ”
หนิงอี้พยักหน้า “พญายมสิบวิหาร สิบคน เป็นสัญลักษณ์ของการสังหารและตำแหน่ง ในจวนปฐพีใช้ศักยภาพเป็นคำพูดทุกอย่าง ดังนั้นพญายมสิบวิหารจึงเป็นมือสังหารที่เหี้ยมโหดยิ่ง ก่อนหน้านี้ข้าก็สังหารไปคนหนึ่งในตรอกฝนพรำ”
วิหารที่สิบแห่งจวนปฐพี พญายมน้อย
หลิ่วสืออีหน้าซีดขาว “ตั้งแต่ออกจากตำหนักทะเลสาบกระบี่มา หลายเดือนมานี้ ข้าประมือกับพญายมนรกขุมที่เก้าแห่งจวนปฐพีมาสามครั้งแล้ว”
“สามครั้งหรือ” หนิงอี้หรี่ตาลง “ตอนอยู่หุบเขานิรันดร์ ข้าไม่เห็นเจ้าบาดเจ็บเลย ประมือได้สามครั้ง แสดงว่าเขาก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ มือสังหารจวนปฐพีเน้นการโจมตีทีเดียว หากพลาดก็จะหนีไปทันที แต่เหตุใดครั้งนี้เจ้าถึงบาดเจ็บหนักเช่นนี้ล่ะ”
แผลกระบี่สามรอย ดีที่ไม่โดนหัวใจ ตันเถียนและทวาร พวกนี้คือจุดสำคัญ ไม่อย่างนั้นหลิ่วสืออีคงเป็นศพไปแล้ว
“สองเหตุผล ข้อแรก เมื่อก่อนมีเพียงพญายมนรกขุมที่เก้า…แต่ครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่คนเดียว สอง นี่คือเหตุผลหลัก…กระบี่ข้าหักแล้ว”
ตอนหลิ่วสืออีพูดประโยคนี้ก็จ้องหนิงอี้เขม็ง
บางคนมีสีหน้าเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังหน้าไม่แดงหัวใจไม่เต้นแรง แสร้งทำทีเป็นสงบนิ่ง วางมาดจนปัญญา แบมือพูด “นี่ๆๆ พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด ข้าบอกแล้วว่าจะช่วยชิงปราณนิรันดร์เขาเชียงมาให้เจ้า เจ้ากลับไม่เอา ตอนนี้มาโทษข้ารึ”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้นพูด “นั่นก็หมายความว่าเจ้าโดนทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวรึ จิ๊ๆ ไม่มีกระบี่ยังหนีกลับมาได้ ดวงแข็งจริงๆ นะ”
หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ เห็นแก่ที่อีกฝ่ายมีบุญคุณช่วยชีวิต เขาจึงพ่นลมหายใจ ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อย
นักกระบี่คนหนึ่งไม่มีกระบี่ ก็เท่ากับเสียแขนซ้ายขวา
นางแอ่นคืนรังของหลิ่วสืออีถูกพินิจเหมันต์ของหนิงอี้ฟันหักไปบนยอดหุบเขานิรันดร์
เขาลงเขามาฝึกบำเพ็ญก็เพื่อตามหากระบี่ที่เหมาะสม ยังไม่เจอกระบี่ที่ถูกใจก็มีจวนปฐพีมาหาถึงที่
“ข้าแทงพญายมขุมนรกที่เก้าไปกระบี่หนึ่ง เขาเองก็บาดเจ็บ” หลิ่วสืออีเอ่ยราบเรียบ “แต่ข้าเจ็บหนักกว่าเล็กน้อย”
“เจ้าไม่มีกระบี่ แล้วใช้อะไรแทง”
หนิงอี้สังเกตเห็นมือนั้นที่หลิ่วสืออีกุมท้องตน ต่อให้หมดสติก็ยังกำไว้แน่น ดูจากการกำหมัดเหมือนกำอะไรไว้อยู่
“ข้าไม่ได้บอกนี่…ว่าข้าไม่มีกระบี่ ข้าแค่บอกว่ากระบี่ข้าหัก”
หลิ่วสืออีมองหนิงอี้พลางแบมือออกช้าๆ
ในนั้นเป็นเศษหญ้าขาดสองส่วน
เด็ดหญ้าเป็นกระบี่
‘กระบี่’ นั้นหักจริงๆ
ใบหญ้าเรียวยาว น่าจะดึงหญ้าป่ามาตามใจ ตรงขอบแหลมคม และยังมีปราณกระบี่หลงเหลือ ในนั้นยังปนเปื้อนกลิ่นเลือด แต่ไม่ใช่ของหลิ่วสืออี
เป็นของพญายมขุมนรกที่เก้าแห่งจวนปฐพี
กระบี่นี้ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บจริงๆ
เด็กสาวเห็นหลิ่วสืออีมีแววตาจริงจังขึ้นมาสามส่วน
ได้ยินว่าตำหนักทะเลสาบกระบี่กำเนิดอัจฉริยะวิถีกระบี่สุดยอดคนหนึ่ง วิถีกระบี่ของหลิ่วสืออีไม่เดินตามเส้นทางปกติ นางแอ่นคืนรังของเขาก่อนหน้านี้เป็นเพียงกระบี่ธรรมดา กระบี่ระดับปกติ ไม่มีการเสริมพลังใดๆ หากไม่แนบเจตจำนงกระบี่ แข็งชนแข็ง เจอกับกระบี่ระดับสูง ถึงขั้นอาจจะถูกทำลายในการโจมตีเดียว
อย่างเช่น…พินิจเหมันต์
ตอนนี้ดูแล้ววิถีกระบี่ของหลิ่วสืออีเหมือนจะไม่สนใจว่ากระบี่ในมือมีระดับสูงพอหรือไม่
เด็ดหญ้าเป็นกระบี่ในพลังบำเพ็ญต่ำกว่าขอบเขตที่สิบ แทงพญายมขุมนรกที่เก้าบาดเจ็บได้ นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อแล้ว
หากนางแอ่นคืนรังยังอยู่ในมือเขา เช่นนั้นเขาก็อาจจะให้พญายมขุมนรกที่เก้าจ่ายมากกว่านี้ได้
ตอนนี้บาดเจ็บหนักเป็นเบา
หากนางแอ่นคืนรังยังอยู่ บทสรุปที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนจากบาดเจ็บเบาเป็นตาย อย่างน้อยก็ทุบตีคนหนึ่งจากเจ็บหนักเป็นเจ็บหนักได้
“ถึงข้าจะอยู่นอกเมืองหลวง แต่ก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงหลายวันมานี้” หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ ดวงตาแวววาว ดูไม่เหมือนผู้บำเพ็ญที่บาดเจ็บหนักเลย เขาถามอย่างจริงจัง “เจ้าสู้กับเฉาหลันรึ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
หนิงอี้ถอนหายใจ “เรื่องมันยาว…”
หลิ่วสืออีพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าอยากดูรอยการต่อสู้ครั้งนั้น…ตอนนี้ข้าอยู่ในช่วงกำลังทะลวงพลัง ขาดอีกก้าวเดียวก็จะฝ่าประตูนั้นที่กวนใจข้ามานานได้”
“จะศึกษา จะทะลวงพลังอะไร ไม่ใช่ปัญหา” หนิงอี้มองเด็กสาว แววตานางสื่อความหมายชัดเจนมาก หลิ่วสืออีในตอนนี้ไม่ควรลงจากเตียง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฝึกบำเพ็ญ
“รอเจ้าหายดีก่อนเถอะ เจ้าต้องพักฟื้นอีกหลายวัน” หนิงอี้มองหลิ่วสืออีพลางพูดเสียงเบา “รักษาตัวเองให้ดี เจ็ดวันนี้ เจ้าพักอยู่ในจวนข้าไปก่อนแล้วกัน”
หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ “เจ้าไม่คิดจะช่วยข้าทำอะไรหน่อยรึ”
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ”
ริมฝีปากหลิ่วสืออีไม่มีสีเลือด เขาลุกขึ้นนั่งช้าๆ สองมือถือถ้วยชา พูดเนิบนาบ “วันนี้พวกจวนปฐพีมาขวางข้า พรุ่งนี้ก็อาจจะไปขวางเจ้า พวกเขาไม่สนใจตำหนักทะเลสาบกระบี่ ก็ย่อมไม่สนใจเขาสู่ซาน”
หนิงอี้ตอบอืมเบาๆ
“ตอนสู้กับพญายมขุมนรกที่เก้ายังมีอีกคนโผล่มา คนนั้นพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดาเลย” หลิ่วสืออีหลับตาลง ไอร้อนน้ำชาลอยขึ้นมาตรงหน้าเขา เขานึกไปถึงภาพในวันนั้นพลางพูดงึมงำ “ข้าเห็นหน้าเขาไม่ชัด ตอนนั้นคิดแต่จะมุ่งหน้าไปเมืองหลวง เลยไม่ได้สนใจอะไร ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น ข้าถูกพญายมขุมนรกที่เก้าแทงไปสองกระบี่ แทงที่หัวไหล่ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ตอนที่จะรุดหน้าไปนั้น จู่ๆ ก็ถูกกระบี่แทงข้างหน้า เกือบแทงโดนตันเถียนแตก”
“พญายมขุมนรกที่เก้าลอบสังหารข้ามาสามครั้ง รวมกันครั้งนี้ เป็นทั้งหมดสี่ครั้ง”
ในน้ำเสียงหลิ่วสืออีไม่มีความโกรธ มีเพียงความสงบนิ่ง
“ข้าจะฆ่าเขาด้วยตัวเอง อยากให้เจ้าออกมือช่วยข้าสกัดอีกคนไว้ แล้วก็…หนิงอี้ ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าแล้วกัน”
สำหรับหลิ่วสืออีแล้ว การพูดคำนี้ไม่ง่ายเลย
เขาสูดลมหายใจเบาๆ แบฝ่ามือออก ใบหญ้าขาดสองส่วนเสียแสงดาราและปราณกระบี่ไปก็สลายเป็นเถ้าธุลี ลอยออกไป กลายเป็นความว่างเปล่า
“ขอข้ายืมหนึ่งกระบี่”
…………………………