เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 236 ยืมกระบี่
ตอนที่ 236 ยืมกระบี่
หลิ่วสืออีอยากยืมหนึ่งกระบี่
ตอนบอกยืมกระบี่ หลิ่วสืออีจ้องไปที่เอวของหนิงอี้
พินิจเหมันต์
“อย่าแม้แต่จะคิด” หนิงอี้รับรู้ได้ในทันที เขากดร่มกระดาษมันตรงเอวก่อนทำเสียงจิ๊ๆ “เจ้าช่างกล้าคิดจริงๆ นะ”
สำหรับนักกระบี่ กระบี่คือทุกอย่างของตน นอกจากนักกระบี่ที่ฝึกคุมกระบี่ดรรชนีสังหาร บ่มเพาะกระบี่บินเป็นสิบถึงร้อยเล่ม ระดับต่างกัน เวลาสู้กับศัตรูกระบี่ก็จะแตกได้แล้ว นักกระบี่วิถีอื่น ปกติจะพกเพียงกระบี่เดียว
พินิจเหมันต์คือชีวิตของหนิงอี้
อย่าว่าแต่หลิ่วสืออีเลย ต่อให้จักรพรรดิมายืม หนิงอี้ก็ไม่ให้
หลิ่วสืออีพูดด้วยความจนปัญญา “ข้าต้องการกระบี่ที่คมมากพอ”
“ข้าไปเอาปราณนิรันดร์กลับมาจากสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวได้” หนิงอี้วางปราณนิรันดร์ไว้ในสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ท่านหญิงสุ่ยเยวี่ยแห่งสำนักศึกษาเหมือนกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการทะลวงขอบเขตราชันดารา ผสมศาสตร์วิถีกระบี่มากมาย เขาให้ปราณนิรันดร์ไปก็เพราะหวังว่าศาสตร์วิชาของเขาเชียงจะช่วยสุ่ยเยวี่ยได้
หลิ่วสืออีพยักหน้า “ดี เรื่องนี้ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าแล้ว…ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนเจ้าสู้กับเฉาหลันรึ”
หนิงอี้ไม่ปฏิเสธ “อืม”
หลิ่วสืออีพลันคึกคักขึ้นมา เขาใช้สองมือดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ดึงชุดขาวออกมาจากหัวเตียง “สู้กันที่ใด ในลานบ้านนี้รึ”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น “มองไม่ออกเลย กายจิตเจ้าเองก็ใช้ได้นี่ แกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้อีก”
หลิ่วสืออีโดนแทงสามกระบี่ เดิมทีหนิงอี้คิดว่าเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ในการพักฟื้น
ตอนนี้ เขาเหมือนจะลงจากเตียงมาเดินได้แล้ว
เด็กสาวเตือนเรียบๆ “ตัวเองเป็นอย่างไรรู้แก่ใจดี อย่าอวดเก่ง”
แก้มหลิ่วสืออีไม่มีสีเลือดเลย ใบหน้าเขาเรียบนิ่งมาก แต่มีเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากแล้ว
มีเพียงเขาที่รู้แก่ใจดี
สามกระบี่นั้นของมือสังหารจวนปฐพี โดยเฉพาะกระบี่นั้นตรงท้องมีความรุนแรงและเฉียบคมเพียงใด ทุกการขยับตัวจะทำให้ประสาทถูกดึงจนเจ็บปวด
“ข้ากำลังอยู่ในช่วงทะลวงพลัง ขาดอีกเพียงก้าวเดียว” หลิ่วสืออีพูดพลางเปิดผ้าห่มออก เท้าเปล่าเหยียบพื้น ผลักประตูห้องมองไปข้างนอก
ศึกนั้น เฉาหลันทำลายค่ายกลสยบเทพ
ลายค่ายกลที่แกะสลักในเก้าอี้หินหลายตัวถูกเฉาหลันชกหมัดเดียวระเบิดจากข้างในไปสู่ข้างนอก
ยังไม่ทันซ่อมกำแพงในลานบ้านใหม่เลย
เจตจำนงกระบี่ยังคงเหลือ แผ่กระจายในลานบ้าน กำแพง กระเบื้อง ใบคราม โต๊ะแปดเซียน เก้าอี้ลักษณะกลองเอว มีให้เห็นทุกที่
หลิ่วสืออีหันหลังให้หนิงอี้พลางพูดงึมงำ “กระบี่นี้ น่าสนใจ”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็เดินไปช้าๆ เหมือนศพเดินได้ เดินช้าแต่ก็มั่นคง กวาดสายตามองรอยกระบี่ และยังมีเจตจำนงหมัดของเฉาหลัน กลิ่นอายเถ้าธุลีหลังยันต์ในอากาศเผาไหม้ ค่ายกลและพลังจิตไหลเวียนตัดสลับกัน
แววตาหลิ่วสืออีโอนอ่อนขึ้น เขายื่นนิ้วมือออกไปสัมผัสรอยกระบี่บนกำแพงหิน
ศึกนั้นเมื่อหลายวันก่อนแผ่ขยายในความคิดเขา
เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งกับพื้น ความคิดลอยไกลออกไป
“หนิงอี้ เกรงว่าเจ้านี่คงเป็นคนบ้า…”
เด็กสาวมองหลิ่วสืออีด้วยแววตาแปลกๆ
“ไม่ต้องกลัว เขาเป็นคนบ้าอยู่แล้ว”
หนิงอี้พูดปลอบ
สองคนมองไปข้างหน้า
เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น ตอนนี้นั่งในลานบ้านตน หันหน้าเข้ากำแพงหินเพียงลำพัง นั่งในท่าขัดสมาธิเหมือนตอนเจอกันครั้งแรกที่หุบเขานิรันดร์…นี่คือคนที่อุทิศทุกอย่างให้กับวิถีกระบี่
นี่คือคนบ้า
หลิ่วสืออีหาจวนของหนิงอี้พบ ก็เพราะเขาหาเจอแค่จวนของหนิงอี้
นอกจากกระบี่ เขาไม่เข้าใจอะไรเลย
หลิ่วสืออีไม่เข้าใจความชั่วร้ายของจิตใจคน ใต้ฟ้าต้าสุย ส่วนใหญ่จะมีแต่คนหน้าเนื้อใจเสือที่เจอกันจะยิ้มแย้ม ลับหลังก็จะเอามีดแทง
เขายังไม่เข้าใจความสัมพันธ์แปลกๆ ของตำหนักทะเลสาบกระบี่กับเขาสู่ซาน
เผยฝานถามเสียงเบา “เราต้องช่วยเขาหรือไม่”
คำถามนี้ทำให้หนิงอี้ไม่แน่ใจนิดๆ
เขาอึ้งไปหน่อยๆ
ตนเคยพบกับหลิ่วสืออีครั้งเดียว
บุญคุณความแค้นของเขาสู่ซานกับตำหนักทะเลสาบกระบี่เพิ่งคลี่คลาย กระทั่งเรียกว่าคลี่คลายไม่ได้
หากหนิงอี้กลับแดนประจิม ในตำหนักทะเลสาบกระบี่ยังมีผู้บำเพ็ญอีกมากที่เคียดแค้นเขา บางทีอาจจะวางค่ายกลลอบโจมตีเขาได้
หลิ่วสือแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่เป็นผู้บำเพ็ญที่สุดยอด ตอนสวีจั้งขึ้นภูเขา เขายินดีจ่ายชีวิตของยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตา และยังชดใช้ความผิดของเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่รุ่นก่อนที่กระทำในคืนโลหิตเมืองหลวง
ความแค้นผูกง่าย แต่แก้ยาก
เขาสู่ซานจะไม่เดินก้าวนั้นก่อน ตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็ไม่เช่นกัน
แต่หลิ่วสืออีมาหาหนิงอี้ ไม่เกี่ยวกับหนิงอี้เป็นคนเขาสู่ซาน ไม่ว่าหนิงอี้จะเป็นผู้บำเพ็ญพเนจร เป็นราชนิกุล เป็นผู้มีอำนาจ เป็นชาวบ้าน เขาก็จะมาที่จวนนี้…เพราะเขาโดดเดี่ยว ได้แต่มาที่จวนนี้
ตอนนี้ ต้องช่วยหลิ่วสืออีหรือไม่
ไม่ต้องคิดนาน ราวๆ แค่หลับตาและลืมตา หรืออาจจะลมหายใจเดียว
หนิงอี้พูดเสียงเบา “ต้อง”
“โอสถทองที่ใช้รักษานั่นล้ำค่ามาก รอยบนกำแพงหินก็ล้ำค่ามาก กระบี่นั้นของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว แม้ข้าจะทำลายกระบี่เขา แต่นี่ก็ยังเป็นความกรุณา”
หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “ที่เขาพูดได้อย่างสบายใจไม่สนใจอะไรได้ขนาดนั้น…ก็เพราะเขาไม่เข้าใจหลักการนี้”
“เขาบอกว่าเขาติดค้างน้ำใจข้า” หนิงอี้ยิ้ม “ในมุมมองเขา เขาติดค้างน้ำใจข้าครั้งนี้ มากพอจะเท่ากับทุกอย่างแล้ว”
เด็กสาวมองหนิงอี้ “น้ำใจรึ”
“ใช่ น้ำใจของหลิ่วสืออี” ดวงตาหนิงอี้ลึกล้ำ ปากพูดพึมพำ “นี่เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากจริงๆ…อย่างน้อยข้าก็มองว่าโอสถทอง ปราณนิรันดร์ รอยมรรค ไม่เท่าไรเลย”
“เพราะเหตุใด” เผยฝานถามด้วยความสงสัย “ภายภาคหน้าหลิ่วสืออีจะเป็นยอดผู้บำเพ็ญที่เก่งกาจมากรึ”
“ใช่ แต่ข้าขอเปลี่ยนว่าจากนี้เขาจะเป็นคนบ้าที่เก่งกาจมากดีกว่า” หนิงอี้มองหลิ่วสืออีที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้กำแพงหินพลางพูดปลง “สวีจั้งเคยบอกว่าคนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งกลัวผู้มีอำนาจ ผู้มีอำนาจกลัวคนไม่กลัวตาย แต่ทุกคนรวมถึงคนไม่กลัวตาย กลัวคนบ้า”
เด็กสาวท่องคำพูดหนิงอี้เงียบๆ
เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
“กระบี่ของหลิ่วสืออีเรียบง่ายมาก ไม่มีอะไรที่มากเกินไป มีเพียงการ ‘สังหาร’ ที่ถึงที่สุด นี่คือเจตจำนงกระบี่ของเขา ข้าแทบจะไม่เคยเจอเจตจำนงกระบี่ที่บริสุทธิ์เช่นนี้มาก่อน เป็นการ ‘สังหาร’ อย่างไร้ความรู้สึก” หนิงอี้หลับตาลงพูดพึมพำ “ต่อให้เป็นสวีจั้ง ตอนออกกระบี่ ในเจตจำนงกระบี่ของเขาก็ยังมีความโกรธ ความแค้นและความเจ็บปวดมากน้อยต่างกัน ความรู้สึกพวกนี้จะทำให้อานุภาพของวิชากระบี่แกร่งขึ้น แต่ก็ทำให้กระบี่ไม่บริสุทธิ์อีก”
“พญายมขุมนรกที่เก้าลอบสังหารหลิ่วสืออีมาสี่ครั้ง…” หนิงอี้หันไปมองเผยฝานก่อนถามด้วยรอยยิ้ม “ข้ากลับคิดว่ายอดฝีมือหนุ่มแห่งวิหารที่เก้าจวนปฐพีคนนั้น ถูกหลิ่วสืออีมองเป็นเป้าฝึกซ้อมกระบี่มาตลอด”
เด็กสาวครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้า
ตอนที่หลิ่วสืออีบอกว่าจะสังหารพญายมขุมนรกที่เก้า ในน้ำเสียงไม่มีความโกรธเลย
เขาถูกพญายมขุมนรกที่เก้าแทงไปสองกระบี่
ถูกลอบสังหารมาสี่ครั้ง
ไม่อยากเชื่อว่าจะไม่มีความโกรธเลย
สงบนิ่งถึงที่สุด
แต่ตอนที่พูดคำว่าสังหาร สีหน้าหลิ่วสืออีเหมือนกับกำลังจะทิ้งของเล่นไร้ประโยชน์…สำหรับเขา พญายมขุมนรกที่เก้าไม่มีประโยชน์แล้ว ลอบสังหารมากกว่านี้ก็มีแต่เสียแรงเปล่า ดังนั้นเขาจึงจะสังหารพญายมขุมนรกที่เก้า เพื่อทดลองว่าวิชากระบี่ตอนนี้ทำให้ตนพอใจได้หรือไม่
นี่เป็นคนบ้าของแท้ ทั้งยังเป็นคนบ้าที่ใจเย็น
…..
หลิ่วสืออีศึกษารอยมรรคที่เหลือจากการต่อสู้กับเฉาหลันในลานบ้าน
หนิงอี้กับเด็กสาวเดินทางไปสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
การเดินทางครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อเอาปราณนิรันดร์กลับ แต่ยังถือโอกาสออกไปรับลมด้วย
ตอนนี้เด็กสาวเป็น ‘คนมีชื่อเสียง’ ที่มีจำนวนน้อยในเมืองหลวง ศิษย์ที่ยอดฝีมือรับไว้อย่างเปิดเผยต่างจากบุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้น ยอดฝีมือจะรับศิษย์น้อยมาก ต่อให้มีศิษย์จริงๆ ก็จะไม่ปรากฏมาต่อหน้าปุถุชนเช่นนี้
คนที่ก้าวสู่ขอบเขตนิพพานได้ ทุกคนล้วนมีกำลังรบสุดยอดอย่างไม่ต้องสงสัยในต้าสุย ทั้งยังอยู่มาเนิ่นนาน มีตัวตนพิเศษ ไม่เป็นบรรพจารย์ของเขาศักดิ์สิทธิ์หรือสำนักศึกษา ก็ราชนิกุล ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพเนจรก็มีคุณสมบัติก่อตั้งสำนักได้
ปกติศิษย์ของยอดฝีมือจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้แย่งชิงของทางโลก จะไม่ออกมือง่ายๆ
เผยฝานเป็นข้อยกเว้น
ใครจะไปคิดว่าเด็กสาวที่ไม่ออกจากจวนมานานข้างกายหนิงอี้จะเป็นศิษย์ของฉู่เซียว ภูเขาม่วงมีเพียงฉู่เซียวคนเดียวมาตลอด นางรับเผยฝานเป็นศิษย์ก็หมายความว่า…กำหนดเจ้าภูเขาม่วงคนต่อไปแล้ว
ศิษย์ยอดฝีมือพวกนั้นที่อยู่ในทางโลกก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน
อย่างเช่นท่านหญิงพิณอ้อยอิ่ง เป็นศิษย์ของยอดฝีมือซูมู่เจอ นางต้องอยู่ท่ามกลางมรสุมต้าสุย หุบเขานิรันดร์กับงานราชวงศ์ใหญ่ต้องได้เห็นนางแน่
ทุกคนรู้เหตุผล เพราะก่อนซูมู่เจอรับศิษย์ นางอยู่เพียงขอบเขตราชันดารา
ไม่มีใครรู้ว่านางจะเดินก้าวนั้นได้จริงๆ
หลังซูมู่เจอทะลวงพลัง สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็มียอดฝีมือขอบเขตนิพพาน รากฐานพลันเพิ่มขึ้นมาก สำนักศึกษาแผ่ขยาย ทรัพยากรก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ส่วนหนิงอี้ เป็นคนสำคัญในศึกสำนักศึกษา และยังเป็นผู้มีบุญคุณของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
เข้าสำนักศึกษามาเป็นเส้นทางใหญ่เงาร่มไม้ ที่นี่ห้ามขี่กระบี่บิน ห้ามใช้วิชา คนที่ผ่านไปผ่านมามีแต่ศิษย์หญิงของถ้ำกวางขาว เมื่อพบหนิงอี้จะเรียกอาจารย์อาน้อยด้วยความเคารพ
ศักดิ์ของหนิงอี้…จริงๆ แล้วเท่ากับสวีจั้ง
บุตรศักดิ์สิทธิ์และคุณชายใหญ่พวกนั้นในตอนนี้…ตามศักดิ์แล้ว ต่ำกว่าหนิงอี้ขั้นหนึ่ง
ศิษย์หญิงในชุดกระโปรงยาวสีขาวโค้งตัว พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “อาจารย์อาน้อยมาสำนักศึกษาอีกแล้วหรือ”
คำเรียกอาจารย์อาน้อยอ่อนหวานเป็นพิเศษ
ศิษย์หญิงคนนี้ดูคุ้นๆ ตา…
หนิงอี้จำได้ว่าเป็นท่านหญิงน้อยแห่งถ้ำกวางขาวที่ช่วยตนในตรอกฝนพรำครั้งก่อน
ป๋อหลิ่น
เด็กสาวกอดกระบี่ยาวโบราณ สีหน้าดูไม่พอใจ ระหว่างทางมาในสำนักศึกษามีแต่ศิษย์หญิงทั้งนั้น แต่ละคนยังมีรูปร่างอรชร งดงามน่ามอง บ้างเรียกคุณชายหนิงอี้ บ้างเรียกอาจารย์อาน้อย คนบางคนยังมีหน้าแสดงความเคารพกลับอย่างมีความสุขอีก
นางทำแก้มป่อง ไม่พูดไม่จา
น่าอึดอัดใจนัก
ไม่พูดแล้ว
นางอยากรู้ว่าเจ้านี่จะรู้ตัวหรือไม่
ป๋อหลิ่นกะพริบตามองเด็กสาวข้างหนิงอี้ ก่อนถามด้วยความแปลกใจ “ท่านนี้คงจะเป็น…น้องสาวของคุณชายหนิงอี้ที่เล่าลือกันหรือไม่”
ป๋อหลิ่นเพิ่งพูดจบ
“ไม่ใช่แค่น้องสาว…”
คำตอบของหนิงอี้ทำให้เด็กสาวนิ่งอึ้ง เงยหน้าขึ้น
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “นางเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า”
…………………………
…………………………………….